เพราะว่า " น้ำ " สำคัญ คำแนะนำจากแพทย์คอยแนะนำอยู่เสมอว่า ให้ดื่มน้ำสะอาด แต่ดูเหมือนคำจำกัดความว่า "น้ำสะอาด" จะถูกตีความกันไปหลายเวอร์ชัน
น้ำที่มนุษย์บริโภคกันบนโลกนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ " น้ำเหนือพื้นดิน " รวมทั้งน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศ และ " น้ำในผิวดิน " รวมถึงน้ำในดิน
ก่อนที่จะบริโภค เราจำเป็นต้องพิจารณาความปลอดภัยเป็นอันดับแรก สำหรับน้ำเหนือดิน คงต้องเน้นกัน ที่สารพิษที่ลอยล่องบนท้องฟ้า ซึ่งขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ณ สถานที่นั่น ส่วนน้ำผิวดิน คงต้องพิจารณาสารพิษ และแร่ธาตุต่าง ๆ ในดินเป็นหลัก
ย้อนกลับไปสมัยยังไม่ปฏิวัติอุตสาหกรรม เรานำเอาถ่านหิน และเชื้อเพลิงรูปแบบอื่น ๆ มาเดินเครื่องจักร น้ำฝนเป็นแหล่งน้ำดื่มที่สะอาด ผ่านการกรองด้วยระบบธรรมชาติ จากน้ำบนพื้นดินก่อนจับตัวเป็นก้อนเมฆ และกลั่นตัวมาเป็นน้ำฝน แต่ตอนนี้ ถ้าใครตักน้ำฝนใส่ขันมาให้ดื่มคงขอปฏิเสธ
ผิวดินอย่าง “น้ำในลำธาร” และ “น้ำบาดาล” บางแห่งมีแร่ธาตุละลายในดิน เกินค่ามาตรฐาน รวมทั้ง สารเคมีเป็นพิษต่าง ๆ ทำให้เกิด รส กลิ่น และสี ไม่พึงประสงค์ เพราะมันได้อานิสงส์มาจากมลพิษ ทำให้เกิดผลเสียในระบบนิเวศจนเกินเยียวยา
ส่วน “น้ำประปา" ที่โฆษณาว่าดื่มได้นั้น แม้จะมีมาตรฐานความน่าเชื่อถือในระบบการผลิต แต่ลองถามผู้บริโภคเอาเถอะ ไม่มีใครกล้าดื่มน้ำก๊อกกันหรอก ถึงท่อการประปาจะสะอาด แต่ท่อของหมู่บ้านไว้ใจได้ที่ไหน ในเมื่อ น้ำฝนก็ไม่กล้าดื่ม น้ำบาดาลก็ไม่วางใจ เลยทำให้ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องกรองน้ำ ทำตลาดกันคึกคัก แทรกซึมทุกครัวเรือน พาเหรดกันมาในหลายรูปเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นพื้น ๆ อย่างผงคาร์บอน น้ำอาร์โอ โอโซน ยูวี แม่เหล็กไฟฟ้า กรองให้สะอาดปลอดเชื้อ ปลอดกลิ่น ก่อนดื่มกินสบายอุรา
ยังไม่หมด แถมยังมี “น้ำแร่ธรรมชาติ” ราคาแพง แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าเงินหนาซื้อดื่ม น้ำแร่ธรรมชาติ ก็ยังสามารถแยกย่อยลงไปอีก เป็นชนิดมีฟอง และไม่มีฟอง ตลอดจนความเข้มข้นของแร่ธาตุในระดับต่ำถึงสูง
แต่ถ้าบริโภคแร่ธาตุมากเกินไป จะเกิดการสลับสับเปลี่ยนแร่ธาตุ อาจทำให้ขาดแร่ธาตุ และเป็นโทษต่อร่างกาย กระนั้น ผู้ผลิตน้ำแร่ธรรมชาติกล่าวแย้งว่า ร่างกายจะดูดซึมแร่ธาตุที่ขาดและมีกระบวนการขับแร่ธาตุส่วนเกินออกจากร่างกายได้เอง
จากนั้นเทคโนโลยีทางฟิสิกส์ ก็สร้างปรากฏการณ์ผลิต “น้ำนาโน” ด้วยการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของโมเลกุลน้ำให้เล็กลง และมีความละเอียดมากขึ้น ในการดูดซึมเข้าสู่เซลล์เร็วกว่าปกติถึง 3 เท่า และมีความสามารถจับอนุมูลอิสระได้ดี
ไม่ว่าสารพัดน้ำดีวิเศษแค่ไหน แต่ทุกอย่างมักย่อมมีสองด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และความจำเป็น ที่แท้จริงของร่างกายแต่ละคน หากคุณอยู่ต่างจังหวัด ที่ยังมีอากาศสดชื่นสมบูรณ์ และปราศจากมลภาวะอย่างแท้จริง น้ำฝน น้ำในลำธาร หรือน้ำบาดาลต้มให้สะอาดเสียหน่อย ดื่มได้ไม่ต้องซื้อน้ำขวด ตรงข้ามกับคนที่อยู่ในเมืองกรุง หัวเมืองใหญ่ ๆ หรือเขตอุตสาหกรรมโดยสิ้นเชิง พวกเขาจะต้องพึ่งพาความสะอาดของน้ำประปา และน้ำกรอง ซึ่งสามารถใช้ง่าย หาซื้อได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
นอกจากจะเลือกประเภทน้ำให้เหมาะสมแล้ว ยังต้องเลือกวิธีการบริโภคให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เมื่อบริโภคน้ำอย่างเพียงพอ และสม่ำเสมอ ร่างกายจะสะท้อนความเปล่งปลั่ง และสดใสให้เห็นทางผิวพรรณ ใบหน้าและดวงตา แต่หากร่างกายขาดน้ำเกิน 2 ชั่วโมง มันจะส่งสัญญาณขมคอ และปากแห้งให้เรารู้สึกตัวทันที
ถ้าดื่มน้ำมากเกินไป นอกจากจะปัสสาวะบ่อยจนน่ารำคาญแล้ว ไตก็จะทำงานผิดปกติ เกิดภาวะไตเสื่อม ทำให้เกิดน้ำคั่ง และภาวะร่างกายบวมน้ำได้
ทางออกเหมาะสมที่สุด คือ ในหนึ่งวันควรบริโภคน้ำในอัตรา 4 - 5% ของน้ำหนักตัว เช่นน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ควรดื่มน้ำไม่เกิน 2.5 ลิตรต่อวัน อีกทั้ง ควรดื่มครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อป้องกันอาการท้องอืด และให้ร่างกายได้มีเวลาดูดซึมน้ำ
พร้อมกับสร้างพฤติกรรมมีน้ำติดตัวเสมอ เพื่อจะได้ดื่มน้ำทั้งวัน และดื่มได้ตลอดเวลา โดยวางแผนตั้งเวลาดื่ม ตามความจำเป็น ซึ่งปัจจุบันวิธีนี้ กลายเป็นกระแสสุดฮิตของผู้รักสุขภาพตัวจริงไปแล้ว
ที่มา
นายแพทย์พีรยศ ตรงสวัสดิ์
No comments:
Post a Comment