Search This Blog

Monday, April 5, 2010

รักษามะเร็งตับ เงินน่ะมีไหม?

หนังสือรอดตายจากมะเร็งยกขบวนกันออกมา ก็ใช่ว่าเป็นมะเร็งแล้วรอดทุกราย (หรือตายทุกราย) เพราะปัจจัยสำคัญแท้จริงคือ เงินน่ะมีไหม?

ปัญหาของการรักษาโรคมะเร็ง คือ การเข้าไม่ถึงยา เนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ในการรักษา เฉลี่ยสูงถึง 2 แสนบาทต่อเดือน และถ้าหากมองถึงระยะยาว คนรายน้อยถึงปานกลางมีโอกาสในการรักษา เรียกว่าน้อยมาก โดยเฉพาะมะเร็งที่ไม่แสดงอาการให้เห็นอย่าง มะเร็งตับ

อย่างที่รู้กันว่า หากพบก้อนมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถ รักษาให้หายได้ ด้วยการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก ซึ่งค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาพบแพทย์ มักจะมาพร้อมกับก้อนมะเร็งในระยะลุกลาม การรักษาจึงรักษาไปตามไม่ช่วยให้หายขาด แต่สามารถยื้อชีวิตได้นานขึ้น

“หลังจากพบว่าเป็นมะเร็งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ใน ลักษณะประคับประคอง ช่วง 3-6 เดือน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาพยาบาลหลักแสนบาทต่อเดือน”

ค่าใช้จ่ายการวินิจฉัยรักษา เช่น การเอ็กซ์เรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท  การตรวจเลือด ฉีดสี เพื่อดูการทำงานของตับ การผ่าตัดปลูกถ่ายตับใหม่ การจี้ทำลายเซลล์มะเร็ง การรักษาดัวยเคมีบำบัด ซึ่งได้ผลเพียง 10% และยารักษาชนิดเจาะจงเฉพาะจุด ความหวังใหม่ในการรักษา ซึ่งแพทย์จะพิจารณาวิธีการตามอาการที่ปรากฏ

ปัจจุบันอัตราการเกิดโรคมะเร็งตับอยู่ที่ 30-40% ส่วนมากเป็นเพศชาย ที่อายุ 40-50 ปี ขณะที่เพศหญิงพบเพียง 10% ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ มักมาพบแพทย์เมื่ออาการ ลุกลาม หรือเมื่อเกิดภาวะตับแข็งขึ้นแล้ว เนื่องจากมะเร็งตับมักจะไม่แสดงอาการเมื่อ เริ่มเป็นในระยะแรก

เมื่อดูจากสถิติจะพบว่า ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ในระยะที่ปานกลาง มีโอกาสรอดชีวิตที่ 3 ปี ประมาณ 50% แต่หากมาด้วยมะเร็งตับระยะลุกลาม อัตรารอดชีวิตที่ 3 ปี เพียง 8%

แม้ว่าการรักษาแบบใหม่โดยใช้ยารักษาแบบเฉพาะจุด หรือ targeted cancer treatment  จะถูกคิดค้นขึ้น เพื่อแทนที่การรักษาแบบเดิม เช่น การฉายแสง หรือเคมีบำบัด ช่วยยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ยาวนานขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงยา ก็ไม่ได้ถูกลงไปกว่าการรักษา ด้วยเคมี แถมยังแพงกว่าด้วยซ้ำ

“ยาดังกล่าว สามารถบล็อคหรือหยุด การทำงานของเซลล์มะเร็ง ไม่ให้ทำลายเซลล์ข้างเคียง ซึ่งเป็นเซลล์ปกติ  เริ่มใช้รักษามะเร็งปอด และไต ประมาณ 8 ปี พิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุการอยู่รอดนานขึ้น จนกระทั่งเริ่มใช้กับมะเร็งตับใน ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในประเทศไทย ยาชนิดนี้พึ่งขึ้นทะเบียนโดย อย. เมื่อต้นปี

สำหรับประเทศไทยแล้ว การรักษามะเร็งสำหรับผู้ป่วยรายได้น้อย  คนฐานะปานกลาง หรือแม้แต่ข้าราชการ ที่มีสวัสดิการคุ้มครอง เป็นหลักประกันสุขภาพ ยังติดขัดในหลายด้าน  ทันทีที่งบประมาณด้านการรักษาพยาบาลถูกกระจายให้ครอบคลุมทุกโรค ผ่านทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำให้การเข้าถึงยารักษามะเร็งราคาแพง ที่ยากอยู่แล้ว แคบเข้าไปอีก

นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้แพทย์ ที่คลุกคลีกับอยู่กับผู้ป่วยโรงมะเร็ง เกิดความหวั่นใจ จากจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ หน้าใหม่ที่เข้ามายังสถาบันมะเร็ง ราว  4-5  รายต่อวัน ไม่รวมหน้าเก่า ใช่ว่าจะรักษาได้หายขาย

"ในเมื่อมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการตายของประชากรทั่วโลก ขณะที่มะเร็งตับ แม้จะครองอัน 3 รองจาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร จากจำนวนผู้ป่วยราว 6 แสน คนต่อปี เราต้องพยายามหากลไกช่วยเหลือผู้ป่วย ที่มีรายได้น้อย ไม่เกิน 2 ล้าน 5 แสนบาทต่อปี ให้สามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น"

หนทางที่จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง มีโอกาสเข้าถึงยาได้ในนาทีนี้ มีอยู่หนทางเดียว คือ ขอความร่วมมือจากบริษัทยา สนับสนุนการเข้าถึงยารักษาแบบใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคน เอเชียตะวันออก จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ที่พบเป็นโรคมะเร็งตับสูงกว่าคนยุโรป

มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้หารือกับบริษัท ไบเออร์ ผู้ผลิตยาดังกล่าว ริเริ่มโครงการ N-PAP เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาแบบเฉพาะจุดได้เช่นเดียวกับ ประเทศอื่น ๆ ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน

สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ ที่เข้าร่วมโครงการ สามารถทดลองใช้ยาเฉพาะจุดได้ หากสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายใน 3 เดือนแรก หรือราว 5-6 แสนบาท หากยาที่ได้รับช่วยให้ผู้ป่วยดีขึ้น จริง บริษัทยา จะยอมให้ใช้ยาฟรีตลอดการรักษา

ยาตัวนี้ ไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทุกคน ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับยา ยอมรับว่าเป็นวิธีการรักษาแบบเรื้อรัง อายุยืนยาวขึ้น 3 เดือน ถึง 1 ปี

มะเร็งตับที่เกิดจากเชื้อไวรัส ตับอักเสบบี  มักจะถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเริ่มแสดงอาการปรากฏเมื่อเข้าสู่วัย กลางคน หรือ 35-65 ปี กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง และควรเข้าถึงยาให้มากที่สุด ถ่ายทอดทางพันธุกรรมระหว่างคลอด ปรากฏการณ์ของโรคเกิดในวัยทำงาน

แน่นอนโครงการดังกล่าว มีเงื่อนไข โดยจำกัดเฉพาะผู้รายได้น้อย และมีความสามารถในการรับยา  ซึ่งไทยนับเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว และเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชีย รองจากจีน ที่เริ่มต้นการรักษาในรูปแบบนี้ไปแล้ว ตั้งแต่ยาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียน ในประเทศ

ประเทศไทยยังคงมีผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่เป็นจำนวนมาก หากแนวทางดังกล่าวได้ผล อาจนำไปสู่การผลักดัน การรักษามะเร็งชนิดอื่นตามมา โดยคาดว่าการเข้าถึงยาที่มากขึ้นในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ 200-500 คน จะสามารถลดอัตราการตายดังกล่าวได้ถึง 10% ภายในอีก 4-5 ปี

ที่มา
นายแพทย์วิโรจน์ เหล่าสุนทรศิริ
หัวหน้าศูนย์วิจัยทางคลินิก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ