Search This Blog

Friday, January 29, 2010

"ขวดพลาสติก" หรือขวดเพท ที่นำมาล้างเรื่อย ๆ เกิดมีรอยร้าว บุบ แตก หรือเปลี่ยนสี อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และก่อมะเร็งให้คุณได้เหมือนกัน
ปัจจุบันหลายคนหวังลดขยะขวดน้ำพลาสติก ด้วยการนำขวดน้ำมาล้าง และนำกลับมาเติมน้ำใหม่ พกพาไปไหนต่อไหน ไม่ต้องซื้อน้ำดื่มขวดใหม่เรื่อย ๆ  ทำให้ประหยัดเงินและช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกต่างหาก แต่....

สาธารณสุขฯ ออกมาเตือนคนไทย ที่นิยมนำขวดเพทมาล้าง และบรรจุน้ำดื่มแช่เย็นไว้ในตู้เย็นว่า แม้ขวดเพทที่บรรจุน้ำดื่ม น้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้ จะมีความคงทนแข็งแรงกว่าขวดพลาสติกประเภทอื่น ๆ แต่การนำกลับมาล้างใช้ใหม่ ต้องระวังเป็นพิเศษ   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างทำความสะอาดขวดเพท ที่มีรูปทรง หรือร่องที่เป็นลวดลายสวยงามของขวด ที่ทำความสะอาดยาก และไม่สะอาดพอจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดี


ถ้าสังเกตว่าขวดน้ำ ที่ผ่านการล้าง และใช้ซ้ำนาน ๆ มีรอยร้าว บุบ แตก มีสีที่เปลี่ยนไป ขุ่น หรือมีคราบเหลืองให้ทิ้งทันที

นอกจากนี้ยังฝากเตือน คนชอบซื้ออาหารห่อกลับบ้าน ถึงอันตรายจากการใช้โฟมใส่อาหาร ที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เพราะโฟมใส่อาหาร ผลิตจากสารเคมีโพลีสไตลีน  ที่ไม่ทนต่อความร้อน ถ้าผู้ประกอบอาหารไม่รองใบตอง หรือถุงร้อนทั้งด้านบน และล่างโฟมก่อนวางอาหาร เมื่อถูกความมันจากอาหาร สารเคมีจะละลายได้ง่ายขึ้น เมื่อรับประทานสะสมเป็นเวลานาน อาจเป็นโรคมะเร็งได้

การมีใจประหยัด หรือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมโลกก็ดีอยู่ แต่ก็อย่าลืมว่าสุขภาพตนเองก็สำคัญนะ

นวดหน้า แบบง่าย ๆ

ใครที่กำลังมองหน้าวิธีนวดหน้า วันนี้มีวิธีนวดหน้าแบบง่าย ๆ  มาบอก...

-เริ่มจากบริเวณหน้าผาก
ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง เริ่มจากกึ่งกลางหน้าผาก นวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้าย ให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย
-บริเวณรอบดวงตา และยกกระชับริมฝีปาก
ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเบา ๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง  วนไปมาเบา ๆ นับ 1 ครั้ง ทำซ้ำ 3 ครั้ง จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูก ลูบออกด้านข้าง ในลักษณะยกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้ง และเลื่อนนิ้วลงมาบริเวณใต้ริมฝีปากล่าง ลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง
-ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก
ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวด จากบริเวณกึ่งกลางคางขึ้นไปที่บริเวณมุมปากใน ลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง
-ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม
ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณมุมปาก ในลักษณะยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลง ทำซ้ำ 3 ครั้ง
-ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณดวงตา
ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง กดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบา ๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตา และวนรอบดวงตา กลับมากดที่หัวตา ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ

Friday, January 22, 2010

ทูน่า..โอเมก้ากระป๋อง

แค่เดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วหยิบ "ปลาทูน่ากระป๋อง" มันช่างง่ายดาย เปิดฝาเทใส่จาน คุณค่าสารอาหารยังครบถ้วน เหมือนเพิ่งโผล่พ้นจากทะเล เป็นเพราะเจ้าทูน่าตัวใหญ่ เนื้อแน่น มีก้างน้อย  ดันเกิดเป็นปลาทะเลน้ำลึก และอาศัยอยู่ในกระแสน้ำวนกลางมหาสมุทร มันช่างห่างไกลชายฝั่งเสียเหลือเกิน ปลาทูน่าจึงถูกจองจำใต้น้ำแข็ง จนขาดความสดเหมือนตอนมีชีวิต  แถมผู้บริโภคยังมีความต้องการสูง เกินกว่าจะรอให้ซื้อตัวเป็น ๆ จากตลาดได้  ปลาทูน่าต้องทำให้สุก ก่อนบรรจุกระป๋อง  แล้วนำมาวางบนชั้นสินค้าให้พวกเราเห็นจนชินตา

ปลาทูน่ากระป๋องในเมืองไทย มีอยู่หลายชนิด แต่ที่นิยมนำมาบริโภคกัน คือ พันธุ์สามัญที่สุดอย่าง SKIP JACK และ YELLOWFIN TUNA อายุเฉลี่ย 3-8 ปี และมีน้ำหนักตั้งแต่ 1.8 จนถึง 50 กิโลกรัมขึ้นไป

หลายคนชมชอบเนื้อสีชมพูอ่อนถึงสีขาว ของ “เนื้อไก่จากทะเล” ซึ่งเป็นชื่อเรียกเล่น ๆ ของทูน่า  บวกกับคุณสมบัติอาหารประเภทปลา ที่มีโปรตีนสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  แต่ปลาทูน่าเหนือชั้นกว่า  เพราะมีไขมัน และคอเลสเตอรอลต่ำ และยังเป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่ ทำให้ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และคนรักสุขภาพต่างขานรับไว้ติดครัว 

คุณเชื่อหรือไม่ว่า ยังมีสิ่งสำคัญซ่อนตัวอยู่ในคุณสมบัติ “ไขมันต่ำ” ด้วย มัน คือ กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งร่างกายคนเราสร้างเองไม่ได้ แต่มีความจำเป็นต่อชีวิตโดยเฉพาะ โอเมก้า 3 (OMEGA-3)
โอเมก้า 3 ประกอบด้วยสารหลัก 2 ตัว ได้แก่ EPA (EICOSAPENTAENOIC ACID) ช่วยในเรื่องของภาวะระบบการไหลเวียนของเลือด ในร่างกายของคนเราอย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนเกราะป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด ช่วยลดคอเลสเตอรอล ซึ่งจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้

ส่วนสารหลักอีกตัวหนึ่งในปลาทูน่า นั่นคือ DHA (DOCOSAHEXAENOIC ACID) ซึ่งมีประโยชน์โดยตรงกับสมอง ช่วยบำรุงเซลล์สมอง และเสริมสร้างความจำ ช่วยให้เราพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า “กินปลาแล้วฉลาด” ได้ผลจริง

แม้ปลาทูน่าจะ มีคุณประโยชน์สูง แต่สำหรับสำหรับสตรีมีครรภ์ เด็กเล็ก และหญิงที่เพิ่งคลอด ควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานแต่น้อย ประมาณ 3 ก้อนสำหรับไลท์ทูน่า หรือ 1 กระป๋องสำหรับทูน่าขาว  เพื่อป้องกันอันตรายจากสารปรอทตกค้างในกระป๋อง กว่า 6% ที่มาจากกระบวนการทางอุตสาหกรรม

โดยทั่วไป ปลากระป๋องที่เปิดฝา ก็เปรียบเหมือนการเปิดฝาอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ฉะนั้น การปรุงอาหารด้วยปลาทูน่าจึงมีขั้นตอน ไม่ต่างจากอาหารสุกทั่วไป มันไม่ยุ่งยากเลย
  • -ทูน่าในน้ำเกลือ เหมาะสำหรับประกอบอาหารประเภท ผัด ทอด หรือรับประทานทันที
  • -ทูน่าในน้ำมัน นอกจากมีส่วนช่วยให้อร่อยแล้ว วิตามินบางชนิดจะละลายในน้ำมันเท่านั้น
  • -ทูน่าในน้ำแร่ จะช่วยเพิ่มแร่ธาตุธรรมชาติ ที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย

แม้พวกเราจะนำทูน่ามาทำไส้แซนวิช แต่ยังมีอาหารจำพวกบะหมี่ พาสต้า สลัด ทำขนมทาร์ต หรือปั้นทอด รอเป็นทางลือกมื้ออาหารหลักตอนเช้า สาย บ่าย เย็น หรือตอนท้องว่าง ๆ ได้อีก

ทูน่าที่เหลือในกระป๋องหลังจากรับประทานไม่หมด ยังเก็บไว้ได้หรือไม่ ?
ยังกินได้อีก เพียงแต่เคล็ดลับในการเก็บรักษาปลาทูน่านั้น ต้องถ่ายจากกระป๋องไปใส่ภาชนะอื่น ซึ่งไม่ใช่โลหะ แล้วปิดฝา นำไปใส่ตู้เย็นช่องปกติเท่านั้นเอง แต่ควรรับประทานให้หมด ภายใน 3 วัน ส่วนที่ยังไม่เคยเปิดฝา สามารถเก็บไว้ได้นานถึง 36 เดือนเลยทีเดียว  แล้วถ้าหาก จะนำไปปรุงในมื้ออาหารต่อไป  ก็แค่นำไปอุ่น หรือปรุงผ่านความร้อน คุณค่าสารอาหารในปลาทูน่าก็ยังอยู่เท่าเดิม

หากตกลงปลงใจรับรักน้องทูน่าแล้ว ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตคราวหน้า โปรดสังเกตข้อความข้างกระป๋องที่ว่า “เป็นมิตรกับปลาโลมา” ด้วย จะได้อิ่มท้องพร้อมกับอิ่มใจ


Wednesday, January 20, 2010

เลือด คืออะไร?

เลือด คืออะไร?

"เลือด" หรือโลหิต (blood) เป็นของเหลวสีแดง ที่ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นเลือดทั่วร่างกาย โดยอาศัยการสูบฉีดของหัวใจ  และอวัยวะสำคัญที่ร่างกายมนุษย์ ใช้ในการสร้างเม็ดโลหิต คือไขกระดูก ในร่างกายของคนเรา มีโลหิตมากน้อย ตามน้ำหนักของแต่ละคน คิดโดยประมาณ 80 ซีซี ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม  ดังนั้น ถ้าท่านมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ท่านจะมีโลหิตประมาณ 4,000 ซีซี  (สำหรับผู้ใหญ่ปกติ) จะมีเลือดไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ประมาณ 5 – 6 ลิตร  

หน้าที่สำคัญของเลือด คือ
ขนส่งก๊าซออกซิเจนจากปอด ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์เนื้อเยื่อ มายังปอด เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกายต่อไป  นอกจากนี้ เลือดยังทำหน้าที่ขนส่งสารต่าง ๆ เช่น กรดอะมิโน ฮอร์โมน วิตามินไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำของเสียต่าง ๆ จากเซลล์ไปขับออกจากร่างกาย เช่น นำยูเรียไปขับออกที่ไต เป็นต้น

เลือด ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน
คือ ส่วนที่เป็นของเหลว เรียกว่า พลาสมา (plasma)  ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 55 ของปริมาณเลือดทั้งหมด และส่วนที่เป็นของแข็ง ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือด  (cellular components) ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 45 ของปริมาณเลือดทั้งหมด

เม็ดเลือด มี 3 ชนิด คือ
  1. -เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่หลักในการนำออกซิเจน และอาหารที่ย่อยแล้ว ส่งไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และรับของเสีย รวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากเซลล์
  2. -เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม มีส่วนสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 
  3. -เกล็ดเลือด มีความจำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด ในเวลาที่มีบาดแผลส่วนพลาสมา คือ ส่วนที่เป็นของเหลวสีเหลือง ทำให้เม็ดเลือดลอยตัวอยู่ได้

เม็ดเลือดแดง (red blood cells)
  1. เม็ดเลือดแดง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-8 ไมโครเมตร รูปร่างเหมือนจาน แต่บุ๋มตรงกลางทั้งสองข้าง
  2. เม็ดเลือดแดงมีอยู่ทั้งหมด ประมาณร้อยละ 40-50 ของปริมาตรเลือดทั้งหมดของร่างกาย หรือปริมาณ 4-5 ล้านเซลล์ ต่อเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
  3. เม็ดเลือดแดง มีอายุในกระแสโลหิตได้นานประมาณ 120 วัน โดยทั่วไปในวันหนึ่ง ๆ มีการสร้างเม็ดเลือดออกมาใหม่ ประมาณร้อยละ 9 ของจำนวนทั้งหมด ที่มีอยู่ในร่างกาย
  4. โครงสร้างของเม็ดเลือดแดง ประกอบด้วย สารไลโปโปรตีน (โปรตีน และไขมัน) และมีสารโปรตีนที่จับกับเหล็ก ที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญ ในการจับนำเอาออกซิเจนจากปอด ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทางเส้นเลือดแดง และนำคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียจากเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ กลับไปยังปอด เพื่อถ่ายทอดออกทิ้งไปทางเส้นเลือดดำ
  5. ในคนปกติ ผู้ชาย จะมีฮีโมโกลบิน ประมาณ 14-18 กรัมในเลือด 100 มิลลิลิตร ผู้หญิงจะมีฮีโมโกลบินประมาณ 12-14 กรัมในเลือด 100 มิลลิลิตร
  6. หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของฮีโมโกลบิน คือ รักษาดุลความเป็นกรดด่างของเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์พอดี
เม็ดเลือดขาว (white blood cells)
  1. เม็ดเลือดขาว มีอยู่ประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ ในเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
  2. ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาว 5 ชนิดต่างกัน โดยอาศัยคุณลักษณะในการติดสีที่ใช้ย้อม และลักษณะของนิวเคลียส เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
  3. นิวโตรฟิล มีหน้าที่กำจัดบัคเตรี หรือสิ่งแปลกปลอม ที่เป็นเม็ดเล็ก ๆ เมื่อมีเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกาย จะถูกนิวโตรฟิลจับเข้าไปในไซโตพลาสซึม ซึ่งมีแกรนนูลของนิวโตรฟิล คือ ไลโซโซมส์อยู่   ไลโซโซมส์เป็นถุง ซึ่งภายในบรรจุน้ำย่อยจำพวกเหล่านี้ ออกมาย่อยเชื้อจุลินทรีย์ และสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดเล็ก ๆ เหล่านี้
  4. ลิมโฟไซท์ ที่กำเนิดมาจากต่อมไธมัส ซึ่งเป็นแหล่งกลางของปฏิกิริยาทางอิมมูน เป็นตัวส่งลิมโฟไซท์ออกไป ให้กำเนิดแก่ลิมโฟไซท์ในอวัยวะน้ำเหลืองอื่น ๆ ลิมโฟไซท์ชนิดนี้ มีความจำ และจะทำลายสิ่งที่ไม่เหมือนตัวเอง
  5. ลิมโฟไซท์ ที่กำเนิดมาจากต่อมน้ำเหลืองของระบบทางเดินอาหาร ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดี้ และควบคุมภาวะไวเกินจากภูมิคุ้มกันส่วนเซลล์
  6. โมโนไซท์ มีหน้าที่ป้องร่างกาย เช่นเดียวกับนิวโตรฟิล สามารถกินเชื้อจุลินทรีย์ เช่น บัคเตรี เชื้อรา ยีสต์ หรือแม้แต่เม็ดเลือดแดง โดยที่โมโนไซท์ สามารถกินของใหญ่ ๆ ได้  บางทีจึงเรียกกันว่า แมคโครเฟจ เทียบกับนิวโตรฟิล ซึ่งเรียกว่า ไมโครเฟจ  โมโนไซท์มีชีวิตในกระแสโลหิต ที่หมุนเวียนเพียงระยะสั้นเท่านั้น ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายเข้าสู่เนื้อเยื่อ แล้วเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็น ฮิสติโอไซท์
  7. เบโซฟิล หรือ มาสท์เซลล์   ปัจจุบันเชื่อว่า มีบทบาทสำคัญยิ่งในปฏิกิริยาภูมิแพ้ จากปฏิกิริยาของแอนติเจนกับแอนติบอดี้ โดยไปทำให้เม็ดแกรนนูลของเบโซฟิลสลายตัว และปล่อยสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นสาร ที่ทำให้มีอาการแพ้ออกมา อาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไป ตามลักษณะอวัยวะที่เกิด เช่น ถ้าเป็นที่ผิวหนัง ทำให้มีอาการคัน ถ้าเป็นที่หลอดลม ทำให้หลอดลมตีบ ทำให้มีอาการเป็นหืด หรือถ้าหาก มีสารฮิสามีนจำนวนมากเข้าไปในกระแสโลหิต อาจทำให้เกิดอาการช็อคได้ เช่น ในกรณีของการแพ้เพนิซีลลิน เป็นต้น
  8. อีโอซิโนฟิล เชื่อว่ามีหน้าที่เกี่ยวกับการขจัดฤทธิ์ของฮิสตามีน และเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อปาราสิต
เกล็ดเลือด (platelet)
  1. เกล็ดเลือด มีกำเนิดมาจาก ไซโตพสาสซึมของเมกาคาริโอไซท์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  อยู่ในไขกระดูก คือ มีขนาดประมาณ 35-160 ไมโครเมตร
  2. ภายในไซโตพลาสซึม มีเม็ดแกรนนูล  นอกจากนั้นแล้ว ไซโตพลาสม์ยังมีขาเทียมเล็ก ๆ ยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก และต่อมาจะหลุดออกมา เป็นเกล็ดเลือด
  3. เกล็ดเลือด มีจำนวนประมาณ 150,000 - 450,000 เซลล์ ในจำนวนเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
  4. เกล็ดเลือดมีชีวิตอยู่ ในกระแสโลหิตได้นาน ประมาณ 8-11 วัน
  5. เกล็ดเลือดมีหน้าที่สำคัญ เกี่ยวกับการห้ามเลือดโดยตรง

ที่มา
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพฯ

Tuesday, January 19, 2010

เก๋ากี้ ... สมุนไพรพื้นบ้าน

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า สังคมที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นสังคมที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนานาประเภท มนุษย์เราสามารถพิชิตโรคแปลก ๆ ใหม่ ๆ สารพัดชนิด ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต อันเป็นผลจากการพัฒนาการทางการแพทย์ ที่มีการวิจัยและสกัดตัวยาชนิดต่าง ๆ  พร้อมกับเครื่องมือการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งช่วยยืดอายุให้กับผู้ป่วยจำนวนนับไม่ถ้วน

ความสมบูรณ์ทางร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะนำพาให้มนุษย์เรามีเรี่ยวแรง และสติปัญญาในการวัฒนาสังคม ให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป หากแต่ในช่วงที่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดอย่างรวดเร็ว และยังไม่สามารถคิดค้นวัคซีนยับยั้งการติดเชื้อ ผู้คนจึงหันกลับมาให้ความสำคัญกับสมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่ใกล้ตัวอีกครั้ง

เก๋ากี้
เก๋ากี้ คือ สมุนไพรเม็ดแดง ๆ ที่เมื่อบิออกดูด้านในแล้ว จะพบกับเม็ดเล็ก ๆ สีขาว ๆ อยู่ภายในเม็ดเก๋ากี้ แต่ก็สามารถรับประทานได้ทั้งเม็ด โดยไม่ส่งผลเสียใด ๆ ต่อสุขภาพ ภาษิตจีนบทหนึ่ง กล่าวถึงเก๋ากี้ไว้ว่า "เก๋ากี้โลกอยู่ที่เมืองจีน เก๋ากี้จีนต้องที่หนิงเซี่ย" อธิบายความให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ย เป็นแหล่งกำเนิด และแหล่งผลิตเก๋ากี้ที่สำคัญของจีนและของโลก

โดยเฉพาะตำบลจงหนิง ที่เมื่อถึงฤดูเก็บเม็ดเก๋ากี้แล้ว จะเห็นสวนเก๋ากี้ ที่เต็มไปด้วยต้นเก๋ากี้สูงท่วมหัว เรียงรายเป็นทิวแถว ขนาดของเก๋ากี้ที่จงหนิงใหญ่ และมีความสดมาก เปลือกบาง แต่เนื้อแน่นรสหวานชุ่มคอ มีลักษณะแบน แต่ก็ไม่กลมยาวรี แต่ไม่ลีบ ไม่จับตัวเป็นก้อน จึงสามารถเก็บไว้ได้นาน

ในปี ค. ศ. 1995 ทางรัฐบาลประกาศให้ตำบลจงหนิง เป็น "บ้านเกิดเก๋ากี้จีน"  ดังนั้น เก๋ากี้ที่ผลิตจากพื้นที่แถบนี้ ล้วนเป็นเก๋ากี้ที่ได้รับการการันตี เรื่องคุณภาพ ในบริเวณอื่น ๆ ของประเทศก็มีการปลูกเช่นกัน อย่างเช่น  มณฑลเหอเป่ย์ มณฑลซานตง มณฑลเจียงซู มณฑลเจ้อเจียง ฯลฯ

เก๋ากี้ ที่มานำสกัดเป็นตัวยานั้น มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว เนื่องจากเป็นยา ที่มีสรรพคุณนานัปการ ทำให้ชาวจีนตระหนักถึงความจำเป็น ในการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการ จึงมีการคิดค้นวิธีการเพาะชำขึ้นมาราว 600 ปีก่อนหน้านี้

จุดเด่นของการปลูกเก๋ากี้ คือ สามารถปลูกได้ในสภาวะอากาศที่แห้งแล้ง เพราะเป็นพืชที่มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมสูง ไม่กลัวการคุกคามจากหนอนและแมลง ทั้งยังสามารถเติบโตได้ดีในสภาพดินทราย และอากาศแห้งแล้ง  นั่นเป็นเหตุผลประการสำคัญ ที่ทำให้เก๋ากี้ที่ปลูกในตำบลจงเซี่ยนกลายเป็น เก๋ากี้ชนิดที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะสอดคล้องกับปัจจัยการเจริญเติบโตดังกล่าว

สรรพคุณของ เก๋ากี้
ถ้าจะสาธยายถึงสรรพคุณของสมุนไพรเล็กพริกขี้หนูตัวนี้ คงต้องใช้พื้นที่เล็กน้อย เพราะมีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ดวงตามีความกระจ่างใส ลดความดันโลหิต สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยลดอาการตาฝ้าฟาง และกระหายน้ำในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ชะลอความแก่ บรรเทาความเหนื่อยล้า กำจัดพิษ บำรุงระบบสืบพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ฯลฯ

สำหรับ โรคที่พบเห็นบ่อย ๆ อย่างความดันโลหิตสูง สามารถต้มเก๋ากี้ 15 กรัมกับน้ำ ดื่มแทนน้ำชา หรือ ผู้ที่เป็นโรคสายตาฝ้าฟางในตอนกลางคืน ความสามารถในการมองเสื่อม สามารถนำเก๋ากี้ 6 กรัม ไปต้มกับดอกเก๊กฮวยขาวในปริมาณเท่ากัน ดื่มแทนน้ำชา จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี  หรือสามารถกินเก๋ากี้สด ๆ 20 - 30 เม็ด จะช่วยบรรเทาอาการสายตาฝ้าฟาง และชะลอความแก่ ทั้งนี้ จะต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาระยะหนึ่ง จึงเกิดประสิทธิภาพ

ด้วยสรรพคุณในด้านการเป็นตัวยาบำรุงร่างกาย จึงมีการนำเก๋ากี้ไปแช่น้ำ หรือแช่เหล้า แล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน จากนั้นก็นำมาดื่มเพื่อบำรุงอวัยวะภายใน แต่ใช่ว่าเก๋ากี้จะเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย  เพราะตัวสมุนไพรมีฤทธิ์ร้อน  ดังนั้น ผู้ที่ป่วยเป็นไข้ตัวร้อน ปรากฏมีอาการอักเสบ หรือท้องเดิน จึงไม่เหมาะที่จะรับประทาน เพราะอาจทวีความรุนแรงให้กับโรคได้ เนื่องจากเป็นตัวยา ที่กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวของเส้นประสาท จึงไม่เหมาะกับ ผู้ที่มีความต้องการทางเพศสูงเช่นกัน ในทางกลับกัน เก๋ากี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ และมีภูมิคุ้มกันต่ำ

เป็นที่ทราบกันดีว่า อาหารเสริมนานาชนิดไม่เหมาะที่จะรับประทาน ในปริมาณมากเกินความจำเป็น  ในฐานะที่เป็นสมุนไพรบำรุงร่างกายชนิดหนึ่ง จึงมีประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อ รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ โดยผู้ใหญ่สามารถรับประทานวันละ 20 กรัม แต่หากต้องการนำไปใช้เป็นตัวยารักษาโรค  สามารถเพิ่มปริมาณเป็น 30 กรัมต่อวัน โชคดีที่ผลการวิจัยทางการแพทย์ล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า เก๋ากี้เป็นสมุนไพรที่ปลอดสารพิษ สามารถใช้ประกอบอาหาร หรือสกัดเป็นตัวยา และใช้เป็นเวลานาน ๆ โดยไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ

หลายคนอาจสงสัยว่า สรรพคุณที่กล่าวมาข้างต้น ดูเหมือนจะเกินจริง แต่ชาวจีนโดยส่วนใหญ่ต่างรู้ถึงคุณประโยชน์ของเก๋ากี้ และนำไปสกัดร่วมกับตัวยาชนิดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรค  เก๋ากี้จึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ที่อยู่คู่สังคมจีนมานานหลายพันปี

Friday, January 15, 2010

ผิวไหม้เกรียม

ใครที่ต้องตากแดดเป็นเวลานาน ๆ แล้วเกิดผิวไหม้เกรียม วันนี้มีวิธีรักษามาบอก...

วิธีแรก
ใช้ถุงน้ำชาที่ชงดื่มแล้ว ไปแช่ในน้ำเย็น แล้วนำมาวางแปะตามบริเวณ ที่มีรอยไหม้แดด สามารถใช้ได้กับบริเวณใบหน้า

วิธีที่สอง
ใช้น้ำแข็งห่อในผ้าเช็ดหน้า แล้ววางบนรอยไหม้สัก 10 นาที ทำทุก 2-3 ชั่วโมง
วิธีที่สาม
เปิดน้ำในอ่างน้ำ ผสมข้าวโอ๊ตลงไปนอนแช่สัก 10 นาที ทำซ้ำ เช่นนี้อีกทุก ๆ 3 ชั่วโมง
วิธีสุดท้าย
ผสมน้ำแข็งก้อนลงในนมพร่องไขมัน ใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำนมมาประคบตามผิวที่ไหม้แดด และแสบร้อน ทำต่อเนื่องนาน 2 นาที และทำซ้ำอีกทุก 2 ชั่วโมง

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยรักษารอยแผลไหม้จากแสงแดดได้แล้ว

Thursday, January 14, 2010

Jet Lag

ช่วงที่มีวันหยุดยาว ๆ อาจเรียกได้ว่าเป็น "ฤดูท่องเที่ยว" หลายคนตัดสินใจเดินทางไปในประเทศที่มีอากาศหนาว หากต้องเดินทางไปในที่ไกล ๆ ก็มักจะต้องประสบกับอาการแปลก ๆ หลังจากเดินทางข้ามทวีป หรือข้ามโซนของเวลาหลาย ๆ โซน คือ รู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย ไม่สบายตัว รู้สึกหดหู่ นอนไม่หลับ ฉุนเฉียวง่าย เกิดความสับสน และบางทีอาจสูญเสียความจำไป อาการเหล่านี้ เราเรียกกันว่า "Jet lag" นั่นเอง นอกจากอาการเหล่านี้แล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เกิดขึ้นกับหน้าที่พื้นฐานต่าง ๆ ของร่างกายด้วย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และกระบวนการหายใจอีกด้วย

Jet lag เป็นอาการที่ทำให้รู้สึกแย่มาก เมื่อเราต้องเดินทางข้ามเส้นแบ่งโซนของเวลา ตั้งแต่ 4 โซนขึ้นไป หรือเมื่อเราหลงเวลาในการเดินทางจากตะวันออกไปยังตะวันตก การฟื้นคืนจากอาการ jet lag จะต้องใช้เวลา ในอัตราส่วนประมาณ 1 โซนต่อ 1 วัน (เช่น ถ้าเราข้ามโซนของเวลา 4 โซน ต้องใช้การฟื้นตัวประมาณ 4 วัน) อย่างชัดเจน อาการ jet lag สามารถที่จะหยุดชะงักความสนุกสนาน หรือความกระตือรือร้นของเราให้จืดจางลงไปได้ อาจมีผลกระทบต่อการทำงาน สำหรับนักธุรกิจที่ต้องเดินทางเพื่อธุรกิจ

ก่อนการเดินทาง
ควบคุมเวลาอาหารของเรา เพื่อว่าในวันที่เราต้องบิน เราจะได้พร้อมที่จะกินอาหารที่เหมาะสมกับเวลา ณ จุดหมายปลายทางของเรา ควบคุมตารางเวลาการนอน และการพักผ่อนของเราเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องตึงเครียด หรือเกิดอาการเมื่อเริ่มต้นการเดินทางอันยาวนาน


ช่วงระหว่างการบิน
แต่งตัวสบาย ๆ และพยายามปลดเสื้อผ้าที่รัดออก ปรับเข็มนาฬิกา โดยตั้งเวลาของนาฬิกาตามจุดหมายปลายทางของเรา และเริ่มต้นทำตัว ให้ดำเนินชีวิตอยู่กับเวลานั้นในใจ ถ้าหากว่าเวลาในจุดหมายปลายทางของเรา เป็นช่วงเวลาที่เรามักจะวิ่งจ็อกกิ้งเสมอ ก็ให้จินตนาการว่า กำลังวิ่งจ็อกกิ้งอยู่ เราอาจพยายามออกกำลังกายบางอย่างในที่นั่งด้วยก็ได้ เช่น อาจจะโน้มคอไปข้างหลังสัก 5 ครั้ง เพื่อบริหารคอ และบริหารกล้ามเนื้อแผ่นหลังด้านบน หรืออาจจะเบ่ง และผ่อนคลายหน้าอก ท้อง และสะโพกสัก 5 ครั้ง กินอาหารเบา ไม่หนักท้องมาก และถ้าเป็นไปได้ ให้กินอาหารที่เหมาะสมกับเวลาตามเวลา ในจุดหมายปลายทางที่จะไปถึง พยายามหลีกเลี่ยงพวก ลูกกวาด คาเฟอีน และพวกแอลกอฮอล์ต่าง ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ จะทำให้เราไม่ได้พักผ่อน

ยิ่งกว่านั้นพวกคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ จะเพิ่มปฏิกิริยาต่าง ๆ ในการขจัดน้ำออกจากร่างกายของผู้โดยสารที่เพิ่มความกดดัน แนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้มาก ๆ และน้ำเปล่าแทน สำหรับนักเดินทาง ที่มีประสบการณ์บางคน พยายามที่จะดื่มน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว หรือน้ำเปล่า สำหรับทุก ๆ ชั่วโมง ที่พวกเขากำลังบินอยู่ ท้ายที่สุดให้นอน และตื่นขึ้นตามตารางเวลาในจุดหมายปลายทางของเรา เมื่อคุณ ถึงที่หมาย ให้นอนตามเวลาของท้องถิ่นนั้น ๆ ที่เราไปถึง ทั้งการกินอยู่ และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปตามตารางเวลาทุกประการ หากว่าเราจะต้องนอน ในช่วงระหว่างเวลากลางวัน ให้นอนน้อยกว่าสองชั่วโมง ให้ออกนอกบ้าน ในตอนที่มีแสงสว่าง (หมายถึง เวลาเช้า เร็วเท่าที่จะทำได้สักประมาณ 2 ชั่วโมง) แสงสว่างของดวงอาทิตย์ จะช่วยให้เราปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกายใหม่เร็วขึ้น ในท้ายที่สุด ลองดื่มนมสักแก้ว หรือกินไอศกรีม ก่อนที่จะเข้านอน ถ้าหากว่ามีปัญหาในเรื่องการนอน
ข้อแนะนำข้างต้นฟังดูแล้วอาจคล้ายกับการรักษาแบบพื้นบ้านในสมัยก่อน แต่ก็วางอยู่บนรากฐาน ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์นม มีคุณสมบัติหลายประการ ที่มีอิทธิพลต่อความง่วงเหงาหาวนอน


คำแนะนำต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นไปได้ที่อาจจะไม่ได้ทำให้เราสามารถเอาชนะอาการ jet lag ได้อย่างสมบูรณ์ แต่จะสามารถช่วยลดอาการที่ไม่สบายต่าง ๆ ของการเปลี่ยนแปลงเรื่องโซนเวลาของเราได้บ้าง สิ่งที่ทำงานได้ผลดีที่สุดสำหรับคน ๆ หนึ่งนั้น อาจไม่จำเป็นต้องได้ผลดีที่สุดสำหรับคนอีกคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ขอให้คิดถึงข้อแนะนำต่าง ๆ เหล่านี้ในฐานะที่เป็นแนวทาง สำหรับพัฒนาแผนการต่าง ๆ ของตัวเราเอง เพื่อการบินที่เป็นปกติ


ที่มา
ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลเวชธานี

Tuesday, January 12, 2010

8 กฎเหล็ก......การทาน ‘น้ำผึ้ง’ ตามศาสตร์จีน

กินถูกหลัก ได้ครบคุณค่าสารอาหาร
  1. ผู้ป่วยเบาหวานห้ามกิน เนื่องจากน้ำผึ้งมีปริมาณกลูโคส และฟรักโทส ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวแร็ว การหลั่งอินซูลินของตับอ่อนไม่พอ
  2. ห้ามกินปริมาณมาก ๆ โดยเฉลี่ยวันละ 1 - 2 ช้อน ประมาณ 20 กรัม ในกรณีพิเศษ อาจกินเพิ่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 50 กรัม/วัน
  3. คนที่ถ่ายเหลว หรือท้องเสีย เพราะจะทำให้ถ่ายมากขึ้น เนื่องจากน้ำผึ้งจะดูดน้ำ ทำให้ขับอุจจาระมากขึ้น
  4. ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน หรือมีผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากภาวะความชื้นตกค้าง
  5. การผสมน้ำอุ่น ประมาณไม่เกิน 40 องศา ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัด ๆ เพราะจะทำลายคุณค่าของเอนไซม์ วิตามิน และกรดอะมิโน และสารที่มีคุณค่า ๆ ในฤดูร้อนสามารถใช้น้ำเย็นชงดื่ม แต่ควรจะผสมน้ำขิงเล็กน้อย เพื่อป้องกันกระเพาะอาหารกระทบความเย็น
  6. ไม่ควรกินร่วมกับเต้าหู้ เนื่องจากเต้าหู้มีรสหวาน เค็ม มีคุณสมบัติเย็น สรรพคุณขับร้อนกระจายเลือด เมื่อกินร่วมกันทำให้ท้องเสียง่าย อีกเหตุผลหนึ่ง คือ เอนไซม์จากน้ำผึ้ง จะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ โปรตีน สารอินทรีย์ของเต้าหู้ จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการด้อยไป
  7. ไม่ควรกินพร้อมผักกุยช่าย เพราะกุยช่ายมีวิตามินซีมาก จะทำปฏิกิริยากับโลหะทองแดง และเหล็กในน้ำผึ้งเกิดออกซิเดชัน ทำให้คุณค่าด้อยลง อีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือ น้ำผึ้งทำให้ระบายกุยช่ายมีเส้นใยมาก เมื่อกินร่วมกันจะทำให้ท้องเสียง่าย
  8. ไม่ควรกินร่วมกับหัวหอม และกระเทียม จะทำให้ฤทธิ์ของน้ำผึ้งด้อยลง

การเลือกซื้อเครื่องสำอาง

กลเม็ดเคล็ดไม่ลับในการเลือกซื้อเครื่องสำอาง
  • -ก่อนอื่นต้องดูเลยว่า เป็นเครื่องสำอางเถื่อนหรือไม่? หากดูแล้วว่าไม่มีการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อย่าซื้อเด็ดขาด เนื่องจาก เครื่องสำอางเถื่อนเหล่านี้ จะผสมสารต้องห้ามที่มีพิษต่อร่างกาย
  • -ถัดมาให้ดูรายละเอียดบนฉลาก หรือบนกล่อง วันหมดอายุ และเครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บนบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ นั้นๆ จากนั้นก็มาดูส่วนผสม ซึ่งจะบอกได้ว่าในเครื่องสำอางที่เรากำลังจะควักเงินซื้อนั้น มีส่วนผสมที่เราแพ้หรือไม่ อีกส่วนที่ควรใส่ใจก็คือ ชื่อบริษัทผู้ผลิต ที่อยู่ หรือบริษัทผู้นำเข้า ในกรณีที่เกิดอันตรายจากเครื่องสำอางนั้น จะได้โทรไปสอบถามหรือร้องเรียนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าได้
  • -สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่ไม่ค่อยมีใครเห็นความสำคัญนัก ก็คือ "การอ่านฉลากวิธีใช้" ว่าควรใช้ในปริมาณเท่าใด กี่ครั้งต่อวัน ใช้ที่จุดไหนของร่างกาย เพื่อให้ใช้ได้ถูกต้อง ส่วนคนที่แพ้ง่ายแนะนำว่า ควรพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ซึ่งเครื่องสำอางหลายยี่ห้อจากต่างประเทศ จะมีระบุชัดอยู่ในบรรจุภัณฑ์ว่า “Alcohol Free” แปลว่า "ในเครื่องสำอางชิ้นนั้นปราศจากแอลกอฮอล์" แต่เครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศไทย ยังไม่ค่อยมีแจ้งแบบนี้

ส่วนวิธีการทดสอบการแพ้เครื่องสำอางด้วยตัวเองง่าย ๆ ว่า มีเครื่องสำอางหลายประเภทที่แม้จะเป็นยี่ห้อดี ยี่ห้อดัง มีตรารับรองมาตรฐาน แต่ดันไม่ถูกกับผิวของเราเสียนี่ เหตุผลก็เพราะเป็นที่ผิวของเรา ที่มีปฏิกิริยาไวต่อสารเคมีเป็นพิเศษนั่นเอง แต่ใครจะแพ้อะไรนั้น เป็นเรื่องของใครของมัน ต้องทดสอบด้วยตนเอง และเมื่อทราบว่าแพ้แล้ว ก็ต้องจำเอาไว้ว่าตัวเองแพ้อะไร คราวหน้าก่อนซื้อจะได้อ่านฉลากดูส่วนผสมให้มั่นใจเสียก่อนว่า ไม่มีสารที่เราแพ้ ก่อนจะควักกระเป๋าซื้อมา

ส่วนผู้ที่ผิวแพ้ง่าย หรือกลัวจะแพ้เครื่องสำอางที่อยากซื้อ ก็มีวิธีง่าย ๆ ที่ทำได้ไม่ยาก และเป็นวิธีที่ถูกต้องมาฝาก ก็คือ "ให้นำเครื่องสำอางที่ต้องการจะซื้อ มาป้าย ฉีด ยา หรือทา ลงบริเวณผิวเนื้ออ่อน ๆ อย่างหลังใบหูหรือท้องแขน"


เคล็ดลับอยู่ที่ใช่ว่า เทสต์ปุ๊บ จะขึ้นปั๊บ เพราะอาการแพ้อย่างน้อยที่สุด จะต้องใช้เวลา 20 - 30 นาที ผิวหนังบริเวณนั้น จึงจะมีปฏิกิริยา เช่น เกิดรอยแดง ผื่น หรือรู้สึกระคายเคือง ดังนั้น หากจะเทสต์จริง ๆ ไปขอเทสต์ก่อน จากนั้นไปเดินดูของอื่น ๆ จนจะกลับ หากผิวไม่แพ้ จึงค่อยกลับไปซื้อ ทิ้งระยะให้สารเคมีทำปฏิกิริยาสักนิด


ที่มา
ภญ. วิมล อนันต์สกุลวัฒน์
เภสัชกรฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลศิริราช

Friday, January 8, 2010

ผมร่วง...... แนะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยได้

"เส้นผม" เปรียบเสมือนแขนขาของผิวหนัง เส้นผมและขนในแต่ละส่วนของร่างกายคนเรา ไม่เหมือนกัน คนเรามีขนหลายชนิด ภาษาไทยเรียกขนบนศีรษะว่า "ผม" แต่ขนที่บริเวณอื่น จะเรียกว่า "ขน" ขณะที่ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า "hair" ทั้งหมด โดยปกติหนังศีรษะของคนเรามีเลือดมาเลี้ยงมาก และทำหน้าที่ควบคุมการกระจายความร้อนของร่างกาย บนหนังศีรษะมีเส้นผมรวมทั้งสิ้น ประมาณ 120,000 เส้น โดย ผมสีบลอนด์จะมีจำนวนเส้นผมมากกว่าสีอื่น ๆ โดยมีประมาณ 140,000 เส้น ผมสีเข้มมีประมาณ 105,000 เส้น ในขณะที่ผมสีแดงจะมีประมาณ 90,000 เส้น

นอกจากเส้นผมบนหลังศีรษะแล้ว ทั่วร่างกาย มีขน และผมรวมทั้งสิ้น 5 ล้านเส้น ในร่างกายของคนเรา ส่วนที่ไม่มีผมและขนเลย คือ ริมฝีปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ทั้งนี้พบว่าในแต่ละวัน เส้นผมหลุดร่วงจากหนังศีรษะไม่เกิน 100 เส้น

เหตุปัจจัยที่ทำให้ผมร่วง
  • -อายุ, พันธุกรรม และฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งพบว่า ถ้าอายุมากขึ้น การเจริญเติบโตของเส้นผม จะโตช้าลง
  • -ฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่เป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศชายที่มีชื่อว่า “แอนโดรเจน” ซึ่งถ้าระดับของฮอร์โมนแอนโดรเจนในร่างกายมีสูง ก็จะส่งผลทำให้ผมร่วง ดังนั้น ทั้งเพศหญิง และเพศชายมีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนแอนโดรเจนได้ทั้งสองเพศ
  • -ภาวะตั้งครรภ์ ในเพศหญิง หรือผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดมาเป็นเวลานาน อาจเกิดอาการผมร่วงได้ ซึ่งจะหายเป็นปกติ หลังเลิกกินยาเม็ดคุมกำเนิด หรือหลังคลอดบุตรประมาณ 4-6 เดือน
  • -ยาเคมีบำบัด และโรคภัยไข้เจ็บ ผมร่วงที่เป็นผลจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัด เป็นสิ่งที่พบเห็น และทราบกันดี แม้ว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับยาเคมีบำบัดทุกชนิด แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะหลีกเลี่ยงได้ยาก นอกจากนี้ ยังมียาอื่น ๆ ที่ทำให้ผมร่วงได้เหมือนกัน เช่น ยารักษาโรคเก๊าต์ ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต และยาโรคหัวใจบางชนิด การใช้วิตามินเอในขนาดสูง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้มาก และมักจะดีขึ้นเมื่อหยุดยาแล้ว รวมทั้งโรคภัยต่าง ๆ ที่พบบ่อย ในเวชปฏิบัติที่เป็นสาเหตุของอาการผมร่วง ได้แก่ โรคของต่อมไทรอยด์ โรคเบาหวาน โรคติดเชื้อราที่หนังศีรษะ ภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งพบได้ในผู้หญิงที่เสียเลือด จากการมีประจำเดือนครั้งละมาก ๆ รวมทั้ง โรคเรื้อรังทั้งหลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้

การป้องกันไม่ให้ผมร่วง

  1. เลือกรับประทานอาหาร และของที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม เช่น ธัญพืช, ข้าวกล้อง, งาดำ, เมล็ดทานตะวัน, ฟักทอง
  2. ควรนวดหนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพื่อบำรุงรากผมบ้าง
  3. ควรทำความสะอาดผมอย่างสม่ำเสมอ4ค
  4. ควรใส่ครีมบำรุงผม ทุกครั้งที่สระผม
  5. ควรรับประทานแร่ธาตุ ที่มีประโยชน์ต่อรากผม เช่น Biotin ไบโอติน หรือ Vitamin H จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่ง ในกลุ่มวิตามิน บี จำเป็นสำหรับขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย ซึ่งช่วยบำรุงผิวหนัง ผม กล้ามเนื้อ และประสาท อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิร์ต ผักต่าง ๆ โดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด และแครอท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามิน ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

การรักษา

  1. การรักษาโดยคำนึงถึงสาเหตุหลักและปัญหาเป็นสำคัญ
  2. การใช้ยาทา minoxidil เพื่อช่วยเพิ่มเลือดไหลเวียนไปที่บริเวณรากผม และโคนเส้นผม
  3. การใช้ยาต้านฤทธิ์ฮอร์โมนแอนโดรเจน ชื่อ finasteride ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่า ได้ผลในการรักษาพอสมควร แต่มีข้อควรระวังที่สุด คือ ยานี้ทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ห้ามใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์อย่างเด็ดขาด แต่ในกรณีที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ เพื่อรักษาอาการดังกล่าว หรือพิจารณาใช้ยาแอนทราลินชนิดทา หรือทาร์ชนิดทา ช่วยในการรักษาเพิ่มเติม ซึ่งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการผ่าตัดปลูกเส้นผมจริง เพื่อช่วยขจัดปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านได้

Thursday, January 7, 2010

การใช้ถุงยางอนามัย (ชาย)

"การใช้ถุงยางอนามัย" เป็นวิธีคุมกำเนิดวิธีหนึ่ง เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ทุกชนิด รวมทั้งการติดเชื้อเอดส์ การศึกษาวิจัยทางการแพทย์สรุปไว้อย่างชัดเจนว่า การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการป้องกันการตั้งครรภ์ และการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น มักจะเป็นจากการใช้ที่ไม่ถูกต้อง เช่น ถุงยางแตก หรือถุงยางหลุด เป็นต้น

การตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่ามีการใช้ถุงยางอนามัย เกิดจากการที่ไม่ใช้ทุกครั้ง หรือใช้อย่างไม่ถูกต้อง ไม่พบว่าเกิดจากปัญหาของถุงยางอนามัยโดยตรงเลย สำนักงานอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกาเคยทำการวิจัยครั้งใหญ่ พบว่าถุงยางอนามัยที่ได้ผลิตมาจากโรงงานที่ได้มาตราฐาน จะไม่มีปัญหาที่น้ำอสุจิหลุดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย
หัวใจสำคัญในเรื่องการใช้ถุงยางอนามัย จึงมีสองประการ คือ ต้องใช้ทุกครั้ง และใช้อย่างถูกต้อง

ถุงยางอนามัยที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เรียกว่า latex condom หรือ latex rubber condom ย้อนไปเมื่อประมาณปี 1980-1985 พบว่า การใช้ถุงยางอนามัยไม่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่เป็นการใช้เพื่อคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ แม้ว่าจะทราบกันมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้วว่า การใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคดิดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่แนวความคิดนี้ยังไม่แพร่หลาย จนกระทั่งเมื่อเริ่มมีการระบาดของโรคเอดส์ ถึงมีการรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัยกันอย่างกว้างขวาง และถือเป็นมาตราการที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดอย่างหนึ่ง

ถุงยางอนามัยยุคแรกสุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ ทำมาจากผ้าทอ ซึ่งไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ และไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ ต่อมาได้พัฒนาการผลิต หันมาใช้ไส้แกะ ซึ่งก็ดีขึ้นบ้างแต่ประสิทธิภาพยังต่ำอยู่ จนถึงยุคสมัยที่นำยางมาใช้ในแวดวงอุตสาหกรรม เมื่อประมาณปี 1930 ถุงยางอนามัยจึงเริ่มเป็นอุปกรณ์ลักษณะแผ่นยาง ที่ทำจากสารสังเคราะห์ของยาง และพลาสติก ปัจจุบันมีการผลิตถุงยางอนามัยจากสารโปลียูรีเธนมากขึ้น

หลักการใช้ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยใช้สวมใส่อวัยวะเพศชาย เมื่อแข็งตัวเต็มที่ ทำหน้าที่เป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้ตัวเชื้ออสุจิเข้าสู่ช่องคลอด ที่ปลายถุงยางอนามัย จะมีกระเปราะเล็ก ๆ สำหรับรองรับน้ำอสุจิ

วิธีใช้ถุงยางอนามัย

  1. ผู้ที่ใช้ต้องใส่ และถอดให้ถูกวิธี โดยให้ใส่ เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่เท่านั้น
  2. บีบปลายกะเปาะไล่ลม แล้วสวมลงบนอวัยวะเพศ รูดลงมาจนสุด
  3. เมื่อเสร็จการร่วมเพศ ต้องรีบดึงอวัยวะเพศออก ขณะยังแข็งตัวอยู่ มิฉะนั้นถุงยาง อาจจะหลุดอยู่ในช่องคลอดได้
  4. ต้องดึงออก โดยมิให้น้ำอสุจิไหลออกมาอยู่บริเวณอวัยวะเพศหญิง
  5. มีถุงยางอนามัยสำรอง เตรียมพร้อมไว้เสมอ

ในต่างประเทศบางแห่ง หลักการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ การเรียนรู้วิชาเพศศึกษาที่ถูกต้องในโรงเรียน

ปัญหาที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่ถูกต้อง
  • ใช้สารหล่อลื่นไม่ถูกต้อง ทำให้ถุงยางแตก หรือลื่นหลุด
  • ไม่ใช้ถุงยางอนามัยใหม่แกะกล่อง
  • ใช้ถุงยางเพียงครั้งแรกเท่านั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ต่อไป ไม่ได้ใช้ถุงยาง
  • ใช้ถุงยางอนามัยที่เสื่อมสภาพอย่างเห็นได้ชัด
  • มึนเมาสุรา หรือสารเสพติด จึงตัดสินใจถอดถุงยางทิ้งกลางคัน
  • แกะถุงยางอนามัยออกมาเล่น ก่อนมีเพศสัมพันธ์
  • ใส่ถุงยางผิดด้าน แล้วนำกลับมาใช้ใหม่
  • สำหรับผู้ที่ไม่ได้ขลิบปลายอวัยวะเพศ ต้องดึงหนังหุ้มรูดให้สุดเสียก่อน

การเก็บรักษา
ถุงยางอนามัยควรเก็บรักษาไว้ในที่ไม่ถูกแสงแดด หรือที่มีอุณหภูมิสูง


ความสามารถในการป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยสามารถกีดขวาง ไม่ให้ตัวเชื้ออสุจิ และเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ เข้าสู่ช่องคลอดได้ดังต่อไปนี้
  • ตัวเชื้ออสุจิ (spermatozoa) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 3000 นาโนเมตร
  • เชื้อก่อโรคซิฟิลิส (Treponema pallidum) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 600 นาโนเมตร
  • เชื้อก่อโรคหนองใน (Neisseria gonorrhoeae) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 800 นาโนเมตร
  • เชื้อก่อโรคหนองในเทียม (C. trachomatis) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 200 นาโนเมตร
  • เชื้อไวรัสเอดส์ (HIV) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 นาโนเมตร
  • เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี (hepatitis B virus) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 นาโนเมตร



ที่มา
นพ. วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

Tuesday, January 5, 2010

เลือดจระเข้ ... ใช้รักษาได้จริงเหรอ?

ด้วยภาพลักษณ์ของจระเข้ สัตว์กินเนื้อที่มีนิสัยดุร้าย ชวนให้หนาว ๆ ร้อน ๆ เมื่อต้องเข้าใกล้ แต่สักกี่คนจะเคยสงสัย ในกรณีที่จระเข้ต่อสู้กันด้วยคมเคี้ยว แล้วเกิดบาดแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ตามลำตัว แต่เวลาไม่นานแผลนั้นกลับหายสนิท ทั้ง ๆ ที่จระเข้ต้องอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำ ซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อโรคมากมาย? แถมชาวจีนยังนิยมการรับประทานจระเข้ เพราะเชื่อว่าช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ และโรคหอบได้อีกต่างหาก

และแล้วข้อสงสัยดังกล่าว นำมาซึ่งการศึกษาของนักวิจัยหลายชาติ และล่าสุดก็คือ ทีมนักวิจัยไทย ในเบื้องต้น

เราสามารถใช้ประโยชน์จากเลือดจระเข้ 100% ในรูปแบบผงแห้ง บรรจุแคปซูลของโมด้าพลาส


ทั้งยังผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาแล้ว เนื่องจากเลือดจระเข้
ที่นำมาผลิตนั้นเจาะดูดจากจระเข้ที่เลี้ยงในฟาร์มปิด เป็นจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทย
อายุ 3-4 ปี เลือดที่ใช้ จะผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อแบบพาสเจอร์ไรเซชั่น
แล้วนำไประเหิดแห้งด้วยการฟรีส-ดราย และบรรจุใส่แคปซูล


แคปซูลเลือดจระเข้นั้น อุดมไปด้วยโปรตีน และธาตุเหล็ก มีสรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก ทั้งยังช่วยบำรุงร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และขณะนี้ทีมนักวิจัยไทยดังกล่าว กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา และทดลองประโยชน์ของเลือดจระเข้ ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย จากสารออกฤทธิ์ที่มีการตั้งชื่อว่า ‘คร็อกคอซินส์ แฟมิลิน’ เต็มไปด้วยเปปไทด์ หรือโปรตีนสายสั้น ๆ สามารถต้านการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ทำลายเชื้อแบคทีเรียอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างน้อย 6 ชนิด
หากสิ่งที่กำลังศึกษาประสบผลสำเร็จ ก็จะเป็นการเพิ่มช่องทางในการรักษาโรคทางเดินอาหาร โรคผิวหนัง แต่ที่น่าจะเห็นได้ชัด เพราะเป็นรูปธรรม คือ สารต้านโรคในเลือดจระเข้ จะกลายมาเป็นยารักษาแผลติดเชื้อ แผ่นปิดแผลป้องกันการอักเสบติดเชื้อ หรือครีมทาผิวป้องกันเชื้อโรคสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน.

เคล็ด(ไม่)ลับ สาวสวยใส แบบไทย ๆ

สาว ๆ ที่รักสวยรักงามฟังทางนี้ วันนี้มีเคล็ดลับในการทำสวยในฉบับประหยัดมาฝาก ไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องสำอางแพง ๆ ไม่ต้องเสี่ยงกับสารต่าง ๆ ที่ผสมมาโดยที่เราไม่รู้ ...เคล็ดลับที่ว่า ไม่ใช่อะไรเลย นอกไปเสียจาก “สมุนไพร” ที่มีอยู่คู่บ้านเรานี่เอง

พืชสมุนไพรที่ว่านี้มีทั้งผัก ผลไม้ต่าง ๆ อย่างมะนาว (limes), สัปปะรด (pineapples) สมุนไพร ได้แก่ ชา (tea), ชะเอม (licorice) น้ำมันต่าง ๆ อาทิ เช่น น้ำมันงา (sesame oil), น้ำมันละหุ่ง (eastor oil) และธัญพืชต่าง ๆ ได้แก่ ข้าวโอ๊ต, น้ำผึ้ง, และ ไขผึ้ง (bees wax)


เริ่มต้นความสวยความงามกันเลย

-ครีมมะเขือเทศ ที่มีสรรพคุณ ใช้ในทำความสะอาดผิวหน้า และช่วยป้องกันรูขุมขนอุดตัน รักษาสิวได้อีกด้วย ส่วนผสมที่ใช้ทำมี มะเขือเทศ 4 ผล น้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา ข้าวโอ๊ตบดละเอียด ขนาดพอให้ครีมข้นพอกหน้าได้
วิธีการทำ
เริ่มที่นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน ถูเบา ๆ บริเวณผิวที่มีปัญหา พอทั่วไว้ประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด

-ครีมล้างหน้า ขมิ้นชัน-มะขาม มีสรรพคุณใช้ทำความสะอาดผิวหน้า และช่วยรักษาสิว ที่เกิดจากการติดเชื้อ ส่วนผสมที่ใช้มี ขมิ้นชันบดละเอียด 1/2 ช้อนชา น้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา มะขามเปียก ที่เอาใย และเมล็ดออกหมดแล้ว 2- 3 ฝัก
วิธีทำ
นำมะขามเปียกมาคั้นกับน้ำอุ่น และนมสด กรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำผึ้ง และขมิ้นชันคนให้เข้ากัน นำไปบดให้ละเอียด แล้วทาบาง ๆ ให้ทั่วหน้า รอให้แห้งล้างออกให้สะอาด

-ครีมล้างหน้ามะขาม สำหรับผิวมัน สรรพคุณใช้ล้างหน้าแทนสบู่ เพื่อชำระล้างสิ่งสกปกแก่ผิว ทำให้ใบหน้าขาวนุ่มนวล ส่วนผสมก็มีมะขามเปียก ที่เอาใย และเมล็ดออกหมดแล้ว 2-3 ฝัก น้ำอุ่น 2 ช้อนโต๊ะ นมสด 6 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
ขั้นตอนการทำ เพียงนำมะขามเปียกมาคั้นกับน้ำอุ่น และนมสด กรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำผึ้งคนให้เข้ากัน นำไปบดให้ละเอียดแล้วทาบาง ๆ ให้ทั่วหน้า รอให้แห้งล้างออกให้สะอาด แต่ต้องจำไว้เสมอ ว่าต้องเก็บครีมล้างหน้ามะขามไว้ในตู้เย็น หรือนำไปนึ่งก่อนเก็บ

-ครีมกล้วยหอม สำหรับผิวแห้ง สรรพคุณ ใช้บำรุงผิวให้ความชุมชื้น และลดรอยเหี่ยวย่นของผิว โดยมีส่วนผสมดังนี้ กล้วยหอมสุกบด 1 ผล (ประมาณ 250 กรัม) น้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
ให้นำส่วนผสมดังกล่าวมาผสมเข้าด้วยกัน นำไปบดให้ละเอียดกัน นำไปบดให้ละเอียด และใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด

Saturday, January 2, 2010

ภาวะที่เกิดขึ้นจากแมลงกัด หรือผึ้งต่อย อาจมีแค่ผื่นคันเล็ก ๆ น้อย ๆ จนกระทั่ง มีอาการแพ้รุนแรง จนอันตรายถึงแก่ชีวิต ก็สามารถพบเห็นได้ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้น เพราะร่างกายได้รับสารบางอย่างจากแมลงเข้าไปในร่างกาย ทำให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งความรุนแรงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลไป

"ผึ้ง" เป็นแมลงสังคม ที่มีการแบ่งเป็นวรรณะต่าง ๆ ได้แก่ ราชินี ผึ้งตัวผู้ และผึ้งงาน โดยผึ้งงานเป็นผึ้งตัวเมีย ที่มีหน้าที่ดูแลรัง และหาอาหาร ผึ้งงานจะมีอวัยวะที่เรียกว่า "เหล็กไน" (sting) ซึ่งดัดแปลงมาจากอวัยวะ ที่ใช้ในการวางไข่ (ovipositor) โดยจะต่อกับถุงพิษ (venom sac) ซึ่งอยู่ภายในช่องท้อง ในระหว่างที่ผึ้งต่อย กล้ามเนื้อในช่องท้องจะบีบ ให้พิษออกมาจากถุงพิษ เข้าสู่เหล็กไน เมื่อผึ้งต่อย มันจะปล่อยเหล็กไน รวมทั้งถุงพิษออกมา แล้วตัวมันก็ตาย

พิษของผึ้ง จะประกอบไปด้วยโปรตีนที่เรียกว่า melitin เป็นองค์ประกอบสำคัญ ประมาณร้อยละ 50 ของพิษ สาร melitin มีผลทำให้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และไลโซไซม์แตก ผลตามมาก็คือ มีการหลั่งของเอ็นไซม์ต่าง ๆ และรวมทั้งฮิสตามีน (histamine) จากเซลล์ที่มีการแตกนี้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนชนิดอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบอยู่ เช่น apamine ซึ่งมีพิษต่อระบบประสาท hyluronidase ซึ่งมีผลทำให้พิษแพร่กระจายได้เร็วขึ้น และ phospholipase ซึ่งเชื่อว่าเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากผึ้งต่อยนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เสียชีวิต เพราะพิษของผึ้ง แต่เสียชีวิตจากปฏิกิริยาการแพ้ชนิดรุนแรง (anaphylaxis)

สาเหตุ

การถูกผึ้ง หรือต่อต่อย มักเกิดขึ้นจากการเดินผ่าน เข้าไปใกล้แมลงพวกนี้ บางครั้งอาจถูกต่อยในช่องปาก ขณะกลืนอาหารที่แมลงปะปนอยู่โดยบังเอิญ กรณีถูกผึ้ง หรือต่อรุมต่อยทั้งรัง มักเกิดจากการตั้งใจเข้าไปทำลายรัง โดยไม่รู้จักวิธีป้องกัน หรือเด็ก ๆ เล่นซนไปแหย่ หรือทำลายรังผึ้งรังต่อด้วยความคะนอง

กรณีอาการไม่รุนแรง


สำหรับกรณีไม่รุนแรง อาจมีอาการแค่ปวดเล็กน้อย ผื่นแดง และคันตรงตำแหน่งที่กัด ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยการล้างด้วยน้ำ และสบู่ ถ้าบวมแดง และคันมาก ๆ อาจใช้ครีม ที่มีส่วนผสมยาสเตียรอยด์ทา เพื่อแก้แพ้แก้คัน หากมีอาการปวดศรีษะ ง่วงซึม มีไข้ กล้าม เนื้อเกร็งตัว หรือ อาการใด ๆ ที่ท่านสงสัย และไม่แน่ใจ ควรไปพบแพทย์

กรณีอาการแพ้รุนแรง

สำหรับกรณีแพ้อย่างรุนแรงต่อพิษของแมลงที่กัด หรือผึ้งที่ต่อย อาจมีอาการดังนี้ ลิ้น ริมฝีปาก และตาบวม มีอาการอ่อนแรงของแขนขา ไอหรือหายใจลำบาก มีเสียงเหมือนคนเป็นโรคหอบหืด คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ และบางรายอาจหมดสติได้ สำหรับการรักษา หากเริ่มที่จะมีอาการรุนแรง ท่านควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจจำเป็นต้องรับการรักษา โดยการฉีดยาแก้แพ้ และเฝ้าระวังอันตรายอันอาจเกิดตามหลังดังกล่าวได้

อาการช็อกที่เกิดจากปฏิกิริยาแพ้ชนิดเฉียบพลัน
  1. ไม่สบาย และอ่อนเพลียมาก
  2. แน่นหน้าอก
  3. หายใจลำบาก หายใจหอบ หายใจมีเสียงดัง
  4. หน้าบวม คอบวม ลิ้นบวม
  5. คันผิวหนัง แสบร้อน โดยเฉพาะบริเวณหน้า หน้าอก หลัง
  6. คลื่นไส้ เวียนศีรษะ
  7. อาจเป็นลม ไม่รู้สึกตัว
  8. ชีพจรเต้นเร็ว แต่เบามาก ความดันโลหิต ตอนแรกอาจสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ต่อมาจะลดลงถึงระดับช็อก
  9. ริมฝีปากบวม ซีด หลังเขียวคล้ำ บริเวณรอบปากซีดขาว ลิ้นซีดขาว
  10. ผิวหนังทั่วไป อาจขาวซีดเป็นดวง ๆ หรือแบบลมพิษคือ บางส่วนบวมนูน บางส่วนขาวซีด

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายหลัง

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายหลัง (delayed reaction) อาจเกิดขึ้น 10-14 วัน หลังจากถูกแมลงต่อย อาการที่พบได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เกิดเป็นผื่นลมพิษ ต่อมน้ำเหลืองโต และข้ออักเสบแบบหลายข้อ บางครั้งผู้ป่วยลืมเหตุการณ์ที่ถูกผึ้งต่อยไปแล้ว

ในบางราย ปฏิกิริยาภูมิแพ้อาจเกิดขึ้นช้า ประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังถูกต่อย ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดตามข้อ และกล้ามเนื้อ ข้อบวมเจ็บ ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วตัว บางรายอาจเกิดไตอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ เลือดจางจากเม็ดเลือดแดงแตก เกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย มีจ้ำเขียวตามตัว ประสาทตาอักเสบ ตามัว ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น

การปฐมพยาบาล
  1. บางท่านที่มีประวัติแพ้สารพิษจากแมลงกัด หรือผึ้งต่อย และมีอาการรุนแรง หากโดนกัดบริเวณแขนหรือขา ท่านอาจจะให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คล้ายกับกรณีงูกัดด้วยก็ได้ โดยพันผ้าเหนือบริเวณที่ถูกกัด 2-4 นิ้ว และทำความสะอาดตรงตำแหน่งที่ถูกกัดด้วยน้ำ และสบู่
  2. ผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้พิษผึ้งอย่างรุนแรง ควรมีป้าย หรือเครื่องหมายที่บ่งบอกว่า เคยแพ้พิษผึ้งติดตัวไว้ตลอดเวลา และเมื่อต้องออกนอกบ้าน ควรพกชุดปฐมพยาบาล ซึ่งมีกระบอกฉีดยาซึ่งบรรจุ epinephrine 1:1000 พร้อมสำหรับฉีด เมื่อมีอาการแพ้หลังถูกผึ้งต่อย ผู้ป่วยต้องฉีดยาเข้าในชั้นใต้ผิวหนังทันที
  3. ก่อนหน้านี้ มีความเชื่อว่า เมื่อถูกผึ้งต่อย ไม่ควรใช้ปลายนิ้วหยิบเหล็กไนออก เพราะจะเป็นการบีบถุงพิษ ทำให้พิษไหลเข้าไปในบาดแผลมากขึ้น ควรใช้วัสดุแบน ๆ เช่น ใบมีดหรือบัตรพลาสติกขูดออก แต่ปัจจุบันพบว่า ไม่ว่าการใช้ปลายนิ้วหยิบ หรือใช้วัสดุอื่นขูดเหล็กไนออก ก็ไม่มีผลในการทำให้พิษไหลเข้าไปในบาดแผลมากขึ้น การเสียเวลาหาวัสดุ ที่จะใช้ในการขูดเหล็กไนออก กลับจะยิ่งทำให้พิษ ถูกขับเข้าไปในบาดแผลมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น การขูดเหล็กไนออก มีโอกาสที่จะทำให้เหล็กไนตกค้างอยู่ในแผลมากกว่าด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

พิษผึ้ง และต่อ อาจทำให้เกิดพิษต่ออวัยวะทั่วร่างกาย ที่สำคัญ คือ ภาวะช็อก และไตวายเฉียบพลัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

การดำเนินโรค
  1. ถ้าถูกต่อยเพียงครั้งเดียว หรือไม่กี่ครั้ง และมีอาการที่บาดแผลเฉพาะที่ที่ถูกต่อย ก็มักจะหายได้ภายในไม่นาน
  2. แต่ถ้ามีปฏิกิริยาภูมิแพ้ หรือเป็นพิษรุนแรง ก็อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน
  3. บางรายปฏิกิริยาภูมิแพ้ อาจเกิดหลังถูกต่อย 1-2 สัปดาห์
  4. รายที่มีภาวะช็อกจากการแพ้ หลังให้ยารักษาครั้งแรก อาการจะทุเลาไปได้ แต่หลังหยุดยาอาจเกิดภาวะช็อกกำเริบซ้ำได้ จึงต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล จนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยแน่นอนแล้ว

ควรรีบไปพบและปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
  1. อาการปวด บวม แดง คัน ไม่ยุบภายใน 6 ชั่วโมง
  2. แผลบวมขึ้นเรื่อย ๆ หรือมีอาการปวดมาก
  3. เป็นลมพิษทั่วตัว หรือริมฝีปากบวม หนังตาบวม
  4. มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน หรือเจ็บแน่นหน้าอก
  5. หายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือมีอาการเป็นลม
  6. ถูกต่อยที่ลิ้น หรือภายในช่องปาก หรือที่ตา
  7. ถูกผึ้ง หรือต่อ รุมต่อยจำนวนมาก
  8. เคยมีประวัติถูกผึ้ง หรือต่อต่อยมาก่อน เคยมีอาการแพ้แมลงพวกนี้มาก่อน หรือเป็นคนที่แพ้อะไรง่าย
  9. มีอาการผิดปกติ (เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อตามข้อ ตามัว จ้ำเขียวตามตัว เป็นต้น) เกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังถูกต่อย
  10. มีความวิตกกังวล หรือไม่แน่ใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

  1. กำจัดขยะ และเศษอาหารบริเวณบ้าน เพื่อไม่ให้มีแมลงมาตอม
  2. กรณีที่ต้องเดินทางเข้าไปในที่ที่มีแมลงชุกชุม หรือออกไปกลางแจ้ง ไม่ควรใส่เสื้อผ้าฉูดฉาด ลายดอกไม้ หรือใส่น้ำหอม ซึ่งล่อให้ผึ้ง หรือต่อมาต่อยได้
  3. อย่าแหย่ หรือทำลายผึ้ง และเตือนเด็ก ๆ อย่าไปแหย่รังผึ้ง หรือรังต่อด้วยความคะนอง
  4. ถ้ามีรังผึ้ง หรือรังต่อ ภายในบริเวณบ้าน ควรตามผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากำจัดรังแทน
  5. ถ้าถูกผึ้ง หรือต่อต่อย ควรวิ่งหนีโดยเร็วที่สุด ให้ห่างจากรังเกิน 7 เมตรขึ้นไป และควรใช้ผ้าคลุมศรีษะ ป้องกันไม่ให้ตัวต่อติดอยู่ใน

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

Friday, January 1, 2010

นั่ง-นอน ให้ถูกท่า กายาปลอดโรค

การนอนให้ได้ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด แต่มีสักกี่คนที่รู้ว่า นั่งและนอนผิดท่าก็นำมาซึ่งโรคปวดหลังและคอระยะยาวได้เช่นกัน โรคปวดหลังและคอเป็นโรคที่สามารถเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย และเกิดได้มากกว่า 1 ครั้งในชีวิต โดยขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวัน เช่น การเล่นกีฬา การยกของหนัก ท่าทางที่ใช้ในการยืน การนั่ง การนอน ทั้งเวลาทำงานและอยู่ที่บ้าน

โรคปวดหลังและคอเกิดได้ในทุกอาชีพ อาการปวดค่อยเป็นค่อยไป เช่น มีอาการปวดบริเวณคอ จะเจ็บแปล๊บไปที่แขน ปวดเอวเจ็บแปล๊บไปที่ขา และหากเป็นต่อเนื่องโดยรับการรักษาทั้งยากิน ยาทา แล้วยังไม่หายใน 3 สัปดาห์ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัดในการรักษา ซึ่งมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ทั้งจุดเดิมที่เคยปวด และจุดอื่น หากผู้ป่วยยังไม่ปรับเปลี่ยนกิจวัตรในการเคลื่อนไหว

หลายคนมักเข้าใจว่า การยกของหนัก 1 วัน การประสบอุบัติเหตุเช่น ตกจากที่สูง อุบัติเหตุ หรือเล่นกีฬาที่หักโหม เป็นสาเหตุของโรคปวดหลังและคอ สาเหตุเหล่านี้ไม่ใช่ตัวการทำให้เกิดโรคปวดหลังและคอ เพราะอาการดังกล่าวมักหายใน 2-3 วันหลังการกินยาหรือทายาแก้ปวด


กรณีที่อาการปวดยังคงอยู่มากกว่า 4 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง อาทิ กระดูกหัก หมอนรองกระดูกเสื่อม อันเป็นผลมาจากกระดูกอ่อนที่หุ้มกระดูกสันหลังแต่ละปล้อง เกิดการฉีกขาด ภาวะข้อเสื่อม ช่องไขสันหลังตีบ เป็นต้น

"การนอน" เป็นสาเหตุให้เกิดการปวดหลังและคอได้อย่างหนึ่ง เพราะร่างกายเราต้องนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง อุปกรณ์ในการนอนจึงสำคัญมาก ทั้งที่นอน หมอนหนุน ต้องไม่นุ่มหรือแข็งเกินไป ควรเลือกให้พอดี เช่น หมอนควรเลือกที่มีความสูงระดับไหล่ในขณะที่หนุน และใช้ช่วงต้นคอและศีรษะหนุน เพื่อให้หมอนรองกระดูกอยู่ในท่าที่ตรงแนบกับที่นอน
ท่านอนหงายที่ถูกวิธี ควรหนุนหมอนที่ไม่สูง หรือต่ำเกินกว่าระดับไหล่ และใช้หมอนข้างรองช่วงข้อพับบริเวณหัวเข่า หรือเบาะรองนั่งรองจนถึงปลายเท้า เพื่อจัดร่างกายให้อยู่ในท่าที่หมอนรองกระดูกตั้งแต่คอถึงบั้นเอวได้นอนแนบกับที่นอน โดยที่กล้ามเนื้อไม่เกร็งหรืองอตัว

ท่านอนคว่ำ
เป็นท่าที่ควรหลีกเลี่ยง แต่หากจะต้องนอนคว่ำ ควรใช้หมอนบาง ๆ รองช่วงท้อง ไม่ควรรองบนศีรษะ รวมถึงไม่ควรนอนอ่านหนังสือ นอนดูทีวี เพราะ หมอนรองกระดูกบริเวณต้นคอจะต้องตั้งขึ้น และทำให้เกิดอาการปวดคอ และหลังตามมาในที่สุด

ท่านอนตะแคงที่ถูกต้อง
ควรมีหมอนข้างสำหรับรองรับช่วงขาและแขน เพราะหากไม่มีหมอนข้างรอง มีโอกาสสูงมาก ที่กล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลังช่วงบั้นเอวถึงช่วงสะโพกเกิดการเกร็งตัว และมีอาการปวดตามมา

"โรคปวดหลังและคอ" เมื่อเป็นแล้ว รักษาหายขาดได้กว่า 90% ด้วยวิธีพื้นฐานที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่โอกาสกลับมาเป็นซ้ำเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะคนที่รับการรักษาแล้ว ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การนอนดูทีวี นอนอ่านหนังสือบนเตียง เพราะมีผลให้เกิดการปวดหลังและคอตามมาระยะยาว

วิธีการรักษาโรคปวดหลังและคอโดยไม่ผ่าตัด แพทย์จะใช้วิธีพื้นฐาน ได้แก่ การพัก เพราะกรณีที่ปวดหลังจากสาเหตุทั่วไป การนอนพักจะทำให้อาการดีขึ้นได้ภายใน 1-2 วัน โดยที่สามารถลุกนั่ง ทานอาหาร และเข้าห้องน้ำได้

สำหรับการกินยา จะใช้ในรายที่มีอาการปวดเฉียบพลัน ได้แก่ การกินยาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ และยากล่อมประสาท เนื่องจาก อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาได้ เช่น อาการระคายเคืองทางเดินอาหาร หรือแพ้ยา

การทำกายภาพบำบัด แพทย์เวชปฏิบัติจะแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เพื่อดูแลสุขภาพหลัง ตลอดจนการรักษาด้วยเครื่องนวดอัลตร้าโซนิก เครื่องนวดรังสีความถี่สั้น การประคบร้อน-เย็น การใช้อุปกรณ์สำหรับกระดูกสันหลังช่วยพยุงต้นคอ รวมถึงการใช้โปรแกรมออกกำลังกาย เพื่อทำกายภาพบำบัด

วิธีการฉีดยาลดการอักเสบเฉพาะที่ จะเป็นวิธีที่แพทย์เลือกใช้เฉพาะบางราย ที่มีอาการปวดรุนแรงมาก รวมถึงรายที่ได้รับยาแก้ปวดแล้ว ทำกายภาพบำบัดแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะเลือกใช้วิธีฉีดยาสเตียรอยด์ เข้าโพรงกระดูกสันหลัง บริเวณที่เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกทับเส้นประสาท หรือข้อต่อกระดูกสันหลัง เพื่อลดการอักเสบบริเวณดังกล่าว

สำหรับคนที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถนั่งให้ถูกท่าทางลดการเจ็บปวดได้ การนั่งหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ หน้าจอควรอยู่ระดับที่สายตา ทำมุมเอียงลงประมาณ 45 องศา และที่วางมือ ควรอยู่ระดับที่ข้อศอกงอประมาณ 10 องศา โดยที่มือวางในระดับที่ไม่แหงนมือ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาด้านหน้าข้อมือ เช่น การอักเสบบริเวณพังผืดหน้าข้อมือ ซึ่งมีโอกาสปวดเรื้อรังสูง ถ้าหากไม่รักษา หรือรักษาแล้วไม่ปรับวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ให้ถูกสุขลักษณะ

การนั่งบนเก้าอี้ควรนั่งเต็มก้น หลังตรงชิดเบาะ โดยมีเคล็ดง่าย ๆ คือ การแขม่วหน้าท้องน้อย ช่วยก็จะทำให้กระดูกสันหลังได้ระดับที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมกับวางฝ่าเท้าทั้งสองให้เต็มเท้า หากเก้าอี้สูงควรหากล่องหรือลังมารองให้ได้ระดับ หากทำได้เพียงเท่านี้ก็จะมีร่างกายที่พร้อมจะลุยกับทุกสถานการณ์ได้แล้ว


ที่มา
นพ. วีระพันธ์ ควรทรงธรรม
ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์