สาเหตุของโรคเริม
เชื้อไวรัสเริมเป็นดีเอ็นเอไวรัสชนิดสายคู่ ที่มีเปลือกหุ้มอนุภาคของไวรัส ประกอบด้วยส่วนเปลือก ส่วนนอกคลุม ส่วนนิวคลิโอแคปสิด และแกนดีเอ็นเอตรงกลาง
ส่วนนิวคลิโอแคปสิดของไวรัสเริม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 105 นาโนเมตร ประกอบไปด้วย 162 แคปโซเมอร์ โมเลกุลของดีเอ็นเอมีความยาว 150 กิโลเบส สร้างโปรตีนมากกว่า 100 ชนิด โครงสร้างจีโนมของไวรัสเริมคล้ายคลึงกับเชื้อชนิดอื่น ๆ ในตระกูลเดียวกันทั้งหมด ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนยาวและสั้น เรียงต่อกันในทิศทางต่าง ๆ เกิดเป็น 4 ไอโซเมอร์
เชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 ทำให้เกิดโรคเริมที่ริมฝีปากและรอบ ๆ ปากได้บ่อย ส่วนเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 ทำให้เกิดโรคเริมที่บริเวณอวัยวะเพศ บริเวณก้น และในร่มผ้าได้บ่อย ๆ ทั้งนี้พบว่าจีโนมของเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 และเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 มีความเหมือนกันมากถึงร้อยละ 50-70
การติดต่อ
ไวรัสเริมติดต่อทางการสัมผัสโดยตรง ผู้ได้รับเชื้อมีแผลถลอกอยู่ ทำให้เชื้อไวรัสเริมเข้าไปได้ โดยมาก มักพบเริมที่บริเวณริมฝีปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศ การจูบหรือดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ทำให้เชื้อเริมติดต่อได้ เช่นเดียวกับการมีเพศสัมพันธ์ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเป็นเริมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ปกติ ทางปาก หรือทางทวารหนัก มีรายงานการติดเชื้อเริม จากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ บางคนเป็นเริมที่นิ้วมือ โดยติดจากการจับมือกัน การโหนราวรถเมล์ การจับลูกบิดประตูห้องน้ำสาธารณะ การจับโทรศัพท์สาธารณะ โดยทั่วระยะเวลาฟักตัวของไวรัสเริม ประมาณ 2-20 วัน
ตำแหน่งของโรคเริม
- บริเวณปาก ริมฝีปาก และรอบๆ ปาก เป็นตำแหน่งที่พบบ่อยมาก
- บริเวณอวัยวะเพศ ก้น และในร่มผ้า เป็นตำแหน่งที่พบบ่อยเช่นกัน
- บริเวณมือ เป็นตำแหน่งที่พบได้น้อย นานๆจึงจะพบโรคเริมที่มือ นิ้วมือ ฝ่ามือ
- บริเวณเอว ลำตัว หลัง เป็นตำแหน่งที่พบค่อนข้างน้อยเช่นกัน อาจพบในนักมวยปล้ำ ที่มีการต่อสู้กอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน
- เริมเป็นโรคที่ติดต่อโดยการสัมผัส ดังนั้น บุคคลบางอาชีพจึงอาจจะเป็นเริม ที่ตำแหน่งแปลก ๆ ที่พบไม่บ่อยนักได้ เช่น ที่บริเวณนิ้วมือ พบในทันตแพทย์ หรือตามแขน หรือลำตัวในพวกนักมวย หรือ มวยปล้ำ
อาการของเริม
- ลักษณะเริ่มต้น เป็นตุ่มน้ำพองใสเหมือนหยดน้ำเล็ก ๆ มีขอบแดง มักขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม ต่อมาตุ่มน้ำเหล่านี้จะแตก เป็นแผลถลอกตื้น ๆ และหายไปในที่สุด
- อาจมีอาการคัน เจ็บ หรือปวดแสบปวดร้อน ส่วนใหญ่จะมีอาการเจ็บ ๆ แสบ ๆ คัน ๆ แต่ไม่มากนัก ไม่ถึงกับปวดจนนอนไม่ได้ ไม่ถึงกับคันมาก จนต้องเกาแรง ๆ
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณผื่นอาจจะโต และเป็นอยู่ประมาณ 10-14 วัน
การติดเชื้อครั้งแรก
การเป็นเริมในครั้งแรก มักจะมีอาการมากกว่าในครั้งถัด ๆ มา ถ้าเป็นที่ปาก จะมีอาการเป็นตุ่มน้ำพองเล็ก ๆ ทั่วทั้งช่องปาก โดยเฉพาะที่บริเวณเหงือก พบว่าต่อมน้ำเหลือง ในบริเวณใกล้เคียงบวมโต อาการค่อนข้างรุนแรง อาจมีไข้ปวดเมื่อย ถ้าเป็นเริมที่อวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ อาจมีอาการอักเสบร่วมด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า การติดเชื้อไวรัสเริมครั้งแรก จะเกิดตุ่มน้ำหลายกลุ่ม ต่อมาจะแห้งตกสะเก็ดแล้วแผลจึงจะหาย
การติดเชื้อซ้ำ
สำหรับปัญหาของโรคเริม ที่สำคัญคือ เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นจะมีการกลับเป็นผื่นใหม่เป็นระยะ ๆ เนื่องจากร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสไม่หมด การกลับมาเป็นใหม่ของโรคเริมแต่ละครั้ง จะเกิดตุ่มน้ำกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 5-7 วัน โดยไม่มีอาการ โดยมากเกิดปีละ 2-3 ครั้ง และเกิดใกล้ ๆ บริเวณเดิม โรคเริมที่เกิดซ้ำ อาการ และรอยโรค มักจะไม่ค่อยรุนแรงเหมือนครั้งแรก ผู้ป่วยจะมี “อาการเตือน” นำตุ่มน้ำมาก่อน 1–3 วัน เช่นเจ็บเสียวแปลบ ๆ คันยุบยิบ ปวดแสบปวดร้อน ในบริเวณรอยโรคเดิม แผลจะหายเร็วภายใน 5-10 วัน ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเอดส์ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง รอยโรคอาจรุนแรง หรือเป็นแผลเรื้อรังได้
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า การเป็นเริมครั้งถัด ๆ มา จะไม่ใช่เป็นการติดเชื้อใหม่ แต่เป็นเชื้อเดิมที่หายแล้ว และซ่อนตัวอยู่ในบริเวณปมประสาทที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อมีการกระตุ้น ก็จะย้อนแนวเส้นประสาทออกมาแสดงอาการที่ผิวหนังได้อีก ทำให้เริมมักจะเป็นในบริเวณเดิม ที่เคยเป็นมาแล้ว แต่อาการจะน้อยกว่า
ปัจจัยชักนำ ทำให้เกิดโรคเริม
ปัจจัยชักนำที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เกิดโรคเริมได้มากขึ้น ได้แก่
- ความเครียด
- ทำงานหนักมากเกินไป ทำให้ร่างกายอ่อนแอ อ่อนล้า ภูมิต้านทานของร่างกายลดน้อยลง ทำให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น
- นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้โอกาสติดเชื้อไวรัสจึงมีมากกว่าคนทั่วไป
- เชื้อไวรัสเริมชอบอากาศร้อนชื้น เหงื่อออกง่าย คนไทยจึงเป็นเริมกันบ่อย
- คนที่ไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย เช่น กำลังเป็นหวัด ร่างกายทรุดโทรมอ่อนแอ โอกาสติดเชื้อไวรัสเริมมีมากกว่าในคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
- ผู้ที่ต้องนอนอยู่บนเตียงนาน ๆ เช่น เป็นอัมพาต ผู้ที่รับการผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีกระดูกหัก ทำให้ขยับตัวลำบาก มีโอกาสเป็นเริมที่ก้นได้ง่าย
- เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ต่าง ๆ ผู้ที่เคยเป็นเริมแล้ว ถ้าวันไหนดื่มเหล้าเบียร์มากจนเกินไป จะมีโอกาสเป็นเริมซ้ำขึ้นได้อีกง่ายมาก
โดยทั่วไปแล้ว เริมสามารถหายได้เอง โดยไม่ต้องรักษา ซึ่งมักจะเป็นอยู่ประมาณ 10-14 วัน โดยที่ในระหว่างที่เป็น ผู้ที่เป็นสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้โดยการสัมผัส การใช้ยาต้านไวรัสช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ แผลหายเร็วขึ้น แต่ยังมีราคาค่อนข้างแพง
- ยาทาที่นิยมใช้ ได้แก่ Zovirax, Virogon, Vilerm, Zevin
- ยาชนิดรับประทาน ได้แก่ Zovirax, Valtrex, Famvir นิยมใช้ ในกรณีสำหรับผู้ที่มักจะกลับเป็นซ้ำได้บ่อย
คนทั่วไปที่เป็นเริม มักต้องการการรักษาตามอาการเท่านั้น เพราะเริมเป็นโรคที่หายได้เอง เว้นเสียแต่ในรายที่เพิ่งเริมแสดงอาการ หรือมีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือไม่มีแนวโน้มที่แผลจะหายเองได้เอง จึงควรที่จะได้รับยาต้านไวรัสที่จำเพาะกับโรค ร่วมไปกับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
ที่มา
นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
No comments:
Post a Comment