Search This Blog

Thursday, October 29, 2009

โรคตาแดง

สถานการณ์การระบาดของโรคตาแดง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยกว่า 77,973 ราย และแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน

" โรคตาแดง "
เป็นการอักเสบของเยื่อบุตาขาว ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจาก เชื้อไวรัสที่ ชื่อ adenovirus แล้วเกิดการติดเชื้อที่เยื่อตาขาวเรียกว่า Epidemic keratoconjunctivitis (EKC) เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย รวดเร็ว และทำให้เกิดอาการขึ้นอย่างเฉียบพลัน

การติดต่อของโรค

พบว่า มีการระบาดเป็นช่วง ๆ ส่วนมากจะพบได้บ่อย ในช่วงฤดูฝน การติดต่อโดยตรงจากการสัมผัส การใช้ของร่วมกัน การไอ หรือการหายใจรดกัน และมักเกิดการติดต่อกันในสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมชนต่าง ๆ เช่น สถานศึกษา ที่ทำงาน สระว่ายน้ำ รวมทั้งห้างสรรพสินค้า ที่มีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน

อาการของโรค

หลังจากได้รับเชื้อไวรัสนี้แล้ว จะเกิดอาการภายใน 1-2 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตา เจ็บตา น้ำตาไหล ไม่มีขี้ตา นอกจากจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมา จึงจะมีขี้ตา บางรายมีต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต และเจ็บ ผู้ที่เป็นมักเป็นกับตาข้างหนึ่งก่อน ต่อมาอีก 2-3 วัน ก็จะลุกลามไปกับตาข้างหนึ่ง

ระยะเวลาของโรคนี้ จะเป็นนานประมาณ 10-14 วัน และเมื่อป่วยด้วยโรคตาแดงแล้ว ผู้ป่วยมีโอกาสแพร่เชื้อ ไปยังผู้อื่นนานถึง 2 สัปดาห์ ในบางรายเมื่อตาแดงดีขึ้น อาจเกิดโรคแทรกซ้อน คือ ตาดำอักเสบ สังเกตได้จากอาการตามัวลงทั้ง ๆ ที่อาการตาแดงดีขึ้นมากแล้ว มักเกิดขึ้นในวันที่ 7-10 หลังเริ่มเป็นตาแดง

ตาดำอักเสบนี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเป็นอยู่นานหลาย ๆ เดือนกว่าจะหาย

ดังนั้น หากผู้ป่วยมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ ได้แก่ ตามัวลง ปวดตามากขึ้น กรอกตาแล้วปวด มีไข้ ให้ยาไปแล้ว 48 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น น้ำตายังไหลอยู่ แม้ว่าจะได้ยาครบแล้ว แพ้แสงอย่างมาก

การรักษา

เนื่องจาก โรคตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัส จึงยังไม่มีวิธีการรักษาโดยเฉพาะ อีกทั้งยาต้านเชื้อไวรัสต่าง ๆ ที่มีขณะนี้ ใช้ไม่ได้ผลกับเชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดโรคตาแดง ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตา และป้ายตา เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักจะเกิดตามมา

ในผู้ที่เป็นตาแดงในตาข้างหนึ่ง ส่วนอีกตาข้างหนึ่งไม่มีอาการ ให้หยอดตาเฉพาะตาข้างหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหยอดตาข้างปกติด้วย เพราะจะเป็นการนำเชื้อ จากตาข้างที่เป็นไปยังตาข้างปกติ ถ้ามีอาการเจ็บตาให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล

ถ้ามีอาการเคืองตา แพทย์จะแนะนำให้ใส่แว่นกันแดด ไม่ควรปิดตา และไม่จำเป็นต้องล้างตา นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และพักการใช้สายตา ระยะเวลาการรักษานานประมาณ 2 สัปดาห์

ลักษณะของโรคตาแดง ที่แพทย์ต้องดูแลเป็นพิเศษมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ

ลักษณะแรก ถ้าเยื่อตาขาวอักเสบมากเสียจนผิวของเยื่อตาขาวลอกออก บางครั้งเยื่อตาขาวของเปลือกตากับเยื่อตาขาวของลูกตา อาจจะกลายเป็นแผลเป็นติดกันได้ ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกวิธี เพราะเนื้อมาประกบกัน โดยที่ไม่มีหนังอยู่ตรงกลาง จึงอาจจะติดกัน จนแยกไม่ออกทำให้มีการระคายเคืองเรื้อรังได้

ลักษณะที่สอง ในส่วนของกระจกตาดำ เพราะเชื้อไวรัสบางตัว เมื่อแพร่เชื้อเข้าสู่กระจกตาดำ จะทำให้คนไข้มองอะไรไม่ค่อยชัด สู้แสงไม่ได้ ทำงานลำบาก

ลักษณะสุดท้าย คือ เรื่องของเปลือกตาที่บวมมาก มีน้ำตาไหลออกมาตลอด จนคนไข้กังวลมาก จึงต้องมีการดูอาการเป็นพิเศษ เพื่อรอให้หายไปเอง ด้วยการพูดคุยกับคนไข้ อธิบายให้เข้าใจ เพื่อให้เกิดสบายใจ จากนั้นจะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน เมื่ออาการทุเลาลง

วิธีการป้องกันการติดต่อของโรค

เนื่องจากโรคตาแดงยังไม่มีวิธีการรักษาโดยตรง วิธีการการป้องกันไม่ให้ติดโรคนี้ ทำได้โดยไม่ใช้สิ่งของปะปนกับผู้อื่น ไม่ใช้มือป้ายตา และขยี้ตา เพราะเชื้อโรคจะติดไปยังสิ่งของที่ผู้ป่วยหยิบจับ ล้างมือบ่อย ๆ ให้สะอาด ห้ามใช้ยาหยอดตาร่วมกัน

ส่วนผู้ที่กำลังเป็นโรคตาแดง ควรทำการป้องกัน ไม่ให้โรคแพร่กระจายจากตนเองไปสู่ผู้อื่น โดยผู้ที่มีอาการ ควรหยุดพักเรียน หรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ไม่ควรอยู่ในที่ชุมชน รวมทั้งใส่แว่นตากันแดด เป็นการป้องกันฝุ่นละออง ที่จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง สำหรับการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยนั้น

อย่ากลัว หรือกังวลในการติดโรคมากจนเกินไป เพราะเชื้อมีระยะเวลาในการแพร่ เพียงแต่ระมัดระวังไม่จับ สัมผัส หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย ก็เพียงพอแล้ว

โรคตาแดง นอกจากจะเกิดจากเชื้อไวรัสอย่างที่กล่าวแล้ว โรคตาแดงยังอาจพบได้ในโรคตาอื่น ๆ อีกหลายโรค และบางโรคเป็นโรค ที่มีอันตรายร้ายแรง คือ ทำให้มีการสูญเสียสายตาได้ เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ ตาดำอักเสบ ดังนั้น เมื่อเกิดมีอาการตาแดงขึ้น ควรได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์ ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง

แต่ทางที่ดีอย่าได้นิ่งนอนใจ ถึงแม้ว่าโรคตาแดงไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้เราสูญเสียเวลา ที่ต้องหยุดพักรักษาอาการ ทางที่ดีป้องกันไว้แต่เนิ่น ๆ หรือเมื่อเป็นแล้ว ก็ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

ที่มา
โรงพยาบาลสมิติเวช

ชอบหมูติดมัน...เสี่ยง นิ่วในท่อน้ำดี

คุณไม่จำเป็นต้องอ่านบทความนี้เลย ถ้าคุณไม่สวาปามพวกเนื้อติดมันเป็นนิจศีล ห่างไกลฟาสต์ฟู้ด ระดับไขมันปกติ และไม่เคยปวดตื้อใต้ลิ้นปี่

เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยกาแฟร้อน ๆ หอมกรุ่น พร้อมแซนวิชชีสสักชิ้น บีบมายองเนสเพิ่มอีกหน่อย ก่อนออกไปทำงาน กว่าจะประชุมเสร็จก็เที่ยงกว่าแล้ว ต้องรีบกลับมาตรวจเอกสาร เวลาน้อยอย่างนี้ คงหนีไม่พ้นอาหารจานด่วน ที่กินประจำกับชีสเบอร์เกอร์อันโต พร้อมเฟรนช์ฟราย และโคล่า กลับไปทำงานด้วยความอิ่มท้อง และตั้งใจว่า มื้อเย็นจะกินอย่างหรู ด้วยอาหารอิตาเลี่ยน ชุ่มนมเนย

อาหารที่อุดมไปด้วยคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนย ชีส ต่าง ๆ นอกจากจะเป็นสาเหตุของภาวะโรคอ้วนแล้ว อาจก่อให้เกิด " โรคนิ่วในทางเดินน้ำดี " อีกด้วย

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับระบบทางเดินน้ำดีกันก่อน ระบบที่ว่าประกอบด้วย ตับ ท่อน้ำดี และถุงน้ำดี ทำหน้าที่เก็บกักน้ำดี เพื่อปล่อยมาช่วยย่อยอาหารมัน ร่วมกับเอนไซม์ในกระเพาะ อาหาร " น้ำดี " จะประกอบด้วยคอเลสเตอรอล, เกลือ, กรดน้ำดี และน้ำ ในปริมาณที่สมดุลกัน แต่หากส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งเปลี่ยนไป ก็จะส่งผลให้เกิด " นิ่ว "

" นิ่วในท่อน้ำดี " เกิดจากส่วนประกอบของน้ำดี มีความเข้มข้นเกินไป จนตกตะกอนเป็นผลึก หรืออาจเกิดจากถุงน้ำดี ที่ผิดปกติจากโรคบางชนิด เช่น เบาหวาน โรคระบบประสาท ที่ต้องนอนอยู่กับที่นาน ๆ ทำให้การผสมส่วนประกอบต่าง ๆ ของน้ำดีผิดปกติ หรือโรคทางระบบทางเดินน้ำดี ที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ เร่งปฏิกิริยาการตกตะกอนให้เร็วขึ้น

นิ่วในทางเดินน้ำดี มี 2 ประเภท คือ

" นิ่วคอเลสเตอรอล "
ที่เกิดจากการบริโภคอาหารมัน หรืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลจากไขมันสัตว์ รวมไปถึง ยาคุม หรือยาบางประเภท ที่เพิ่มระดับเอสโตรเจนในร่างกาย หรือภาวะการตั้งครรภ์ ที่จะทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) เพิ่มสูง เพิ่มความเข้มข้นของคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงสาเหตุทางกรรมพันธุ์ คนที่ได้รับอาหารทางเส้นเลือด

อีกหนึ่งประเภทคือ " นิ่วผลึกเกลือ " ที่เกิดจากโรคบางชนิด ที่ทำให้มีเกลือเข้าไปในระบบทางเดินน้ำดีจำนวนมาก เช่น โรคเลือดอย่างธาลัสซีเมีย ซึ่งผลึกเกลือจากบิลิรูมินในเม็ดเลือดแดง แตกตัวเข้าสู่ถุงน้ำดีมากผิดปกติ ก่อให้เกิดเป็นนิ่วผลึกเกลือ

ก้อนนิ่วจะ เข้าไปอุดตันท่อทางเดินน้ำดี หรือถุงน้ำดี ทำให้น้ำดีผิดปกติ ระบบทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยจะมาหาด้วยอาการปวดท้อง บริเวณใต้ชายโครงขวา หรือบริเวณใต้ลิ้นปี่ โดยจะปวดตื้อ ๆ หลังมื้ออาหาร หรือหลังการรับประทานอาหารมัน โดยมากอาการปวดนาน 30 นาทีถึง 3 ชั่วโมงแล้วจะหายไปเอง สำหรับผู้ป่วยที่ปวดด้วยลักษณะดังกล่าวเป็นเวลานาน โดยไม่รักษา ก้อนนิ่วจะ ขยายขนาด และไปอุดตัน ทำให้มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ตัวเหลือง ตาเหลือง เมื่อตรวจเลือดจะพบว่า ปริมาณเม็ดเลือดขาวสูงมาก เพราะเกิดภาวะท่อน้ำดีอักเสบ จำเป็นต้องฉีดยาแก้อักเสบ หรือเข้ารับการผ่าตัดต่อไป

การรักษา

หากเป็นนิ่วก้อนเล็กกว่า 0.5 เซนติเมตร นิ่วคอเลสเตอรอลจะรักษาด้วยการรับประทานยาละลายก้อนนิ่ว ช่วยต้านการตกผลึกของนิ่วได้ดี เป็นเวลา 6 เดือนติดต่อกัน แต่หากเป็นนิ่วอุดตันในท่อน้ำดี จะใช้วิธีส่องกล้องจากทางปาก แล้วใช้เครื่องมือเข้าไปเกี่ยวก้อนนิ่ว ให้หลุดจากท่อน้ำดี ซึ่งร่างกายจะกำจัดไป พร้อมของเสียทางลำไส้ใหญ่

การผ่าตัดเป็นวิธีรักษามาตรฐาน สำหรับนิ่วก้อนใหญ่ ปัจจุบันมีทั้งการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง แต่มีแผลใหญ่ ใช้เวลาพักฟื้น 1-2 สัปดาห์ และการผ่าตัดส่องกล้อง ที่มีแผลเล็ก ใช้เวลาพักฟื้นน้อยลง

นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคใช้คลื่นเสียงสลายก้อนนิ่ว แต่สำหรับนิ่วในระบบทางเดินน้ำดี พบว่า การใช้คลื่นเสียงให้ผลการรักษาที่ไม่ดีนัก จึงไม่เป็นที่นิยม

กลุ่มเสี่ยง

กลุ่มเสี่ยงเป็นนิ่วในระบบทางเดินน้ำดี คือ ผู้หญิงวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เรียกว่ามากกว่าผู้ชายวัยเดียวกัน 2-3 เท่า เนื่องจากเป็นกลุ่ม ที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเยอะ และยิ่งแก่ตัว ก็ยิ่งเพิ่มปริมาณฮอร์โมนขึ้น นอกจากนี้ คนที่อยู่ในภาวะอ้วน ก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกัน แม้อุบัติการณ์ในไทยจะมีไม่มากนัก จากตัวเลขสำรวจเมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่มีผู้ป่วยด้วยโรคนิ่วในระบบทางเดินน้ำดีเพียง 3-5% ของประชากรทั้งหมด และส่วนมากจะเป็นนิ่วผลึกเกลือ

อย่างไรก็ดี รูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการกิน อาหาร ทำให้คนนิยมอาหารจานด่วน หรืออาหาร ที่มีคอเลสเตอรอลสูง แนวโน้มของผู้ป่วยโรคนิ่วในระบบทางเดินน้ำดี จะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน และความรุนแรงของโรคก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

แม้จะเป็นโรคที่ฟังดูไม่ร้ายแรง แต่หากมีนิ่วอุดตัน และติดเชื้อทั้งในท่อน้ำดี และกระแสเลือด อาจรุนแรงถึงตายได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรจะควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วนมากเกินไป, ควบคุมอาหาร, หลีกเลี่ยงของมัน, เพิ่มอาหารที่มีกากใย, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, หลีกเลี่ยงการใช้ยาฮอร์โมนเป็นระยะเวลานาน

ที่สำคัญ หากพบอาการเบื้องต้น คือ ปวดท้องตื้อบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือบริเวณใต้ลิ้นปี่ หลังมื้ออาหาร หรือหลังการรับประทานอาหารมัน ควรรีบปรึกษาแพทย์

ที่มา
นพ. วิชัย อยู่ยงวัฒนา
อายุรแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหารและโรคตับ
โรงพยาบาลปิยะเวท

Wednesday, October 28, 2009

หยุดภูมิแพ้..... แค่จัดบ้าน!

คนที่รู้สึกผิดสังเกต เมื่อต้องไปอยู่ในที่มีฝุ่นมาก ฝนตก หรือหน้าหนาวแล้วรู้สึกคัน และแสบจมูกบ่อย ๆ แสบตา เคืองตา คันคอ ไอในช่วงกลางคืน หรือตื่นตอน ตามด้วยอาการเหมือนจะเป็นหวัดคัดจมูก นั่นแสดงว่า คุณมีแนวโน้มว่าจะเป็นภูมิแพ้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเข้าแล้ว

ปัจจุบันมีคนที่เป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น สำรวจง่าย ๆ จากการถามคนรอบข้างจะพบว่า 1 ใน 10 มีอาการภูมิแพ้ บางคนแพ้ฝุ่น บางคนแพ้อากาศ แพ้อาหาร หอบหืด ซึ่งมีอาการตั้งแต่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงต้องรับประทานยาอยู่จนเป็นกิจวัตร

แบ่งของเป็นสัดส่วนกันฝุ่นไรเติบโต

ข้อมูลสถิติของการเกิดโรคภูมิแพ้อากาศ และหอบหืดในประเทศไทย ย้อนหลังไปในระยะ 15 ปี เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ พบว่า มีผู้ป่วยเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยมีผู้ที่ป่วยเป็นภูมิแพ้อากาศจากเดิม 13 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มเป็น 49 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโดยมากจะพบในเด็กเล็ก จนกระทั่งถึงวัยมัธยม

สำหรับหอบหืด ที่พบในเด็กเล็กเป็นส่วนมากนั้น ข้อมูลระบุว่าเพิ่มจาก 4 เปอร์เซ็นต์ เป็น 13 เปอร์เซ็นต์ โดยบางคนจะหายไปในช่วงวัยทำงาน ซึ่งภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่กระนั้นภูมิแพ้ก็กลับมาได้ทุกเมื่อ ถ้าหากมีสิ่งมาช่วยกระตุ้น

ตุ๊กตาขนฟู อย่าวางบนหัวนอนมากนัก รู้ไหม! มันคือตัวสะสมฝุ่น

ไม่เพียงเท่าที่ปรากฏจากสถิติเท่านั้น กลุ่มโรคภูมิแพ้เกิดได้ กับหลายระบบในร่างกาย อาการของโรคภูมิแพ้ เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ที่ทำงานมากเกินไป ทำให้เยื่อบุที่อวัยวะต่าง ๆ มีความไวต่อสิ่งกระตุ้น เช่น
  • ถ้าเป็นที่ตา เรียกว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้
  • ถ้าเป็นที่จมูก เรียกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือเรียกว่า แพ้อากาศ
  • ถ้าเป็นที่หลอดลม เรียกว่า หลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือ หอบหืด
  • ถ้าเป็นที่ผิวหนัง เรียกว่า ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
  • ถ้าเป็นที่ระบบทางเดินอาหาร เรียกว่า แพ้อาหาร

โดยทั่วไปภูมิแพ้จะเกิดจากพันธุกรรมส่วนหนึ่ง แต่หากใครโตมา ในสภาวะที่ไม่มีมลพิษในอากาศโอกาสที่โรคจะแสดงอาการก็ไม่มี หรือน้อย แต่หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แออัด ชื้น หรือความปรวนแปรของอากาศก็กระตุ้นให้เกิดโรคได้

สาเหตุที่ทำให้คนเมืองใหญ่ เกิดอาการภูมิแพ้มากกว่า เนื่องเพราะในเมืองมีมลพิษจากการก่อสร้าง การจราจร และฝุ่นละอองหนาแน่น และคนก็นิยมเลี้ยงสัตว์ในบ้านมากขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นตัวก่อ และกระตุ้นภูมิแพ้ได้ดี คนที่เป็นภูมิแพ้ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ชนิดใดในบ้าน

จัดบ้านต้านภูมิแพ้ได้

การจัดห้องใหม่ โละของเก่า ๆ ลงกล่องบ้าง และจัดวางตำแหน่งโน่นนิด นี่หน่อย แต่รู้ไหม? ว่านี่สามารถลดอาการภูมิแพ้ได้!!!

" การจัดตกแต่งบ้าน " โดยเฉพาะห้องนอน ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดนั้น สำคัญต่อ สุขภาพเรามาก เนื่องจาก เป็นพื้นที่ที่เราใช้เวลาอยู่เกือบ 2 ใน 3 ของวัน ดังนั้น เราจึงจำเป็น ที่จะต้องใส่ใจการตกแต่งห้องนอน ให้มากกว่าห้องอื่น ๆ

“ พันธุกรรม " เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราลดทอนความรุนแรงจากไรฝุ่น ฝุ่นบ้าน ฝุ่นที่นอน ฝุ่นแมลงสาบ ซึ่งต้องเจอทุกวันได้ ดังนั้น บ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้องนอนจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

การจัดบ้านเริ่มต้นง่าย ๆ ที่ห้องนอน ที่ต้องให้มีของน้อยที่สุด ไม่ควรมีชั้นวางหนังสือ ของสะสม เช่น ตุ๊กตาประเภทขนฟู เพราะเป็นแหล่งสะสมฝุ่นชั้นดี และหากจำเป็นจริง ๆ ควรเก็บใส่ในตู้ชนิดที่มีบานกระจก ซึ่งจะช่วยกันฝุ่น และทำความสะอาดได้ง่าย ตู้เสื้อผ้าไม่ควรตั้งในห้องนอน เนื่องจาก ฝุ่นจากเส้นใยผ้าจะก่อให้เกิดอาการแพ้ แต่หากเลี่ยงไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน

" สิ่งที่ควรจะมี ในห้องนอนของคนเป็นภูมิแพ้ " ก็คือ เตียงขาลอยไม่มีชั้น เพราะจะได้ทำความสะอาดง่าย ผ้าม่านควรเลือกแบบที่ถอดซักได้บ่อย ๆ และปัจจุบันมีผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม และหมอนกันไรฝุ่น สำหรับคนแพ้อากาศออกมาแล้ว แต่ราคาอาจจะสูง แต่ถ้าจะให้ดีควรทำความสะอาดเครื่องนอนอาทิตย์ละครั้ง และต้องหมั่นเอามาตากแดด ปัดกวาดเช็ดถูห้องให้เป็นกิจวัตร ไรฝุ่นจะได้ไม่สะสม

สำหรับจุดตั้งเตียงนั้น ควรอยู่ในตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึง เพื่อกันความชื้น และห้ามตากผ้าในห้องนอนเด็ดขาด เพราะจะเป็นแหล่งฟูมฟักไรฝุ่นให้เติบโต หมั่นเปิดหน้าต่างรับลม รับแดดจ้าเพื่อฆ่า และลดจำนวนตัวไรในห้อง

ถ้าอยู่บ้านเรา เลี่ยงเก็บเฟอร์นิเจอร์บางอย่าง หรือชั้นหนังสือไว้ในอีกห้อง แต่หากอยู่อพาร์ตเมนต์ หรือคอนโดมิเนียม การจัดวางตำแหน่ง เป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ การเก็บของลงกล่อง หรือตู้ที่มิดชิดได้ก็จะเป็นการดี

อย่างไรก็ตาม หากคนที่ชอบตกแต่งห้องนอน แต่จำใจจะต้องทำให้ห้องโล่งนั้น อาจจะลำบากใจพอสมควร ดังนั้น การเลือกใช้วอลล์เปเปอร์ ที่มีลวดลายติดผนัง สร้างสีสันให้ภายในห้องนอนแทน ซึ่งควรจะเลือกกระดาษมัน ที่ง่ายต่อการทำความสะอาด และหากเกิดเก่าชำรุด ก็ต้อง เปลี่ยน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นแหล่งสะสมฝุ่น

หมั่นดูดฝุ่นในห้องนอนเสมอ

ในกรณีที่แพทย์ลงความเห็นว่า คนในครอบครัวเป็นหอบหืด หรือภูมิแพ้อากาศ อย่างแรกที่สุด ที่จะต้องทำ ก็คือ เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ และหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ให้มากที่สุด

นอกจาก วิธีการกำจัดฝุ่นในบ้าน และปรับย้ายตำแหน่งของเครื่องใช้ บางอย่างแล้ว การเลือกเครื่องใช้บางอย่างสำหรับคนเป็นภูมิแพ้ด้วย มีดังนี้
  • ที่นอน ควรจะเปลี่ยนเป็น ที่นอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ เพราะสามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่าที่นอนนุ่น ถ้าจะหุ้มที่นอนด้วยพลาสติกได้ยิ่งดี หากเป็นคนขี้ร้อน ก็ต้องเลือกผ้าปูที่นอนที่มีรูน้อยที่สุด
  • ห้ามใช้หมอน ที่ทำด้วยนุ่น ขนห่าน หรือขนเป็ดโดยเด็ดขาด
  • ควรใช้เครื่องดูดฝุ่น ในห้องตามพรม พื้น และผ้าม่านในห้อง และถ้าเป็นไปได้ เอาม่าน และพรมออกจากห้องเสียให้หมด
  • เวลาทำความสะอาด ไม่ควรใช้ไม้กวาดขนไก่ปัดฝุ่น แนะนำให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดแทน
  • ถ้าจำเป็นจะต้องใช้ผ้าม่าน ควรจะซักทุก 6 สัปดาห์
  • ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ชนิดใดในบ้าน
  • แม้ว่า ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ที่ยืนยันว่า เครื่องกรองอากาศจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหอบมีน้อยลงได้ แต่ก็อาจจะใช้ได้ผล ในกรณีที่แพ้ละอองเกสรของหญ้า หรือต้นไม้อื่น ๆ
  • คนในบ้านก็ไม่ควรสูบบุหรี่ และหากจำเป็น มีแขกมาเยี่ยม ก็ต้องกล้าบอกให้เขางดบุหรี่ด้วยเช่นกัน

โรคภูมิแพ้ ถือว่าเป็นโรคเรื้อรังก็จริงอยู่ แต่ถ้าหากตัวผู้ป่วย และคนรอบข้าง ให้ความใส่ใจในการดูแลสุขภาพ หาวิธีป้องกันที่ได้ผล และหากเกิดอาการแล้ว ไม่ปล่อยให้มีอาการแทรกซ้อน ภูมิแพ้ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ในการดำเนินชีวิต และคงไม่ต้องถึงขั้นต้องรับประทานยาเป็นอาจิณดอก.

ที่มา
ผศ. นพ. กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ข้าวพื้นบ้าน

ข้าวพื้นบ้าน คุณค่าแห่งโภชนาการ

การพัฒนาพันธุ์ข้าวของไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ยุคปฏิวัติ เมื่อประมาณกว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมานั้น เน้นการพัฒนาพันธุ์ข้าว เพื่อเพิ่มผลผลิต มากกว่าจะคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของพันธุ์ข้าว ระบบการส่งเสริมการปลูกข้าวสมัยใหม่ ที่เน้นการปลูกข้าวเชิงเดี่ยวโดยใช้สายพันธุ์ข้าวหลัก ๆ เพียงไม่กี่สายพันธุ์ ได้ทำให้พันธุ์ข้าวพื้นบ้านเป็นจำนวนมาก หายไปจากผืนนา ทั้ง ๆ ที่พันธุ์ข้าวพื้นบ้านนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าพันธุ์ข้าวทั่วไป ที่เรารู้จักหลายเท่า

ทั้งนี้ จากการอนุรักษ์ และพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองมากกว่า 200 สายพันธุ์ เพื่อนำไปวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงศักยภาพในการป้องกัน และรักษาโรค โดยความร่วมมือของสถาบันวิจัยโภชนาการ ม. มหิดล ผลการวิเคราะห์พบว่า พันธุ์ข้าวพื้นบ้านหลายสายพันธุ์ มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่น่ามหัศจรรย์ ดังต่อไปนี้

วิตามิน อี

วิตามิน อี เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรค ที่เกี่ยวกับหลอดเลือด สมอง หัวใจ บำรุงตับ ช่วยระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อ ให้ทำงานได้ตามปกติ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดริ้วรอย และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น เป็นต้น

ข้าวเจ้าหน่วยเขือสูง มีวิตามินอีสูงถึง 26.2 เท่า หอมมะลิแดง และมะลิดั้งเดิมสูง 11-12 เท่า ข้าวหนียวเล้าแตกสูง 10.3 เท่า ข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำ 6.5 เท่า และข้าวช่อขิง 6 เท่า ของข้าวกล้องทั่วไป

ลูทีน

" ลูทีน " เป็นสารธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่มของสารรงควัตถุ ที่มีสีในตระกูลของสารแคโรที-นอยด์ แต่มีความแตกต่างจากคาโรทีนอยด์ชนิดอื่น ตรงที่จะไม่เปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ มีหน้าที่ที่สำคัญในการช่วยป้องกันโรคต้อกระจก ที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ

ข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำมีลูทีนสูงถึง 25 เท่าของข้าวหอมมะลิ

เบต้าแคโรทีน

" เบต้าแคโรทีน " เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ กล่าวคือ สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ หลังจากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ การรับประทานอาหาร ประเภทที่มีเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ

ข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำ มีสารเบต้าแคโรทีนสูงถึง 3.81 เท่า ข้าวหน่วยเขือ 1.68 เท่า และข้าวเล้าแตก 1.58 เท่า ของข้าวเจ้ากล้องทั่วไป การบริโภคข้าวก่ำ ร่วมกับผักพื้นบ้าน เช่น ยอดแค ตำลึง ชะอม ขี้เหล็ก กระถิน จะช่วยเพิ่มวิตามินเอให้กับร่างกาย

ธาตุเหล็ก

" ธาตุเหล็ก " เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการสร้างเม็ดเลือดแดง จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการพบว่า ในข้าวหน่วยเขือ หอมมะลิแดง หอมมะลิทั่วไป เหนียวก่ำเปลือกดำ เหนียวเล้าแตก และช่อขิง มีธาตุเหล็กสูง 2.9-1.9 เท่าของข้าวเจ้ากล้องทั่วไป

สารทองแดง

" ทองแดง " เป็นสารอาหารที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากเป็นส่วนประกอบ ในเอนไซม์หลายตัวในร่างกาย เช่น การสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย การกำจัดอนุมูลอิสระ การสร้างความยืดหยุ่นของผิวหนัง การขาดทองแดง ก่อให้เกิดภาวะซีดจากโลหิตจาง เม็ดเลือดขาวมีมาก เม็ดเลือดแดงลดลง โคเลสเตอรอลในเลือดสูง และการเต้นของหัวใจผิดปกติ

ข้าวหน่วยเขือ หอมมะลิแดง เหนียวหอมทุ่ง มีทองแดงสูง 5-3.8 เท่าของข้าวกล้องทั่วไป

ข้าวหอมมะลิแดงกับศักยภาพในการป้องกันและบรรเทาโรคเบาหวาน

จากการทดสอบพบว่า ข้าวหอมมะลิแดงที่หุงสุกแล้ว มีการเพิ่มขึ้นของระดับของน้ำตาลกลูโคสในช่วงเวลา 20 นาทีแรกค่อนข้างช้า คือ 10.60 กรัมต่อ 100 กรัม และปริมาณน้ำตาลกลูโคสหลังจากย่อยผ่านไป 120 นาที มีค่าเพียง 8.59 กรัมต่อ 100 กรัม แสดงให้เห็นว่าข้าวหอมมะลิแดง น่าจะเป็นข้าวพื้นเมือง ที่มีดัชนีน้ำตาลที่เหมาะกับการส่งเสริมให้ผู้บริโภค ที่อยู่ในภาวะปกติ หรือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รับประทาน เพราะว่าเมื่อรับประทานข้าวชนิดนี้เข้าไปแล้ว ร่างกายจะมีปริมาณน้ำตาลกลูโคสเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าข้าวเจ้าทั่วไป

ข้าวพื้นบ้านมีสารแอนติออกซิแดนท์มากกว่าข้าวทั่วไป

" แอนติออกซิแดนท์ " คือ สารที่สามารถขจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย ในข้าวพื้นบ้านมีสารทองแดง สังกะสี เบต้าแคโรทีน วิตามินอี ซึ่งมีความสามารถดังกล่าว การบริโภคอาหาร ที่มีแอนตี้ออกซิแดนท์ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง ลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือด และหัวใจ โรคความจำเสื่อม โรคไขข้ออักเสบ แก่เร็ว เป็นต้น

ที่มา
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

Tuesday, October 27, 2009

อาหารที่มีแต่โทษ

  1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไส้สับปะรด เป็นมันแกวหรือพืชอื่น ๆ กวนใส่น้ำตาล และใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย
  2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง (ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต) พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ เช่น มะม่วงกวน (แผ่นใส ๆ) ยอดมะพร้าวขาว ๆ
  3. ซูชิในตลาดนัด ที่อากาศร้อน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น
  4. เอแคลร์ กับ ลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้น ๆ ถู ๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จัก หรือมีชื่อเสียงเท่านั้น
  5. ลูกอมสีอื่น ๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขาย ไม่ดีไม่ควรซื้อเพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน ทานลูกอมสีแดง ขาว ได้
  6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน ไม่ควรกินอาหารทะเล เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเล และสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง
  7. พวกอาหาร Pack สำเร็จมาแล้ว เพื่อ wave ที่บ้าน สามารถ wave ได้ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ควรล้างกล่องภาชนะพลาสติกที่ใส่มา เพื่อใช้ wave ซ้ำ เพราะสารพิษจะออกมาจากภาชนะนั้น ๆ
  8. โยเกริ์ตต่าง ๆ จะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็ก ๆ (ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้ จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน)
  9. น้ำปลา เมื่อเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือนเท่านั้น
  10. ระวังเชื้อราตามคอขวด ที่เปิดแล้วต่าง ๆ
  11. กระดาษหนังสือพิมพ์ อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น (มีสารพิษปนเปื้อนมาจากหมึกพิมพ์)
  12. อาหารกระป๋อง ถ้าใช้ไม่หมด ควรเอาออกจากกระป๋อง แล้วใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น
  13. ฟองน้ำล้างจาน ที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ (เป็นน้ำ ๆ) ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง แบคทีเรียจะขึ้น ควรเททิ้งไป ไม่ควรเสียดาย
  14. อาหารหมักดอง ต้องพึงระวัง มีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผักกาดดองตามท้องตลาด ในโรงงานบางแห่ง จะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด (ใช้คนลงไปในอ่างดอง เราไม่แน่ใจว่าคนนั้น ๆ มีโรคหรือไม่) ควรใช้ผักกาดดองกระป๋องที่เชื่อถือได้
  15. เบียร์สดจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้วออก เราจะกินศพยีสต์เข้าไปด้วย (เบียร์ขวดจะถูกกรองไปแล้ว) แต่กินได้ ไม่เป็นไร

ยาย้อมผม

เมื่อไม่มีทางแก้ไขปัญหา " ผมหงอก " อย่างถาวร ทั้งผู้ที่ผมหงอกตามวัย หรือผู้ที่ประสบปัญหาผมหงอกก่อนวัย ก็มักจะเลือกใช้วิธีการ " ย้อมผม " เพื่อปิดผมสีขาว ที่ไม่พึงปรารถนา ให้กลับมาแลดูสวยหล่อดังเดิม โดยมองข้ามอันตราย จากการใช้ยาย้อมผม ที่ยิ่งใช้บ่อย หรือใช้ในปริมาณมากอาจจะก่อให้เกิดผลเสียตามมา

ลักษณะของเส้นผม

สำหรับเส้นผมของคนเรานั้น เป็นที่อยู่ของโปรตีนชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ชื่อว่า " เคราติน " (Keratin) แยกออกเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นนอก (Cuticle) เป็นเซลล์ขนาดเล็ก โปร่งใส ซ้อนทับเหลื่อมล้ำกันคล้ายเกล็ดปลา มีทิศชี้ไปทางปลายเส้นผม ลึกลงไปเป็นชั้นกลาง (Cortex) จะมีเม็ดสี ที่ทำให้ผมเกิดสี ทั้งยังเป็นชั้นที่ทำให้เส้นผม มีลักษณะยืดหยุ่น และชั้นนี้เองที่สารเคมีเข้าไปรบกวน ให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ในยามที่เราทำ สีผม ดัด หรือยืด ส่วนชั้นที่ลึกที่สุด คือ ชั้นใน (Medulla) เรียกว่า เป็นชั้นแกนของเส้นผม กินบริเวณตั้งแต่โคนจรดปลายผม แต่ผมเส้นเล็ก ๆ หรือขนอ่อนที่แก้มจะไม่มีชั้นนี้

ยาย้อมผม
ส่วนยาย้อมผม ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป มีอยู่ 3 ชนิด ประกอบด้วย
"แบบชั่วคราว" คือ ป้ายแล้วติดเพียงชั่วคราว แค่สระสีผมก็จะหลุดออก สีของยาย้อมผมชนิดนี้ จะมีโมเลกุลใหญ่ เคลือบเส้นผมเพียงชั้นนอก พบในรูปแบบของ คัลเลอร์ รินส์ (Color Rinse) ที่ใช้ทา และหวีให้ทั่วหลังจากสระผม ดินสอทาสีผม (Hair Crayons) และสีพ่นสำหรับผม (Color Sprays)

"ชนิดกึ่งถาวร" ฉาบบนเส้นผม สีจะมีโมเลกุลเล็ก ทำให้สารเคมีสามารถแทรกเข้าไปตามรอยของเกร็ดผม สู่ชั้นกลางของเส้นผม อายุการใช้งานราว ๆ 1 เดือน เมื่อสระผมสีจะค่อย ๆ จางออก มักวางจำหน่าย ในลักษณะแชมพูย้อมสีผม และโลชั่น หรือโฟมย้อมสีผม

"แบบถาวร" ติด ทนนาน แม้สระผมบ่อยเพียงใด ก็ไม่หลุดลอกออก หากจะเห็นสีผมในแบบปกติธรรมชาติ จะต้องรอให้ผม งอกยาวออกมาใหม่ โดยยาย้อมชนิดนี้ จะมีส่วนผสมของสารเคมี "พาราฟีนีรีน ไดอะมีน" (Paraphenyline Diamine หรือ PPD) และ "พาราโทลูอีน ไดอะมีน" (Paratoluene Diamine หรือ PTD) ซึ่งเคยมีรายงานว่า ผู้ซื้อยาย้อมผมชนิดนี้ มาย้อมด้วยตนเอง เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่ทำการทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ และปฏิบัติตามคำแนะนำทุกขั้นตอน โดยอาการที่เกิดขึ้นนั้น เริ่มตั้งแต่การใส่น้ำยาย้อมสัมผัส กับหนังศีรษะ ผู้ใช้รายนั้นเริ่มคันหนังศีรษะ และไม่นานอาการคัน ก็ทวีความรุนแรงขึ้น และลุกลามไปยังใบหน้า ลำคอ เกิดอาการบวม และหายใจไม่ออก เมื่อไปรักษา แพทย์พบว่า ผิวหนังที่ถูกยาย้อมผมมีลักษณะแดงไหม้
นอกจากอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น การใช้ยาย้อมผมต่อเนื่องกันนาน ๆ ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ยังอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากโครโมโซมในร่างกายเสียหาย ส่งผลให้เซลล์กลายพันธุ์ จนเกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้

ผักพื้นบ้าน

" ผักพื้นบ้าน " นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณค่าของผักพื้นบ้าน


" ผักพื้นบ้าน " คือ พรรณพืชพื้นบ้านในท้องถิ่น ชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค หรือนำมาทำเป็นของใช้สอยในครัวเรือน ผักพื้นบ้านนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรสยาที่หลากหลายอยู่ในผักพื้นบ้าน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ให้ความสำคัญกับรสอาหาร พื้นบ้าน ดังนี้
  • " รสฝาด " มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุในร่างกาย เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดจิก ยอดกระโดน ฯลฯ
  • " รสหวาน " มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น เห็ด ผักหวานป่า ผักขี้หูด บวบ น้ำเต้า ฯลฯ
  • " รสเผ็ดร้อน " มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ เช่น ดอกกระทือ กระเทียม ตอกกระเจียวแดง ดีปลี พริกไทย ใบชะพลู ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย ฯลฯ
  • " รสเปรี้ยว " มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว ยอดชะมวง มะดัน ยอดมะกอก ยอดผักติ้ว
  • " รสหอมเย็น " มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย เช่น เตยหอม โสน ดอกขจร บัว ผักบุ้งไทย เป็นต้น
  • " รสมัน " มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เนียง ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง กระถิน ชะอม
  • " รสขม " มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย เช่น มะระขี้นก ยอกหวาย ดอดขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา เพกา ผักโขม
นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย สารสำคัญในผักพื้นบ้าน ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้แก่ สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบในผักใบเขียวจัด ๆ เช่น ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ใบตำลึง ใบบัวบก ใบแมงลัก ผักชีลาว ผักแว่น ใบขี้เหล็ก ใบกระเพรา นอกจากนี้ ผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก ฟักทอง มะปราง

นอกจากสารเบต้าแคโรทีนดังกล่าวแล้ว ในผักสด ยังพบว่ามี วิตามินซี สูง ซึ่งวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างภูมิต้านมะเร็ง คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถปกป้องเซลล์ในร่างกาย จากการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มประสิทธิภาพ ของการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้

วัฒนธรรมพื้นบ้านของคนไทย ตั้งแต่สมัยโบราณ มักจะเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้ว จากป่า ไร่นา หรือสวน เป็นผักสด ๆ มาประกอบเป็นอาหาร ผักสดยิ่งสดเท่าไร ก็ยิ่งมีวิตามินซีสูงเท่านั้น ดังนั้น ภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย ผักบางชนิดที่นำมารับประทานสดกับน้ำพริก คนไทยก็มักจะนำมารับประทานเลย ซึ่งได้วิตามินซี และเกลือแร่อื่น ๆ สูง ในบางชนิดอาจจะเป็นอันตราย ถ้านำมารับประทานเลย ก็จะนำมาลวก ต้ม ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม

การดูแลสุขภาพของตนเอง ด้วยวิธีธรรมชาติ การรับประทานผักพื้นบ้าน ที่ปลอดสารพิษ หรือปลูกผักไว้รับประทานกันเองในครัวเรือน นอกจากจะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ แล้วยังช่วยประหยัด และช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน ดังนั้น เราควรจะส่งเสริม ให้มีการปลูกผักริมรั้ว เพื่อนำมาประกอบเป็นอาหาร แทนการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีบริเวณที่จะปลูกต้นไม้ หรือผักไว้กินได้มากนัก

เนื่องจากการถูกจำกัดเรื่องสถานที่ แต่เราสามารถปลูกผักสวนครัวไว้กิน โดยการปลูกไว้ในกระถาง เช่น พริก โหระพา กระเพรา แมงลัก ชะพลู ผักชี ผักแพว เป็นต้น ซึ่งปลูกง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังปลอดภัยจากสารพิษ สำหรับผู้ที่มีที่ดินพอปลูกผักริมรั้ว ที่เป็นไม้ยืนต้น ที่เก็บไว้กินได้หลาย ๆ ปี เช่น แค กระถิน ชะอม สะเดา การนำพืชเหล่านั้นมาปลูกในที่ไม่ต้องการการดูแลมากนัก นอกจากจะเก็บมาเป็นอาหาร ที่มีคุณค่าแล้ว ยังช่วยเป็นรั้วบ้าน และให้ร่มเงาทำให้สดชื่น ถ้าเหลือกินในครอบครัวก็สามารถแบ่งให้เพื่อนบ้าน หรือเก็บไปขายได้

จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทย ในสมัยโบราณที่อยู่แบบอบอุ่นพึ่งตนเองได้ ปัจจุบันคนไทยกำลังหวนคืนสู่บรรยากาศนั้น เพื่อความเป็นอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย การช่วยเหลือจุนเจือกัน การช่วยเหลือตัวเองในระดับครอบครัว ชุมชน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่คนไทยควรจะเห็นความสำคัญ เพื่อความอยู่รอดของเราคนไทย และเพื่อชาติไทย

ที่มา
สถาบันการแพทย์แผนไทย

Monday, October 26, 2009

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน

“Good things come in pair” ดังวลีฝรั่งนี้ ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจจะเป็นแฝดเหมือน หรือแฝดต่างก็ได้ ดังนั้น ในเรื่องของ "ยารักษาโรค" ก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตาน ซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก “ความไม่รู้” ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่

แฝดที่ดี

เสมือนคู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกัน ก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และอันที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้ มีหลักคือ การทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้
  1. วิตามินซี กับ คอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย
  2. ธาตุเหล็ก กับ วิตามิน ซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ
  3. แคลเซียม และ แมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ
  4. วิตามินเอ ซี และ วิตามิน อี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดี คือ กินวิตามินซีเพียงตัวเดียวส่วนวิตามิน เอ กับวิตามิน อี นั้นกินเอาจากผักคะน้า และถั่วลิสงสักวันละกำมือ
  5. น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอ คู่กับกับ อีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดี อย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่า ถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มี "ดีเอชเอ" เด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่น ข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มี "อีพีเอ" สูงด้วย

แฝดที่ร้าย


แฝดตัวนี้ ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมาก เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมอง จนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากให้มาสนใจในยา ที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิด ดังนี้
  1. น้ำมันปลา กับ แอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกัน คือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิด ก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่เลยทีเดียว
  2. วิตามินอี และ อีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหา พร้อมบอกว่า มีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทน ควรจะเลือกอย่างไรดี? จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ เพราะทั้งคู่ล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากเกินไป อาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน
  3. แคลเซียมเสริม กับ แคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็ง วันละ 3 ขีด ก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเพิ่มเติมอีก จะทำให้ได้รับแคลเซียมเกินขนาด และไปจับกับหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแข็งได้
  4. กาแฟ กับ แคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียม ร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้น กาแฟยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย
  5. ธาตุเหล็ก กับ โรคเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่า ถ้าเลือดจางจะต้องกินธาตุเหล็กเยอะ ๆ ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็น "โรคเลือดจาง ชนิดธาลัสซีเมีย" แล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม เท่ากับเป็นการเติมยาพิษให้กับหัวใจ และตับตัวเอง

ทั้งแฝดดี และแฝดร้ายนี้ อันที่จริงมีอีกมากมาย แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นในที่นี้นั้น เป็นตัวอย่างที่พบบ่อย ๆ และสามารถจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที จะเห็นว่าการกินยานั้น มีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติ ที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณ ที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลัก หูไว ตาไว ถ้ารู้สึกว่า “ไม่ใช่” แล้วก็ให้รีบเร่งแจ้งแพทย์ อย่าปล่อยให้เลยตามเลย


ที่มา

นพ. กฤษดา ศิรามพุช
พบ. (จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

เริม

" โรคเริม " (herpes) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มีอาการแสบ ๆ คัน ๆ บริเวณที่เป็นเริม มีอาการร่วมกับตุ่มน้ำใสเป็นกลุ่ม ๆ บนพื้นสีแดง พบได้เกือบทุกแห่งของร่างกาย แต่พบได้บ่อยที่บริเวณริมฝีปาก และอวัยวะเพศ ผู้ที่เคยเป็นโรคเริมแล้ว จะมีโอกาสเกิดโรคเริมซ้ำได้อีก ที่ตำแหน่งเดิมได้บ่อย ๆ พอสมควร เนื่องจากเชื้อไวรัสเริมจะเข้าไปหลบซ่อนตัว ที่ในบริเวณปมประสาท พอร่างกายอ่อนแอลง เชื้อไวรัสเริมก็จะออกมาก่อโรคได้อีก ทำให้เกิดโรคเริมขึ้นที่เดิมได้อีก ทำให้ผู้ป่วยขาดความมั่นใจ รู้สึกไม่สวยงาม และเสียบุคลิกภาพ

สาเหตุของโรคเริม

เชื้อไวรัสเริมเป็นดีเอ็นเอไวรัสชนิดสายคู่ ที่มีเปลือกหุ้มอนุภาคของไวรัส ประกอบด้วยส่วนเปลือก ส่วนนอกคลุม ส่วนนิวคลิโอแคปสิด และแกนดีเอ็นเอตรงกลาง

ส่วนนิวคลิโอแคปสิดของไวรัสเริม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 105 นาโนเมตร ประกอบไปด้วย 162 แคปโซเมอร์ โมเลกุลของดีเอ็นเอมีความยาว 150 กิโลเบส สร้างโปรตีนมากกว่า 100 ชนิด โครงสร้างจีโนมของไวรัสเริมคล้ายคลึงกับเชื้อชนิดอื่น ๆ ในตระกูลเดียวกันทั้งหมด ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนยาวและสั้น เรียงต่อกันในทิศทางต่าง ๆ เกิดเป็น 4 ไอโซเมอร์

เชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 ทำให้เกิดโรคเริมที่ริมฝีปากและรอบ ๆ ปากได้บ่อย ส่วนเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 ทำให้เกิดโรคเริมที่บริเวณอวัยวะเพศ บริเวณก้น และในร่มผ้าได้บ่อย ๆ ทั้งนี้พบว่าจีโนมของเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 และเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 มีความเหมือนกันมากถึงร้อยละ 50-70

การติดต่อ


ไวรัสเริมติดต่อทางการสัมผัสโดยตรง ผู้ได้รับเชื้อมีแผลถลอกอยู่ ทำให้เชื้อไวรัสเริมเข้าไปได้ โดยมาก มักพบเริมที่บริเวณริมฝีปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศ การจูบหรือดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ทำให้เชื้อเริมติดต่อได้ เช่นเดียวกับการมีเพศสัมพันธ์ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเป็นเริมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ปกติ ทางปาก หรือทางทวารหนัก มีรายงานการติดเชื้อเริม จากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ บางคนเป็นเริมที่นิ้วมือ โดยติดจากการจับมือกัน การโหนราวรถเมล์ การจับลูกบิดประตูห้องน้ำสาธารณะ การจับโทรศัพท์สาธารณะ โดยทั่วระยะเวลาฟักตัวของไวรัสเริม ประมาณ 2-20 วัน

ตำแหน่งของโรคเริม
  1. บริเวณปาก ริมฝีปาก และรอบๆ ปาก เป็นตำแหน่งที่พบบ่อยมาก
  2. บริเวณอวัยวะเพศ ก้น และในร่มผ้า เป็นตำแหน่งที่พบบ่อยเช่นกัน
  3. บริเวณมือ เป็นตำแหน่งที่พบได้น้อย นานๆจึงจะพบโรคเริมที่มือ นิ้วมือ ฝ่ามือ
  4. บริเวณเอว ลำตัว หลัง เป็นตำแหน่งที่พบค่อนข้างน้อยเช่นกัน อาจพบในนักมวยปล้ำ ที่มีการต่อสู้กอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน
  5. เริมเป็นโรคที่ติดต่อโดยการสัมผัส ดังนั้น บุคคลบางอาชีพจึงอาจจะเป็นเริม ที่ตำแหน่งแปลก ๆ ที่พบไม่บ่อยนักได้ เช่น ที่บริเวณนิ้วมือ พบในทันตแพทย์ หรือตามแขน หรือลำตัวในพวกนักมวย หรือ มวยปล้ำ

อาการของเริม
  1. ลักษณะเริ่มต้น เป็นตุ่มน้ำพองใสเหมือนหยดน้ำเล็ก ๆ มีขอบแดง มักขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม ต่อมาตุ่มน้ำเหล่านี้จะแตก เป็นแผลถลอกตื้น ๆ และหายไปในที่สุด
  2. อาจมีอาการคัน เจ็บ หรือปวดแสบปวดร้อน ส่วนใหญ่จะมีอาการเจ็บ ๆ แสบ ๆ คัน ๆ แต่ไม่มากนัก ไม่ถึงกับปวดจนนอนไม่ได้ ไม่ถึงกับคันมาก จนต้องเกาแรง ๆ
  3. ต่อมน้ำเหลืองบริเวณผื่นอาจจะโต และเป็นอยู่ประมาณ 10-14 วัน

การติดเชื้อครั้งแรก

การเป็นเริมในครั้งแรก มักจะมีอาการมากกว่าในครั้งถัด ๆ มา ถ้าเป็นที่ปาก จะมีอาการเป็นตุ่มน้ำพองเล็ก ๆ ทั่วทั้งช่องปาก โดยเฉพาะที่บริเวณเหงือก พบว่าต่อมน้ำเหลือง ในบริเวณใกล้เคียงบวมโต อาการค่อนข้างรุนแรง อาจมีไข้ปวดเมื่อย ถ้าเป็นเริมที่อวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ อาจมีอาการอักเสบร่วมด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า การติดเชื้อไวรัสเริมครั้งแรก จะเกิดตุ่มน้ำหลายกลุ่ม ต่อมาจะแห้งตกสะเก็ดแล้วแผลจึงจะหาย

การติดเชื้อซ้ำ

สำหรับปัญหาของโรคเริม ที่สำคัญคือ เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นจะมีการกลับเป็นผื่นใหม่เป็นระยะ ๆ เนื่องจากร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสไม่หมด การกลับมาเป็นใหม่ของโรคเริมแต่ละครั้ง จะเกิดตุ่มน้ำกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 5-7 วัน โดยไม่มีอาการ โดยมากเกิดปีละ 2-3 ครั้ง และเกิดใกล้ ๆ บริเวณเดิม โรคเริมที่เกิดซ้ำ อาการ และรอยโรค มักจะไม่ค่อยรุนแรงเหมือนครั้งแรก ผู้ป่วยจะมี “อาการเตือน” นำตุ่มน้ำมาก่อน 1–3 วัน เช่นเจ็บเสียวแปลบ ๆ คันยุบยิบ ปวดแสบปวดร้อน ในบริเวณรอยโรคเดิม แผลจะหายเร็วภายใน 5-10 วัน ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเอดส์ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง รอยโรคอาจรุนแรง หรือเป็นแผลเรื้อรังได้

ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า การเป็นเริมครั้งถัด ๆ มา จะไม่ใช่เป็นการติดเชื้อใหม่ แต่เป็นเชื้อเดิมที่หายแล้ว และซ่อนตัวอยู่ในบริเวณปมประสาทที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อมีการกระตุ้น ก็จะย้อนแนวเส้นประสาทออกมาแสดงอาการที่ผิวหนังได้อีก ทำให้เริมมักจะเป็นในบริเวณเดิม ที่เคยเป็นมาแล้ว แต่อาการจะน้อยกว่า

ปัจจัยชักนำ ทำให้เกิดโรคเริม

ปัจจัยชักนำที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เกิดโรคเริมได้มากขึ้น ได้แก่
  1. ความเครียด
  2. ทำงานหนักมากเกินไป ทำให้ร่างกายอ่อนแอ อ่อนล้า ภูมิต้านทานของร่างกายลดน้อยลง ทำให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น
  3. นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้โอกาสติดเชื้อไวรัสจึงมีมากกว่าคนทั่วไป
  4. เชื้อไวรัสเริมชอบอากาศร้อนชื้น เหงื่อออกง่าย คนไทยจึงเป็นเริมกันบ่อย
  5. คนที่ไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย เช่น กำลังเป็นหวัด ร่างกายทรุดโทรมอ่อนแอ โอกาสติดเชื้อไวรัสเริมมีมากกว่าในคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
  6. ผู้ที่ต้องนอนอยู่บนเตียงนาน ๆ เช่น เป็นอัมพาต ผู้ที่รับการผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีกระดูกหัก ทำให้ขยับตัวลำบาก มีโอกาสเป็นเริมที่ก้นได้ง่าย
  7. เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ต่าง ๆ ผู้ที่เคยเป็นเริมแล้ว ถ้าวันไหนดื่มเหล้าเบียร์มากจนเกินไป จะมีโอกาสเป็นเริมซ้ำขึ้นได้อีกง่ายมาก
การรักษา

โดยทั่วไปแล้ว เริมสามารถหายได้เอง โดยไม่ต้องรักษา ซึ่งมักจะเป็นอยู่ประมาณ 10-14 วัน โดยที่ในระหว่างที่เป็น ผู้ที่เป็นสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้โดยการสัมผัส การใช้ยาต้านไวรัสช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ แผลหายเร็วขึ้น แต่ยังมีราคาค่อนข้างแพง
  1. ยาทาที่นิยมใช้ ได้แก่ Zovirax, Virogon, Vilerm, Zevin
  2. ยาชนิดรับประทาน ได้แก่ Zovirax, Valtrex, Famvir นิยมใช้ ในกรณีสำหรับผู้ที่มักจะกลับเป็นซ้ำได้บ่อย

คนทั่วไปที่เป็นเริม มักต้องการการรักษาตามอาการเท่านั้น เพราะเริมเป็นโรคที่หายได้เอง เว้นเสียแต่ในรายที่เพิ่งเริมแสดงอาการ หรือมีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือไม่มีแนวโน้มที่แผลจะหายเองได้เอง จึงควรที่จะได้รับยาต้านไวรัสที่จำเพาะกับโรค ร่วมไปกับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

ที่มา
นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ

หูด

" หูด " เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในชั้นหนังกำพร้า เกิดเป็น" เนื้องอก " บนผิวหนัง ผู้ที่เป็นหูดส่วนใหญ่มักจะได้รับเชื้อไวรัส มาจากการสัมผัสโดยตรง ผิวหนังที่ถลอก หรือถูกกดทับจนติดเชื้อหูดได้ง่าย การแกะเกาจะทำให้กระจายไปส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ หูดด้านข้างนิ้วเท้าทำให้นิ้วที่อยู่ติดกัน เป็นหูดที่บริเวณผิวหนังที่ชิดกับหูดได้ เราสามารถพบหูดได้ในทุกวัย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่

ลักษณะของหูด

หูดจะมีลักษณะเป็นเม็ดนูนแข็ง ผิวขรุขระ มีเม็ดเดียว หรือเป็นหลายเม็ดก็ได้ คนที่ภูมิคุ้มกันต่ำ อาจจะมีจำนวนเม็ดมาก ส่วนใหญ่เกิดที่มือหรือเท้า ถ้าเป็นที่ฝ่าเท้าจะคล้ายตาปลา เวลาเดินจะเกิดการกดทับตลอดเวลา และจะทำให้มีอาการเจ็บมาก หูดอาจหายได้เอง ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2 ปี แต่ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันร่างการต่ำจะหายยาก และลุกลามได้ง่าย จึงควรรีบรักษา

วิธีการรักษา

การรักษาหูดมีหลายวิธี อาจใช้วิธีทายากัดหูด ที่มีส่วนผสมกรดซาลิไซลิก และกรดแลกติก แต้มบนเม็ดหูด วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 4-6 สัปดาห์ ซึ่งต้องใช้เวลา และความตั้งใจในการแต้มยา แต่จะไม่เจ็บไม่ปวดไม่เสียเลือด หายแล้ว ไม่เกิดเป็นแผลเป็น หรืออาจใช้วิธีผ่าตัดเอาออก จี้ออกด้วยไฟฟ้า หรือจี้ด้วยความเย็นก็ได้

สิ่งทีมีคนเข้าใจผิด เพราะหลงเชื่อกันมาเรื่อย ๆ คือการใช้ธูปจี้ หรือการใช้ยากัดหูดแรง ๆ ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรใช้ธูปจี้ หรือยากัดหูดแรง ๆ เพราะจะทำให้เป็นแผลเป็นทีหลัง

Thursday, October 22, 2009

โรคเก๊าท์

สาเหตุของ " โรคเก๊าท์ " (gout) เกิดจาก การที่ระดับของ " กรดยูริคในเลือดสูง " ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมกรดยูริคในร่างกายจำนวนมาก โดยเฉลี่ยแล้วกรดยูริคจะตกผลึก เมื่อระดับของกรดยูริคในเลือดมากเกิน 6.8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร การที่ร่างกายมีกรดยูริคสะสมมากกว่าปกติ เป็นระยะเวลานาน ๆ กรดยูริคจะไปตกตะกอนอยู่บริเวณรอบ ๆ ข้อต่อ หรือภายในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น

โรคเก๊าท์เกิดจากการ ที่มีระดับของกรดยูริคในเลือดสูง และไปตกเป็นผลึก เรียกว่า " ผลึกยูเรท " อยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ข้อ บริเวณใกล้ข้อต่อ และที่ไต การที่จะเกิดการตกเป็นผลึกยูเรทตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้นั้น ขึ้นอยู่กับสองปัจจัย คือ ระดับกรดยูริคในเลือด และสภาพของเนื้อเยื่อ ซึ่งเอื้อให้เกิดการตกผลึกเป็นผลึกยูเรทหรือไม่ สภาพของเนื้อเยื่อของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยิ่งระดับของกรดยูริคในเลือดสูงเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสตกเป็นผลึกก็มากขึ้น บางคนระดับกรดยูริคในเลือดไม่สูงมาก แต่ก็สามารถเกิดการตกเป็นผลึกยูเรทได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อของคนคนนั้น เอื้ออำนวยให้เกิดการตกเป็นผลึกยูเรท โรคนี้พบได้บ่อย หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะได้รับประโยชน์มาก แต่ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา หรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ผู้ป่วยอาจต้องพบกับการพิการทางข้อ และหรือไตวายเรื้อรังได้

สารพิวรีน

" กรดยูริก " เกิดจากการย่อยสลายสารพิวรีน ซึ่งพบได้ในเนื้อสัตว์ ข้าวสาลี เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ เซี่ยงจี้ เป็นต้น ร่างกายจะย่อยสารพิวรีนจนกลายเป็นกรดยูริค และจะขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ในคนปกติกรดยูริคจะถูกสร้างขึ้นในอัตราช้าพอที่ไตจะขับออกได้หมด ทันกับการสร้างขึ้นพอดี ในคนที่เป็นโรคเก๊าท์ พบว่า เกิดความผิดปกติของกระบวนการใช้ และขับถ่ายสารพิวรีน

สมดุลของกรดยูริกในร่างกาย

ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคเก๊าท์ทั้งหมด เกิดจากการที่กรดยูริคถูกสร้างขึ้น แต่ไตทำหน้าที่ขับถ่ายออกมาได้ช้าหรือน้อยกว่า จนทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริคมากขึ้นในร่างกาย และเกิดเป็นโรคเก๊าท์ขึ้น คนที่เป็นโรคนี้ มักจะมีระดับกรดยูริกในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ แต่ไม่เสมอไปทุกคน และหลายคนที่มีระดับกรดยูริกสูงในกระแสเลือด กลับไม่มีอาการข้ออักเสบจากโรคเกาต์ก็ได้

ส่วนที่เหลืออีก ร้อยละ 10 เกิดจาก การที่ร่างกายสร้างกรดยูริคมากเกินไป พบว่า ยูริคในเลือดที่สูงนั้น กว่าร้อยละ 90 เกิดจากการสร้างขึ้นในร่างกายเอง อาหารเป็นแหล่งกำเนิดของยูริคในเลือด น้อยกว่าร้อยละ 10 อาหารที่เมื่อรับประทานไปแล้ว จะเปลี่ยนไปเป็นกรดยูริคได้มาก เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาดุก กุ้ง ไก่ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ชะอม กระถิน เป็นต้น

สำหรับคนที่มีระดับกรดยูริคในเลือด มากกว่า 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่ไม่มีข้ออักเสบ ไม่มีปุ่มปมของเก๊าท์ ที่เรียกว่า " โทฟัส " และไม่มีนิ่วทางเดินปัสสาวะ จะไม่เรียกว่าเป็นโรคเก๊าท์ แต่เรียกว่าเป็นบุคคล ที่ระดับกรดยูริคสูงชนิดไม่มีอาการ

ปัจจัยทางพันธุกรรม

พบว่า ร้อยละ 18 ของผู้ป่วยโรคเก๊าท์ จะมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์เช่นกัน กลไกการเกิดโรคเก๊าท์ เชื่อว่ามีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พบโรคเก๊าท์นี้มากในสายเลือดเดียวกัน เช่น พี่เป็น น้องเป็น และพ่อเป็น ลูกเป็น เป็นต้น

โรคพันธุกรรมที่พบน้อยบางชนิด ทำให้ร่างกายสร้างกรดยูริคออกมา ในปริมาณที่มากเกิน ได้แก่
  1. hypoxanthine-guanine phosphoribosyl transferase deficiency (Lesch-Nyhan syndrome)
  2. glucose-6-phosphatase deficiency (von Gierke disease)
  3. fructose1-phosphate aldolase deficiency
  4. PP-ribose-P synthetase variants
เพศและกลุ่มอายุ

โรคเก๊าท์มักเป็นกับผู้ชายวัยสูงอายุ เนื่องจากภาวะกรดยูริคในเลือดที่สูงนั้น จะยังไม่เกิดการตกตะกอน และเกิดข้ออักเสบทันที แต่ต้องใช้ระยะเวลาที่กรดยูริคในเลือดสูง เป็นเวลานานหลายสิบปี พบว่าในผู้ชายที่มีกรดยูริคสูงนั้น ระดับของยูริคในเลือดจะเริ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และสูงไปนานจนกว่าจะเริ่มมีอาการ คือ อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงระดับยูริคจะเริ่มสูงขึ้น หลังจากวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะเอสโตรเจนจะมีผลทำให้กรดยูริคในเลือดไม่สูง โดยทั่วไป โรคเก๊าท์พบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และจะพบเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี ในเพศหญิงส่วนมากก็จะพบ แต่ในวัยหมดประจำเดือน ถ้าหากพบโรคเก๊าท์ในเด็ก ก็ต้องมองหาความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรมบางชนิด ซึ่งพบได้น้อยมาก

โรคที่พบร่วมกับโรคเก๊าท์

ผู้ป่วยโรคต่อไปนี้ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าท์มากขึ้น
  1. โรคอ้วน คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคเก๊าท์ได้มากกว่าคนผอม
  2. โรคเบาหวาน คนไข้โรคเก๊าท์โดยทั่วไป ก็พบได้บ่อยว่ามีน้ำหนักตัวมาก และพบโรคเบาหวานได้บ่อย
  3. ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะระดับไขมันไตรกรีเซอไรด์ ซึ่งพบว่า สูงได้ประมาณร้อยละ 80 ของคนไข้โรคเก๊าท์ทั้งหมด
  4. ความดันโลหิตสูง จากการศึกษาวิจัยพบว่า โรคความดันโลหิตสูงร่วมกับโรคเก๊าท์ได้บ่อย
  5. โรคหลอดเลือดแข็งผิดปกติ
  6. ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว
  7. โรคไตวายเรื้อรัง คนไข้ที่เป็นโรคไต ที่มีสมรรถนะของการทำงานของไตลดลงมาก ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ ระดับกรดยูริคสูงขึ้น เนื่องจากความสามารถในการขับถ่ายกรดยูริคออกทางปัสสาวะลดลง คนไข้ที่เป็นโรคเก๊าท์อยู่แล้ว และไตเสื่อมลงไปอีก จะทำให้ระดับกรดยูริคสูงขึ้นอีก คนไข้โรคเก๊าท์จะเสียชีวิตจากภาวะไตวายประมาณ ร้อยละ 10
  8. โรคเลือดชนิด sickle cell anemia, myeloproliferative disease
  9. ผู้ป่วยโรคเลือดบางชนิด โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือได้รับเคมีบำบัด จะทำให้เซลล์ถูกทำลายมากอย่างรวดเร็ว จะทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงมาก ๆ ได้ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ ข้ออักเสบ นิ่วไต หรือแม้แต่ตัวกรดยูริคเองไปอุดตันตามท่อเล็ก ๆ ในเนื้อไตทำให้เกิดภาวะไตวายได้
เหล้าและแอลกอฮอล์

การดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าท์ เนื่องจากไปขัดขวางกระบวนการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย อีกทั้งแอลกอฮอล์ช่วยเร่งปฏิกิริยาการสร้างกรดยูริค โดยการเร่งกระบวนการการสลายตัวของสารอะดีโนซีนไตรฟอสเฟตในเซลล์ การดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการดื่มเบียร์ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการข้ออักเสบได้ทันที เพราะเบียร์มีสารกวาโนซีน ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นกรดยูริคในร่างกายได้มาก ดังนั้น คนที่มีพฤติกรรมในการดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์ หรือเบียร์เป็นประจำ จึงมีโอกาสเป็นโรคเก๊าท์ได้บ่อยกว่า คนที่ไม่มีความประพฤติเช่นนี้ แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายสร้างกรดยูริคขึ้นมามากกว่าปกติ

ยาบางชนิด

ยาบางชนิดเพิ่มความเสี่ยง ที่จะทำให้เกิดโรคเก๊าท์ โดยจะทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูง เนื่องจากยาเหล่านี้ ไปลดการขับถ่ายกรดยูริคออกทางไต ทำให้เกิดการคั่งของกรดยูริคในเลือด จนกระทั่งทำให้ระดับของกรดยูริคในเลือดสูง เช่น
  1. แอสไพริน aspirin
  2. ยาขับปัสสาวะกลุ่ม thiazide
  3. ยารักษาโรคพาร์กินสัน levodopa
  4. ยารักษาวัณโรค เช่น ไพราซินาไมด์ หรืออีแธมบูทอล
  5. ยากดภูมิคุ้มกัน cyclosporin

ที่มา
นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

ยาจุดกันยุง


" ยาจุดกันยุง "
ในปัจจุบัน มักจะมีการนำผลิตภัณฑ์ ที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบมาใช้ เพื่อทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน เพื่อกำจัดยุง แมลง หรือสัตว์ต่าง ๆ ที่มักชอบบุกรุกเข้ามาภายในบ้าน เช่น ปลวก มด หรือแมลงสาบ เป็นต้น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ตลอดจนการใช้ ด้วยวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะทราบ

ขั้นตอนการผลิตยาจุดกันยุง

" ยาจุดกันยุง "
เป็นผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมากที่สุด เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่สูงมาก และมีประสิทธิภาพดีพอสมควร แต่ก่อนที่ผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง จะออกมาวางขายในท้องตลาดได้ จะต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ คือ ในกรณีที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ผู้ประกอบการต้องเตรียมเอกสารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการขออนุญาตเป็นผู้ผลิต ตามกฎเกณฑ์ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ต้องเชิญเจ้าหน้าที่ สมอ. ไปตรวจสอบสถานที่ผลิต พร้อมเก็บตัวอย่างยาจุดกันยุง เพื่อส่งทดสอบประสิทธิภาพ และมาตรฐานตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น น้ำหนักสุทธิ รอยแตกหักหรือร้าวเป็นวงแหวน เมื่อทดสอบความแข็ง อัตราการเผาไหม้ และความชื้น เป็นต้น เมื่อผลทดสอบผ่านเกณฑ์แล้ว สมอ. จะออกใบอนุญาต ในการเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยมีข้อกำหนดต้องใส่เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ลงบนกล่อง

สำหรับผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง ใช้ มอก. 309-2525 เนื่องจากผลิตภัณฑ์ป้องกัน และกำจัดแมลงในบ้านเรือน เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของสารเคมีกำจัดแมลง ที่จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิด ที่ 2 หรือ 3 ตามบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2538 ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ดังนั้นผู้ซึ่งประสงค์จะผลิต หรือนำเข้า จะต้องยื่นคำขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย ที่ใช้ในทางสาธารณสุข ต่อกองควบคุมวัตถุมีพิษ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก่อน ในการขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ที่กองควบคุมวัตถุมีพิษ ผู้ประกอบการต้องส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง มาทดสอบประสิทธิภาพทางชีววิเคราะห์ ที่ฝ่ายศึกษาควบคุมแมลงโดยใช้สารเคมี สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หากผลทดสอบประสิทธิภาพผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว ผู้ประกอบการจะสามารถดำเนินการขอขึ้นทะเบียน กับกองควบคุมวัตถุมีพิษต่อไป เมื่อได้ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้ประกอบการจึงจะสามารถดำเนินการขออนุญาตผลิตได้

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จะออกวางจำหน่ายในท้องตลาด ทางกองควบคุมวัตถุมีพิษได้กำหนดให้ใส่หมายเลขทะเบียนวัตถุอันตราย ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ลงบนกล่องผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง เพื่อให้ทราบว่า ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการควบคุมจากกระทรวงสาธารณสุขปลอดภัย สำหรับผู้บริโภค (อย. วอส. + หมายเลขทะเบียน)

การตรวจวิเคราะห์คุณภาพยาจุดกันยุง

นอกจากฝ่ายศึกษาควบคุมแมลงโดยใช้สารเคมี จะมีบริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพยาจุดกันยุง ที่ส่งตรวจโดยผู้ประกอบการ เพื่อการขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์แล้ว ทางฝ่ายฯ ยังได้ตรวจวิเคราะห์ประสิทธิภาพยาจุดกันยุง ซึ่งส่งมาจากทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์หลังจำหน่าย เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้วยวิธีการที่ใช้วิเคราะห์คุณภาพยาจุดกันยุง เป็นวิธีมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก สมอ. ซึ่งกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบ ต้องสามารถทำให้ยุงลายหงายท้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ในเวลา 20 นาที

ผลจากการทดสอบประสิทธิภาพทางชีววิเคราะห์ ของผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง ที่ส่งตรวจทั้งหมด 6 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541-2546 จำนวนตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 318 ตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างที่ผ่านเกณฑ์ทดสอบมี 299 ตัวอย่าง หรือคิดเป็นร้อยละ 94 ตัวอย่าง ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบ คือทำให้ยุงลาย knock down ร้อยละ 90 (KT90) ใช้เวลามากกว่า 20 นาที มี 19 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 5.97 (จากจำนวนทั้งสิ้น 309 ตัวอย่าง ซึ่งเมื่อนำค่าเฉลี่ยของค่า KT90 มาเรียงจากน้อยไปมาก พร้อมจัดกลุ่มทุกช่วง 2 นาที พบตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 37.9 มีค่า KT90 อยู่ระหว่าง 6-8 นาที)

สารเคมีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง
  1. สารเคมีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง ได้แก่ Allethrin และไอโซเมอร์ทั้ง 5 Allethrin, d-Allethrin, Bioallethrin, Esbiothrin, S-Bioallethrin โดยสารเคมี ที่ใช้เป็นองค์ประกอบในยาจุดกันยุงมากที่สุด คือ d-Allethrin, Metofluthrin, Prallethrin และ Transfluthrin
  2. ยาจุดกันยุง ที่เป็นสูตรผสมระหว่าง d-Allethrin และสมุนไพร
  3. ยาจุดกันยุงที่ทำจากสมุนไพรล้วน ๆ ได้แก่ ตะไคร้หอม ตะไคร้หอมผสมผงมะกรูด และใบเสม็ดขาว

ความเป็นพิษ

แม้ว่าสารที่นิยมใช้ เป็นส่วนผสมสำหรับไล่ หรือฆ่ายุงในยาจุดกันยุง จะเป็นสารเคมีกำจัดแมลงประเภทไพรีธรอยด์ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ทำให้ยุง knock down และสลายตัวได้ง่าย รวมทั้งมีความเป็นพิษน้อยกว่าประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม สารประเภทไพรีทรอยด์ก็สามารถทำให้เกิดพิษได้ โดยเฉพาะในรายที่เกิดอาการแพ้ จะทำให้ผิวหนังอักเสบ บวม แดง เยื่อจมูกอักเสบ และมีอาการเหมือนแพ้เกสรดอกไม้ คือ จาม ไอ น้ำมูกไหล หายใจขัด เป็นต้น แม้จะไม่ค่อยพบอันตรายรุนแรง ที่เกิดจากยาจุดกันยุง แต่ผู้ใช้ก็ควรระมัดระวังในการใช้ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และทรัพย์สินได้

คำเตือนสำหรับการใช้และการเก็บรักษา
  1. อย่าจุดยากันยุง ในห้องที่มีเด็กอ่อนหรือผู้ป่วย หรือในที่อับ ไม่มีอากาศถ่ายเท ควรใช้ยาจุดกันยุงในห้อง ที่มีอากาศถ่ายเทดี
  2. อย่าให้ยากันยุงสัมผัส หรือรมถูกอาหาร
  3. อย่าจุดยากันยุงใกล้วัสดุที่ติดไฟง่าย ขาตั้ง และสิ่งรองยาจุดกันยุง ต้องทำด้วยวัสดุโลหะ หรือวัตถุอื่น ๆ ที่ไม่ติดไฟ และขณะใช้ ต้องวางให้ห่างจากของไวไฟ หรือของที่เป็นเชื้อไฟได้ และเมื่อเลิกใช้แล้ว ควรตรวจดูให้แน่ใจว่า ไฟดับเรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไฟไหม้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากประมาท
  4. ล้างมือทุกครั้ง หลังการหยิบใช้หรือสัมผัส
  5. ควรเก็บยาจุดกันยุงไว้ในที่แห้ง อย่าให้ถูกแสงแดด และให้ห่างจากเด็ก อาหาร และสัตว์เลี้ยง
  6. หากเกิดพิษจากการสูดดม ให้รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณ ที่จุดยากันยุง ไปยังบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
  7. หากกลืนกินยาจุดกันยุงเข้าไป ต้องรีบทำให้อาเจียน โดยการดื่มน้ำสะอาด 2 แก้วแล้วทำการล้วงคอให้อาเจียน หากมีอาการรุนแรง ให้รีบนำส่งแพทย์ พร้อมภาชนะบรรจุ รวมทั้งฉลาก หรือใบแทรก ของผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุงนั้น ๆ ด้วย

ที่มา
นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

กล้ามเนื้อ

ทำไมผู้หญิงที่ออกกำลังกายบ่อย ๆ มานานหลายปี แต่ยังคงมีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ปกติ สิ่งที่มีผลอย่างมาก คือ MUSCLE MASS ถ้ากล่าวถึง " กล้ามเนื้อ " คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการที่กล้ามเนื้อย่างนักเพาะกาย แต่ความเป็นจริง หมายถึง ปริมาณกล้ามเนื้อทั้งหมดที่ร่างกายมีอยู่ การมีกล้ามเนื้อที่พอเหมาะ ทำให้มีรูปร่างดี แข็งแรง ทำให้การเคลื่อนไหวมีพลัง กล้ามเนื้อมีหน้าที่นำอาหารมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน และช่วยให้คุณดูดี

คนที่มีอายุเพิ่มจาก 20 เป็น 30 ปี ร่างกายก็มีการเปลี่ยนแปลง ปริมาณกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลดลง กิจกรรมที่เราทำตามปกติไม่เพียงพอ ในการทำให้กล้ามเนื้อคงอยู่ดังเดิม จากการศึกษาพบว่า เมื่อผู้หญิงอายุเพิ่มมากจาก 35 เป็น 80 ปี จะเสียปริมาณกล้ามเนื้อไปหนึ่งในสามของปริมาณกล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกาย และการที่ปริมาณกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้
  • ร่างกายอ่อนแอลง
  • ร่างกายไม่กระฉับกระเฉงดังเดิม
  • ความหนาแน่นของกระดูกลดลง
  • อัตราการเผาผลาญพลังงานลดลง
  • กล้ามเนื้อถูกแทนที่ด้วยไขมัน
วิธีที่จะทำให้ไขมันไม่เพิ่มขึ้น คือ การทำให้ปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกายไม่ลดลง โดยการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (STRENGTH TRAINING) ทำให้มีการสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยลดไขมัน

ผู้หญิงที่ยกตุ้มน้ำหนักขนาดเล็ก สัปดาห์ละ 3 ครั้ง น้ำหนักจะลดลง 3.5 kg ในระยะเวลา 2 เดือน การยกน้ำหนักในขนาดที่ไม่มากเกินไป จะทำให้มีกล้ามเนื้อมากขึ้น และลักษณะของกล้ามเนื้อ ไม่ใหญ่มากเหมือนนักเพาะกาย ทำให้ร่างกายสมส่วน ช่วยเผาผลาญไขมันที่สะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

Wednesday, October 21, 2009

อาหารกระป๋อง


" อาหารกระป๋อง "
เป็นอาหารที่บรรจุกระป๋อง ภายใต้สูญญากาศ หรือมีการไล่อากาศออก ก่อนปิดฝา จากนั้นจึงนำไปฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันสูง จุลินทรีย์ต่าง ๆ จะถูกทำลายหมด อาหารกระป๋องจึงเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน แม้จะทิ้งไว้หลาย ๆ ปี แต่การเก็บอาหารกระป๋องไว้นาน ถึงแม้ว่าอาหารนั้นจะไม่เสีย เพราะจุลินทรีย์ แต่สภาพของอาหารในกระป๋อง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนไม่เหมาะที่จะนำมารับประทาน

การเลือกซื้ออาหารกระป๋อง

ควรเลือกซื้ออาหารกระป๋องของผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ลักษณะกระป๋องต้องอยู่ในสภาพที่ดี ไม่บุบ บวม รั่วซึม อย่าซื้ออาหารกระป๋องที่ฉลากไม่ถูกต้อง ไม่มีวันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ ไม่มีฉลากภาษาไทยแสดงชื่อประเภทอาหาร ส่วนประกอบ ชื่อ และที่ตั้งของผู้ผลิต เป็นต้น หากซื้ออาหารกระป๋องเพียงเพราะราคาถูก อาจจะได้รับอันตรายจากอาหารกระป๋อง ที่ผลิตขึ้นโดยไม่ถูกสุขลักษณะได้ โดยเฉพาะอาหารกระป๋อง ที่มีสภาพความเป็นกรดต่ำ เช่น พวกเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เป็นต้น อาจมี " บักเตรี " พวกคลอสตริเดียม โบตูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งจะสร้างสารพิษ ที่มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการกลืนอาหารลำบาก ม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็ว ระบบหายใจเป็นอัมพาต อาจจะขั้นถึงเสียชีวิตได้

ลักษณะอาหารกระป๋องที่ซื้อมา เมื่อเปิดฝาแล้ว ควรสังเกตลักษณะภายในด้วยว่า มีกลิ่น สี หรือลักษณะของอาหารผิดปกติหรือไม่ ถ้าเป็นพวกอาหารคาว ควรถ่ายใส่ภาชนะหุงต้ม แล้วอุ่นให้เดือดสัก 15 นาที ก่อนนำมารับประทาน สำหรับอาหารกระป๋องอื่น ๆ เมื่อเปิดแล้ว หากกินไม่หมดไม่ควรเก็บไว้ในกระป๋อง ควรถ่ายใส่ไว้ในภาชนะที่เป็นแก้ว หรือกระเบื้องเคลือบมีฝาปิด และเก็บไว้ในตู้เย็น

ที่มา
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

ยา " พาราเซตามอล "

" พาราเซตามอล " เป็นยาแก้ปวด ที่บำบัดอาการปวด ปานกลาง เช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ และเป็นยาลดไข้ ยาตัวนี้ถือว่า มีความปลอดภัย และสามารถที่จะใช้ได้กับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารได้ ยามีขายในท้องตลาดทั่วไป ทั้งยาเม็ดสำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ ยาน้ำสำหรับเด็ก ยาฉีด

วิธีใช้

การรับประทานยานี้ ให้รับประทานตามขนาดที่ระบุไว้ที่ฉลาก โดยสามารถที่จะรับประทานช่วงท้องว่างได้

ข้อควรรู้

ไม่ควรรับประทานเต็มขนาด เช่น วันละ 4 ครั้ง หรือทุก 4-6 ชั่วโมงติดต่อกันนาน 5 วันในเด็ก หรือ 10 วันในผู้ใหญ่ " ผู้ป่วยโรคตับ " ไม่ควรใช้ หรือควรปรึกษาแพทย์ เภสัชกร ในกรณีที่รับประทานยาตามกำหนดแล้ว ไข้ไม่ลงภายใน 24 ชั่วโมง จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องต่อไป

ที่มา :
สภาเภสัชกรรม

Tuesday, October 20, 2009

สิ่งที่ "ไม่ควรทำ" หลังทานอิ่ม!!!

  1. อย่าสูบบุหรี่ จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึงสิบมวน (ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น)
  2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร เพราะมันไปพองในท้อง ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
  3. อย่าดื่มน้ำชา เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
  4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
  5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว เพราะการอาบน้ำจะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือและเท้าทั่วร่างกาย เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียน บริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
  6. อย่าเดินหลังอาหาร แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้ว ให้เดินสัก 100 ก้าว จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปีการเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึม สารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดิน ถ้าต้องการ
  7. อย่านอนทันที อาหารที่รับประทานเข้าไป ไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลม หรือแก๊สในทางเดินอาหาร

ยืดเส้น ยืดสาย สไตล์ฤๅษีดัดตน

ปัจจุบัน หลายคนเริ่มให้ความสำคัญ และตื่นตัว กับการดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น วิธีหนึ่งที่ทำได้ง่าย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยิ่ง คือ การออกกำลังกาย กระทั่งทำให้สถาบันที่ให้บริการด้านสุขภาพเกิดขึ้นมากมาย เพื่อดูดเงินจากกระเป๋าของผู้รักสุขภาพทั้งหลาย แต่จะคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายหรือไม่ นั่นแล้วแต่กรณี

ทั้งนี้ การออกกำลังกายมีหลากหลายรูปแบบ แต่แบบที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน และสามารถทำกันได้ โดยไม่ต้องเสียเงินก็คือ “ ฤๅษีดัดตน ” ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาปรับใช้ ให้เป็นการออกกำลังกายในสไตล์ไทย ๆ และได้ผลดีอย่างมาก

สารพัดประโยชน์แห่งฤๅษีดัดตน

“ ฤๅษีดัดตน ” ถือเป็นองค์ความรู้ ของการแพทย์แผนไทยแขนงหนึ่ง โดยในอดีตท่าฤๅษีดัดตนมีคุณค่าต่อการรักษาสุขภาพอย่างมาก ทำให้สถาบันแพทย์แผนไทย ได้ศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ วิธีปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่จะนำท่าฤๅษีดัดตนทั้ง 127 ท่า มาเป็นท่าออกกำลังกายทั้งหมด คงเป็นเรื่องยาก เพราะบางท่ายากเกินไปที่จะทำ จึงต้องเลือกท่าที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่มีทั้งสิ้น 14 ท่า โดยเริ่มจากท่าพื้นฐาน ทั้งแนวราบ แนวดิ่ง ไปจนถึงท่าที่ค่อย ๆ เพิ่มความยากขึ้น พร้อมกันนี้ ก็ได้นำความรู้ทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และกายภาพบำบัดมาประยุกต์ ควบคู่กันไปในการพิจารณาแต่ละท่าว่า จะนำมาใช้ในการบริหารกล้ามเนื้อส่วนไหน และให้ประโยชน์กับร่างกายอย่างไร

เบื้องต้นจะเน้นไปที่ การป้องกัน ส่งเสริมสุขภาพ การแก้อาการ หากมีอาการเล็กน้อย การบริหารนี้ก็จะช่วยได้มาก เพียงแต่ว่าการจะเห็นผลหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับอาการว่า จะเป็นมากน้อยแค่ ไหน และตอนนี้บางท่าได้เข้าสู่กระบวนการทำวิจัย เพื่อใช้ในการรักษาโรค ซึ่งก็ต้องรอข้อมูลยืนยันอีกครั้ง

" ฤๅษีดัดตน " แตกต่างกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเป็นการเคลื่อนไหวแบบช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป เหมาะกับกลุ่มที่มีปัญหาเฉพาะส่วน อย่างหัวเข่า ข้อกระดูกต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการกระแทก หรืออุบัติเหตุโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อ ซึ่งไม่เหมาะกับการออกกำลังกาย ที่ต้องใช้แรงมาก ๆ

ประโยชน์ที่ได้รับ


แน่นอนว่าการออกกำลังกาย เพื่อที่เราจะได้กำลังที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง ด้วยการยืดร่างกาย ยืดกล้ามเนื้อ และยังช่วยให้เกิดการบำบัดอาการเบื้องต้น เป็นการป้องกันการเกิดอาการของโรคที่อาจลุกลาม เช่น หากมีการปล่อยให้กล้ามเนื้อมีความเครียด จะทำให้เกิดการแข็งตึงได้ จากนั้นจะเริ่มปวด จนทำให้เกิดการอักเสบ ส่งผลให้ร่างกายมีโครงสร้างที่ผิดปกติได้

ฤๅษีดัดตนเป็นศาสตร์การรักษาป้องกัน ที่ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อคลายให้อาการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการฝึกสมาธิ ฝึกลมหายใจ เพราะโดยปกติแล้ว คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยว่าหายใจถูกต้องหรือไม่ บางคนหายใจเข้าแต่ท้องแฟบ หากเป็นเช่นนั้น จะทำให้เกิดการหายใจเร็ว ซึ่งไม่ถูกต้อง พอมาฝึกตรงนี้ ก็จะได้ฝึกลมหายใจที่ถูกต้อง เพื่อให้อากาศเข้าได้อย่างเต็มที่ การไหลเวียนของเลือดก็จะดี ระบบในร่างกายจะเป็นปกติ อีกทั้งยังได้สมาธิ เพราะการบริหารในแต่ละท่า ทุกส่วนของร่างกายต้องมีความผสานกัน จะทำให้เรามีสมาธิที่จดจ่ออยู่กับท่านั้น ๆ ทำให้จิตเป็นปัจจุบัน และเป็นการคลายเครียดอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างสมดุลโครงสร้างของร่างกาย เพราะในชีวิตประจำวันนั้น บางครั้งเราใช้อิริยาบถที่ไม่เหมาะสม ที่ยังเป็นปัญหาที่ซ้ำเติม ให้เกิดการบาดเจ็บได้ เกิดความเครียดของกล้ามเนื้อ ซึ่งก็จะเป็นต้นเหตุให้ปัญหาต่าง ๆ ตามมา การบริหารโดยฤๅษีดัดตนจะช่วยปรับโครงสร้างของร่างกาย อย่างน้อยในหนึ่งวัน ควรบริหารให้ได้ 1-2 ชั่วโมง ดีกว่าไม่ทำเลย

ท่าพื้นฐาน พิชิตโรค

ในส่วนของท่ายืดเส้น ยืดสาย ในรูปแบบของฤๅษีดัดตน ที่ได้มีการคัดเลือกให้เป็นท่า ที่ใช้ในการออกกำลังกาย พื้นฐานนั้น

ท่าแรก คือ ท่าฤๅษีดัดตนบริหารใบหน้า จะเน้นการผ่อนคลายในขณะทำงาน หรือใช้จัดการกับความเครียด ที่บริหารทุกส่วนของใบหน้าทั้งแก้ม หน้าผาก กกหู ไปจนถึงศีรษะ

ท่าที่ 2 ท่าฤๅษีดัดตนแก้ลมในลำลิงค์
เป็นท่าที่ใช้ในการบริหารช่วงแขนทั้งหมด ข้อศอก ไหล่ จนถึง ลำคอ และหลัง

ท่าที่ 3 ท่าฤๅษีดัดตนแก้ปวดท้อง-ข้อเท้า

ท่าที่ 4 ท่า ฤๅษีดัดตนแก้ลมเจ็บศีรษะ และตามัว เป็นท่าที่ให้การคลายกล้ามเนื้อ บริเวณบ่า และคอ จะทำให้เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ลดอาการเวียนศีรษะ

ท่าที่ 5 ท่าฤๅษีดัดตนขัดแขน แขนขัด เน้นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณแขน

ท่าที่ 6 ท่าฤๅษีดัดตนแก้กล่อน และแก้เข่าขัด

ท่าที่ 7 ท่าฤๅษีดัดตนแก้กล่อนปัตคาด เป็นท่าที่เน้นการแก้ปวดข้อต่างๆ เช่น เข่า หลัง

ท่าที่ 8 ท่าฤๅษีดัดตนแก้ลมในแขน เน้นการแก้ปวดแขนเป็นหลัก

ท่าที่ 9 ท่าฤๅษีดัดตนดำรงกายอายุยืน เป็นท่าที่เน้นการทรงตัว ใช้ทดสอบการทรงตัว มีผลต่อการบริหารสะโพก

ท่าที่ 10 ท่าฤๅษีดัดตนแก้ไหล่ขา และเข่าขา เป็นท่าที่บริหารแก้ปวดหลัง

ท่าที่ 11 ท่าฤๅษีดัดตนแก้ตะคริว มือ เท้า เป็นท่าที่เน้นการบริหาร ให้เกิดการทรงตัวที่ดี ซึ่งส่งผลดีต่อข้อเข่า และสะโพก

ท่าที่ 12 ท่าฤๅษีดัดตนแก้สะโพกสลักเพชร ท่านี้เป็นท่าที่ให้ประโยชน์ในการบริหารตลอดแนวขาทั้งหมด

ท่าที่ 13 ท่าฤๅษีดัดตนแก้ลมเลือดนัยน์ตามัว แก้ลมรันรัดทั้งตัว

ท่าที่ 14 ท่าฤๅษีดัดตนแก้เมื่อยปลายมือ ปลายเท้า เป็นท่าสุดท้ายที่จะให้การบริหารกับทุกส่วนของร่างกาย

การให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย ซึ่งจะเป็นในรูปแบบใดก็ได้ แค่ได้ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และควรให้ความสำคัญ ในเรื่องของความเหมาะสมกับรูปแบบการออกกำลังกาย ที่เหมาะกับร่างกายจะรับไหว เพราะแทนที่การออกกำลังกายจะเกิดประโยชน์ อาจเกิดโทษก็เป็นได้


ที่มา
อ. กัญจนา ดีวิเศษ
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสาธารณสุข

Monday, October 19, 2009

เคล็ดลับพิชิตกลิ่นปาก

สาเหตุของกลิ่นปาก

สาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากเศษอาหาร ที่ตกค้างอยู่ตามซอกฟัน บริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก หรือในรูฟันผุ ซึ่งจะมีเศษอาหารเน่าเสียอยู่ รวมทั้งแผ่นคราบฟัน และหินปูนที่อยู่รอบ ๆ ฟัน ซึ่งเป็นที่เก็บกัก และสะสมเชื้อโรคต่าง ๆ ในช่องปากของเรา

บางคนพบว่า เหงือกเป็นหนองจากโรคปริทันต์ หรือมีฟันโยก อาหารบางชนิดเมื่อรับประทานแล้ว จะมีกลิ่นขับออกมาทางลมหายใจ เช่น หัวหอม กระเทียม ทุเรียน ผู้ที่ดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือท้องผูกหลาย ๆ วัน ก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ รวมทั้งผู้ป่วยโรคทางร่างกายบางอย่าง เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง วัณโรค โรคปอด และโรคระบบทางเดินอาหาร

ภายหลังตื่นนอนใหม่ ๆ กลิ่นปากจะแรง เพราะในขณะที่นอนหลับอยู่ น้ำลายจะถูกขับออกมาน้อย ทำให้น้ำลายมีการหมุนเวียนน้อย เศษอาหารที่ตกค้างสะสมอยู่ จึงมีการบูดเน่าเสีย เกิดเป็นกลิ่นปากค่อนข้างแรง เมื่อตื่นนอนได้แปรงฟัน และน้ำลายมีการไหลเวียนมากขึ้น กลิ่นปากก็จะบรรเทาลง

" น้ำลาย " เปรียบเสมือนน้ำยาบ้วนปาก ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกภายในช่องปาก เมื่อมีน้ำลายหลั่งออกมาก ทำให้ช่องปากสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมาน้อย ช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้

น้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากในขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว หรือการคิดถึงอาหารอร่อย ๆ ที่เราชอบ ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายน้อย เช่น เวลานอน ภาวะอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ตลอดจนภาวะทางจิตใจ ความเครียด อาชีพที่ใช้เสียงมาก ๆ เช่น ครู ทนายความ มีผลทำให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้

กลิ่นเหม็นจากช่องปาก บางครั้งเกิดขึ้นได้จากโคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากมีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงคอ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะเกิดจากการเจ็บป่วยหรือเป็นโรค แต่มักมีสาเหตุมาจาก " อาการภูมิแพ้ " น้ำเมือกที่ไหลลงคอ ในระยะแรก ๆ จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปาก แต่สักประมาณ 2 - 3 วัน แบคทีเรียจะย่อยน้ำเมือก และทำให้เกิดกลิ่นปาก

เราสามารถทดสอบกลิ่น โดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบา ๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงดมดู และกรณีคนที่มีกลิ่นปากมาจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และต้องแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างนี้ได้

สรุปว่า กลิ่นปากเกิดได้จากหลาย ๆ สาเหตุ ถ้าหากแก้ไขที่ต้นเหตุได้ ก็จะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด เพราะการใช้ของสำเร็จรูปนั้น เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและชั่วคราวเท่านั้น

กลิ่นปากในเด็ก


ท่านผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่า เด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหาร และเชื้อแบคทีเรียเหลือติดอยู่ตามซอกฟัน เด็ก ๆ มักจะมีกลิ่นปากมากในตอนเช้า หากเป็นมากอาจจะมีตอนสาย ในเด็กบางรายไม่มีอาการปวดฟัน แต่มีฟันผุ ที่พบบ่อย ๆ คือ ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลัน และเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้

นอกจากนั้น กลิ่นปากเด็กโดยมาก จะเกิดอาการน้ำมูกไหล ไอกลางคืน คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก โรคภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก ท่านผู้ปกครองควรสอนให้เด็กแปรงฟัน และล้างปาก เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากของเด็ก และมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสารฟลูออไรด์ ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง สอนเด็กใช้ไหมขัดฟัน หากเห็นเศษอาหารติดที่คอ ก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปากทันที

กลเม็ดพิชิตกลิ่นปาก
  • อย่าปล่อยให้ปากแห้ง เพราะเมื่อปากแห้งแล้ว ความเข้มข้นของแบคทีเรียในปากจะเพิ่มมาก ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ง่าย
  • ดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลาย
  • แปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร และอย่างลืมแปรงด้านบนของลิ้น อันเป็นที่เกิดของแบคทีเรียด้วย
  • ใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 - 3 ครั้ง
  • ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำยาบ้วนปาก
  • เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีน้ำตาล
  • เคี้ยวใบผักชีฝรั่ง หรือกานพลูหลังมื้ออาหาร
  • งดอาหารกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หอมใหญ่ พริกไทย และเนยแข็ง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก
  • กินอาหารให้ครบหมู่ แม้ว่าคุณจะกำลังลดความอ้วนอยู่ก็ตาม
  • เลิกสูบบุหรี่
  • ตรวจสุขภาพฟันสม่ำเสมอ

กลิ่นมะนาว ช่วยคลาย "เครียด"

ศาสตร์ของ " อโรมาเทอราปี (Aromatherapy) " เป็นศาสตร์ของการใช้ " กลิ่นระเหย " มาช่วยดูแลสุขภาพ ในรูปของน้ำมันระเหย ที่สกัดออกมาอย่างเข้มข้น ใช้ได้ทั้งเพื่อความงาม ในรูปของเครื่องสำอาง หรือจะใช้เพื่อสุขภาพ ใช้เพื่อพิธีกรรม

โดยเฉพาะเพื่อความงาม การใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ผิว การขับสารพิษ การระงับเชื้อ ฯลฯ เราสามารถใช้เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ซ่อมแซมรอยแผล แต้มสิว บำรุงผม หรือการลดริ้วรอยความเหี่ยวย่น โดยใช้ในรูปแบบของโลชั่น น้ำมันนวด สบู่อาบน้ำ หรือแชมพู การใช้เพื่อสุขภาพ ด้วยคุณสมบัติของการคลายกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด การฆ่าเชื้อ ฯลฯ

นอกจากนี้ เรายังสามารถนำน้ำมันหอมระเหย มาใช้ลดอาการ หรือช่วยบำรุงสุขภาพเราได้ ทั้งทางกายและทางจิตใจ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากความเครียด ซึ่งยาเคมีสังเคราะห์มีผลข้างเคียงสูง ในขณะที่น้ำมันหอมระเหยเป็นสารธรรมชาติ มีการตกค้างและผลข้างเคียงที่น้อยกว่าหรือไม่มีเลย ทำและใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาลทีเดียว

"มะนาว" นักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ศึกษาแล้วพบว่า กลิ่นของมะนาว โดยเฉพาะจากเปลือก ช่วยลดความเครียดได้ เป็นการใช้กลิ่นหอมทดแทนการใช้ยา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวนี้ มีฤทธิ์ต่อระบบต่าง ๆ ผ่านทางผิวหนังได้ด้วย เช่น ช่วยระงับเชื้อจากบาดแผล แมลงกัดต่อย ฯลฯ ส่วนกลิ่นมะนาวยังช่วยลดความดันโลหิตอีกด้วย

Friday, October 16, 2009

การปัสสาวะ



คำถามเกี่ยวกับการปัสสาวะที่ห้ามละเลย


หากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ จะมีวิธีรักษาอย่างไร? อาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ แล้วเพศหญิง หรือเพศชายที่มีโอกาสเป็นได้มากกว่ากัน มีวิธีป้องกันอย่างไร และมีอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงกับการเป็นโรคเกี่ยวกับระบบปัสสาวะได้บ้าง?

อาการปวดแสบปวดร้อนในขณะถ่ายปัสสาวะ บางครั้งก็รู้สึกอยากปัสสาวะบ่อย ๆ แต่ก็มักจะปัสสาวะไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นปัสสาวะดังกล่าว ยังมีกลิ่นฉุน เป็นสีขุ่น บางครั้งอาจมีเลือด หรือหนองปน มิหนำซ้ำยังมีอาการเจ็บ เมื่อกดตรงบริเวณหัวหน่าวอีกด้วย จากลักษณะอาการดังกล่าวส่วนใหญ่ เป็นผลมาจากการอักเสบติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ โดยสาเหตุสำคัญ อาจเป็นเพราะความอับชื้น ที่ส่งผลให้เชื้อโรคบางชนิด ที่อาศัยอยู่แถวบริเวณจุดซ่อนเร้นเจริญเติบโตและขยายพันธุ์มากขึ้น จนทำให้เกิดการอักเสบกับอวัยวะดังกล่าว และอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน

ทำไมผู้หญิงหลายคน จึงมักจะมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบปัสสาวะกันมาก??

จากสถิติของการป่วยด้วยโรค เกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะพบว่า มีผู้หญิงป่วยมากกว่าผู้ชาย 20-50 เท่า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น เป็นผลมาจากสรีระร่างกายของผู้หญิง โดยท่อปัสสาวะของผู้หญิงจะสั้นกว่าท่อปัสสาวะของผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้น รูปิดเปิดของท่อปัสสาวะ ก็อยู่ใกล้กับทวารหนักมากกว่า จึงเปิดโอกาสให้เชื้อโรคผ่านเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้โดยง่าย นอกจากนี้ปากช่องคลอดก็อยู่ห่างจากท่อปัสสาวะ ไม่น่าจะเกินหนึ่งเซนติเมตร ดังนั้น การที่เชื้อโรคต่าง ๆ จะเดินทางไปมาหาสู่ จนทำให้ท่อปัสสาวะเกิดการติดเชื้อ จึงไม่ใช่เรื่องยาก

ยิ่งเมื่อสูงวัยขึ้น ชั้นเคลือบผิวซึ่งทำหน้าที่ปกป้องผิว ก็จะยิ่งบางและอ่อนแอลง ทำให้ไม่อาจต้านทานเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ดี อย่างไรก็ดี การรักษาสุขอนามัยในบริเวณจุดซ่อนเร้นดังกล่าว หากทำบ่อยมาก หรือใช้สบู่ที่แรงเกินไปก็ใช่ว่าจะดี เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการระคายเคืองหนักขึ้น

อาหารการกินใดบ้าง ที่จะช่วยป้องกันโรคนี้ และสามารถช่วยเสริมสร้างการทำงานของไต และกระเพาะปัสสาวะได้??

ที่สำคัญและจำเป็นอันดับแรก คือ ต้องดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ยิ่งเป็นน้ำผลไม้สด ที่มีวิตามินซีสูงก็ยิ่งดี นอกจากนี้ ก็ควรจะลดการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักโขม และผักตระกูลกะหล่ำ ส่วนผักชนิดอื่น ๆ และผลไม้ต่าง ๆ ควรรับประทานเพิ่มขึ้น

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ก่อนร่วมเพศทุกครั้งควรดื่มน้ำสักหนึ่งแก้ว และหลังจากร่วมเพศแล้วควรจะปัสสาวะทุกครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้น้ำปัสสาวะช่วยขับไล่ หรือชะล้างเชื้อโรค ที่อาจจะหลงเล็ดลอด เข้าไปในท่อปัสสาวะออกไป

เพราะเหตุใด การให้ความอบอุ่นแถว ๆ บริเวณหน้าท้อง จึงช่วยบรรเทาอาการป่วยดังกล่าวให้ดีขี้น??

การให้ความอบอุ่นแก่บริเวณดังกล่าว มีส่วนช่วยที่สำคัญมาก เพราะความเย็นจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ และส่งผลให้เชื้อโรคเข้าจู่โจมร่างกายได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ความอบอุ่น จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า นอกจากนี้ การประคบหน้าท้องด้วยความร้อน ก็จะช่วยทำให้ขับปัสสาวะออกได้ดีขึ้น


นิ่วในระบบปัสสาวะมีอาการอย่างไร??

เป็นที่ทราบกันดีว่า " โรคนิ่วในระบบปัสสาวะ " เมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้ว ก็จะสร้างความเจ็บปวดทรมานในขณะปัสสาวะได้เป็นอย่างมาก บางรายถึงกับปัสสาวะมีเลือดปน เป็นไข้ และอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังแถว ๆ บั้นเอว ปวดท้องน้อย ปวดเหนือหัวหน่าว หรือปวดบริเวณอวัยวะเพศ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของนิ่วว่า เกิดขึ้นตรงจุดใด โดยขนาดของความปวดจะพอ ๆ กับเวลาปวดจะคลอดลูกอย่างไงอย่างงั้น

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดนิ่วดังกล่าวขึ้น??

สาเหตุหลัก ๆ ของการเกิดนิ่วส่วนใหญ่ เป็นผลมาจากภาวะโภชนาการ นอกจากนี้ก็มีบ้างในบางกรณี ที่เป็นโรคนี้มาตั้งแต่กำเนิด

กรณีที่มีสาเหตุ จากภาวะโภชนาการ นักวิชาการหลายท่านยืนยันว่า นิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นผลมากจากการดื่มน้ำน้อยเกินไป รวมถึงการรับประทานแต่อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ในปริมาณสูงอยู่เป็นประจำ ทำให้ร่างกายเสียสมดุลของน้ำ และทำให้สารแคลเซียมและฟอสเฟตถูกขับออกทางปัสสาวะ ซึ่งหากขับไม่ทัน ก็จะทำให้เกิดการตกผลึก เมื่อผลึกรวมตัวกันมากขึ้น ทางเดินปัสสาวะก็ตีบตัน และเมื่อเวลาผ่านไปเป็นแรมเดือน แรมปี ผลึกดังกล่าว ก็จะมีขนาดโตขึ้น จนกลายเป็นก้อนนิ่วที่ขัดขวางการขับถ่ายปัสสาวะ

กรณีที่มีสาเหตุมาตั้งแต่เกิด เป็นผลมาจากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมพาราไทรอยด์ ซึ่งทำให้ต่อมนี้ ไม่สามารถจะควบคุมระดับของแคลเซียมและฟอสเฟต ให้ดูดซึมเข้าไปเสริมสร้างกระดูกได้ ส่งผลให้ระดับของสารดังกล่าวถูกขับออกสู่ระบบปัสสาวะแล้ว ไปตกตะกอนเป็นก้อนนิ่วอยู่ในระบบทางเดินปัสสาวะ

มีวิธีการใดบ้างที่จะช่วยกำจัดนิ่วดังกล่าวให้หมดไป??

การตัดสินใจว่า จะกำจัดนิ่วออกไปด้วยวิธีใดนั้น บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการเกิดนิ่ว และขนาดของนิ่ว ประกอบกับสภาพไตของผู้ป่วย ทั้งนี้ วิธีการกำจัดนิ่วมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี คือ
  1. รักษาโดยให้ยาแก้ปวดและยาขับปัสสาวะ ใช้ในกรณีที่นิ่วมีขนาดเล็กกว่า 0.7 เซนติเมตร ซึ่งโอกาสที่นิ่วจะหลุดออกมาได้เอง มีความเป็นไปได้ถึงประมาณร้อยละ 60-70
  2. ใช้เครื่องมือขบนิ่ว วิธีนี้จะเหมาะกับนิ่วขนาดเล็ก ที่เกิดขึ้นในท่อปัสสาวะ หรือในกระเพาะปัสสาวะ โดยแพทย์จะทำการส่องกล้องผ่านเข้าไปทางท่อปัสสาวะ
  3. ทำลายก้อนนิ่วโดยใช้พลังงาน เช่น แสงเลเซอร์ อัลตร้าโซนิกส์ หรืออิเล็กโตรไฮโดรลิก ร่วมกับการส่องกล้องผ่านทางท่อปัสสาวะและท่อไต วิธีนี้เหมาะกับนิ่วขนาดเล็กที่เกิดขึ้นในท่อไตส่วนล่าง
  4. สลายนิ่วโดยใช้คลื่นพลังงานสูง วิธีการนี้เหมาะกับการใช้สลายนิ่วได้ โดยไม่ทำให้ผู้ป่วยมีบาดแผล เพราะคลื่นพลังงานสูงที่ปล่อยออกไป จะผ่านทะลุผิวเข้าไปสลายก้อนนิ่วได้โดยตรง และหลังจากที่นิ่วสลายเป็นผุยผงแล้ว นิ่วดังกล่าวก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ

อย่างไรก็ดี วิธีการทั้งหลายเหล่านี้จะใช้ได้ผลดีกับนิ่วขนาดเล็กเท่านั้น ส่วนการสลายนิ่วขนาดใหญ่นั้น อาจจะต้องใช้วิธีส่องกล้องผ่านทางช่องท้อง แล้วใช้เครื่องมือขบ หรือสลายนิ่วโดยใช้พลังงานต่าง ๆ ดังกล่าว

ระหว่างระบบการทำงานของไต กับความดันโลหิต ทั้งสองระบบมีความสัมพันธ์กันอย่างไร??

เนื่องจาก " ไต " มีหน้าที่สำคัญในการกรองของเสียออกจากเลือด ในเวลาเพียง 1 นาที จะมีเลือดผ่านหลอดเลือดแดงใหญ่เข้ามาสู่ไตถึง 0.2 ลิตร โดยสารที่ใช้ไม่ได้จากเลือด ไตจะเก็บกักไว้ เพื่อเตรียมขับถ่ายออกไปทางปัสสาวะ ส่วนสารที่ยังใช้ประโยชน์ได้ ไตจะปล่อยให้ไหลกลับไปทางหลอดเลือดดำใหญ่ หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปเช่นนี้อย่างเป็นระบบ

แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ระบบการกรองของเสียของไตผิดปกติ ความผิดปกติดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อความดันโลหิต หรือระบบการไหลเวียนของโลหิตได้ ในทางตรงกันข้าม หากการไหลเวียนของโลหิตเกิดผิดปกติ โดยเฉพาะความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นสูง ย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณของเลือดที่ไหลเข้ามาในไต และทำให้การกรองของเสียของไตพลอยทำงานอย่างผิดพลาดบกพร่องไปด้วย

มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ที่ผู้ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ จะต้องรับประทานยาแอนตี้ไบโอติกหรือยาปฏิชีวนะ??

ปัจจุบัน เรายังไม่มียาอื่นใด ที่เป็นทางเลือกที่ดีกว่ายานี้ เพราะยานี้สามารถจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน อันเนื่องจากเชื้อลุกลามได้ ทั้งกับอวัยวะที่ป่วยอยู่แล้ว รวมถึงอวัยวะส่วนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นผู้ป่วยด้วยโรคนี้ จึงจำเป็นต้องพึ่งยาแอนตี้ไบโอติกหรือยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และเยียวยารักษาปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ดีการใช้ยานี้ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง และควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นอาจทำให้เชื้อดื้อยาได้

เกร็ดน่ารู้ ระบบปัสสาวะประกอบด้วยอวัยวะใดบ้างและแบ่งงานกันอย่างไร??

เริ่มต้นจาก ไตทั้งสองข้าง ซึ่งมีบทบาทในการช่วยกรองของเสียออกจากเลือด และขับถ่ายของเสียที่กรองได้ ผ่านไปตามท่อไต เพื่อลงไปสู่กระเพาะปัสสาวะ ในขณะที่กระเพาะปัสสาวะซึ่งประกอบขึ้นด้วยกล้ามเนื้อ ที่สามารถขยายและหดตัวได้ ตามคำสั่งการของสมองส่วนไฮโปธารามัส เพื่อรองรับกักเก็บน้ำปัสสาวะไว้ และขับออกไป เมื่อน้ำปัสสาวะเต็มหรือเมื่อถูกสมองสั่งการก็ได้ โดยขับผ่านท่อปัสสาวะออกสู่ภายนอกร่างกาย ท่อปัสสาวะนี้ ในเพศชายจะมีความยาวถึง 18 เซนติเมตร ส่วนในเพศหญิงจะยาวเพียง 3-4 เซนติเมตรเท่านั้น และนี่เองที่เป็นสาเหตุหนึ่ง ซึ่งทำให้ระบบปัสสาวะของผู้หญิงติดเชื้อได้โดยง่าย

"ผลไม้" กินอย่างให้ได้ประโยชน์สูงสุด?



กินผลไม้อย่างไร? ให้ได้ประโยชน์สูงสุด


การเลือกกินผลไม้ให้หลากหลาย และต้องคำนึงถึงปริมาณ และสัดส่วน ที่ควรได้รับภายใน 1 วันด้วย จึงจะทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และพลังงานที่พอเหมาะ

ไม่ควรกินผลไม้ชนิดเดียวกันซ้ำไปซ้ำมา เพราะอาจมีปัญหาการได้รับสารเคมีตกค้าง เช่น สารเคมีฆ่าแมลง จากผลไม้ชนิดนั้น ๆ ทำให้เกิดการสะสมความเป็นพิษ จากการกินผลไม้ชนิดนั้นได้

ผลไม้ในประเทศไทย มีมากมายหลายชนิด แตกต่างกันไปตามฤดูกาล การกินให้มีความหลากหลาย และให้เหมาะสมกับฤดูกาล นอกจากจะช่วยลดสารพิษ ที่อาจปนเปื้อนกับผลไม้แล้ว ผลไม้ที่ซื้อตามฤดูกาล ยังมีราคาถูกเป็นการช่วยประหยัดเงินได้อีกด้วย

เมื่อซื้อผลไม้มาแล้ว จะต้องล้างให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าหลาย ๆ ครั้ง และถ้าเป็นผลไม้ ที่กินทั้งผล (เช่น องุ่น) ซึ่งอาจมีสารเคมีฆ่าแมลง ที่ติดมาค่อนข้างมาก นอกจากล้างให้สะอาดด้วยน้ำไหลผ่านหลาย ๆ ครั้งแล้ว อาจจะต้องแช่ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จึงจะช่วยลดปริมาณของสารเคมีที่ตกค้างอยู่ได้

ส่วนแตงโมจะต้องล้าง ทำความสะอาดเปลือกก่อนผ่าทุกครั้ง เพราะอาจปนเปื้อนสารเคมี และแบคทีเรีย ที่ติดมากับดิน การกินแตงโมก็ควรนับสัดส่วน และไม่ต้องกินทุกวัน เนื่องจากอาจมีสารเคมีตกค้าง ที่ใช้พ่นกันศัตรูพืชในเนื้อแตงโมได้

ใน 1 วันควรกินผลไม้ให้หลากหลาย และได้สัดส่วนตามที่ร่างกายต้องการ และเพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น จะต้องกินควบคู่ไปกับการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอด้วย


การเก็บรักษาผลไม้

หลักง่าย ๆ คือ ไม่ซื้อผลไม้มาเก็บทิ้งไว้ในตู้เย็นปริมาณมาก ๆ เพื่อกินหลาย ๆ วัน เพราะนอกจากความสดใหม่ที่เหลือน้อยลงของผลไม้จากการขนส่งแล้ว การซื้อผลไม้มาเก็บทีละมาก ๆ เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการของผลไม้ลดลงไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะวิตามินซีจะถูกทำลายไปได้มากที่สุด ตามระยะเวลาที่ผ่านไป ถึงแม้จะเก็บรักษาในตู้เย็นก็ตาม

การซื้อผลไม้มากักตุนไว้ครั้งละมาก ๆ ยังอาจมีผล ทำให้มีการเพิ่มน้ำหนักตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจาก มีการกินผลไม้เพิ่มมากขึ้นกว่าที่ควร เพราะความเสียดายกลัวว่า ผลไม้จะเน่าเสีย ขณะที่สัดส่วนอาหารชนิดอื่น ๆ ก็อาจกินเท่าเดิม หรือเพิ่มปริมาณขึ้นด้วย ทำให้ร่างกายใช้พลังงานที่ได้เกินมาไม่หมด จึงเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นี่เป็นสาเหตุหลัก ที่มักมีคำถามว่า " การกินผลไม้ทำไมจึงทำให้อ้วนได้ "

ถ้ามีความจำเป็น (เช่น บ้านอยู่ไกลตลาด) สามารถซื้อผลไม้เก็บไว้กินได้ 2 ถึง 3 วัน โดยเก็บผลไม้ไว้ในตู้เย็น และเวลาจะกินให้แบ่งออกมากิน เฉพาะปริมาณเท่าที่ต้องการเท่านั้น อย่านำออกมาทั้งหมด เพราะการที่ผลไม้ถูกเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว และบ่อยครั้ง จะส่งผลเสียต่อสารอาหารในผลไม้ โดยเฉพาะวิตามินซี ดังนั้นเมื่อซื้อผลไม้มาแล้ว ควรแบ่งเก็บไว้เป็นส่วน ๆ หรือเท่ากับจำนวนที่จะกินของตัวเอง หรือของสมาชิกในครอบครัวในแต่ละมื้อ

การเลือกซื้อผลไม้

ควรซื้อในปริมาณที่พอกิน อย่าซื้อมาที่ละมาก ๆ เพราะคุณค่าทางโภชนาการของผลไม้จะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป การกินผลไม้ให้หลากหลาย อย่ากินซ้ำซากจำเจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสารเคมีตกค้าง ซึ่งร่างกายอาจขับสารพิษเหล่านั้นได้ไม่หมด สิ่งที่ตามมา คือ อาจเกิดการเจ็บป่วยจากสารพิษเหล่านี้ได้ (เช่น โรคมะเร็ง)

ผู้ป่วย หรือคนที่มีน้ำหนักตัวเกิน ให้ระวังผลไม้ที่หวานจัด ต้องไม่กินในปริมาณที่มาก และควรนับส่วนของผลไม้ ที่ตัวเองสามารถกินได้ หรือถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาล (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน หรือแม้แต่ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน) ควรกินผลไม้ที่หวานจัดเพียง 1 ส่วนต่อวันเท่านั้น ผลไม้ดังกล่าวได้แก่ กล้วยสุก ขนุน น้อยหน่าหนัง มะม่วงสุก ลองกอง ลิ้นจี่ เงาะ แตงโม ส้มโอ องุ่น เป็นต้น ส่วนมื้ออื่น ๆ ให้กินผลไม้ ที่มีรสชาติไม่หวาน เช่น ฝรั่ง ชมพู่ และแก้วมังกร เป็นต้น

สำหรับผลไม้ ที่อาจต้องระวังเป็นพิเศษ คือ ทุเรียน เพราะถึงแม้ว่า ทุเรียนจะมีน้ำตาลอยู่ไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้อื่น คือ ประมาณ 7 กรัมต่อน้ำหนักส่วนที่กินได้ 100 กรัม และมีเส้นใยอาหารค่อนข้างดีก็ตาม (3.4-5.4 กรัมต่อ 100 กรัม) แต่ทุเรียนจะมีคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งอยู่มาก ทำให้ 1 ส่วนของทุเรียนเท่ากับ 1 เม็ดเล็กเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่า กินทุเรียน 1 เม็ด ก็ได้พลังงาน 60 กิโลแคลอรีแล้ว

ดังนั้น การกินทุเรียนโดยไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่ม คือ การกินให้อยู่ในจำนวนส่วนของผลไม้ ที่ธงโภชนาการแนะนำให้บริโภคในแต่ละวันนั่นเอง



ที่มา
นิตยสารหมอชาวบ้าน

Thursday, October 15, 2009

ขับถ่ายวันละ 3 ครั้ง ลด " คอเลสเตอรอล " ได้

เรื่องของคอเลสเตอรอลในร่างกาย เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันเสี่ยงต่อการที่เส้นเลือดจะอุดตัน นักวิจัยด้านสุขภาพจึงแนะนำให้ พยายามรักษาระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายต้องไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด

ขับถ่ายอุจจาระวันละ 3 ครั้งถือว่าปกติใช่หรือไม่?

เรามักได้ยิน คำแนะนำว่า แต่ละวันเราต้องรับผงเส้นใยอาหาร (Fiber) ไม่น้อยกว่า 30 กรัม เพื่อให้ถ่ายได้วันละครั้ง แต่ความจริงแล้ว การถ่ายอุจจาระแค่วันละครั้งหาเพียงพอไม่!! เพราะการถ่ายอุจจาระเพียงวันละครั้ง ทำให้ของเสียยังค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่อีก 3 วัน เนื่องจาก โครงสร้างของลำไส้ใหญ่ มีทั้งลำไส้ใหญ่ส่วนขึ้น ลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง ลำไส้ใหญ่ส่วนลง และลำไส้ตรง รวม 4 ขยัก

ถ้าถ่ายอุจจาระเพียงวันละครั้ง จะทำให้อุจจาระในลำไส้ใหญ่ที่เหลือ 3 ขยักสะสมอยู่ในร่างกาย สารพิษจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย ทำให้มีอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้น และเซลล์ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเป็นเสมือนทหารประจำการ 2 ใน 3 ของระบบย่อยอาหาร ก็มีโอกาสเป็นพิษ ทำให้สมรรถภาพภูมิคุ้มกันลดลง

การถ่ายอุจจาระวันละ 3 ครั้ง โดยควรดื่มน้ำผัก ผลไม้ วันละ 4-6 แก้ว และอาจเพิ่มสลัดผักสด 2 มื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์เต็มที่ และช่วยให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวดี บรรลุวัตถุประสงค์ในการขับถ่ายวันละ 3 ครั้งอย่างสะดวก

คุณหว่านพืชเช่นไร คุณย่อมได้ผลเช่นนั้น คุณดูแลร่างกายเท่าใด สุขภาพก็เป็นของคุณมากเท่านั้น แต่ก็มีข้อพึงระวังสำหรับคนที่เพิ่งผ่าตัด ที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะ ลำไส้ (เช่น การตัดลำไส้ใหญ่ การตัดกระเพาะอาหาร) ควรปรึกษานักโภชนาการ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แนวธรรมชาติบำบัด ที่มีใบอนุญาตก่อน เพื่อให้เขาออกแบบตำรับอาหาร และสลัดผักสดเพื่อคุณโดยเฉพาะ รวมทั้งกำหนดสารเสริมอาหารควบคุมกันไป




ที่มา
หนังสือ 100 คำถาม เจาะลึกเพื่อสุขภาพ

จับ " สมอง " มาออกกำลัง

อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ พฤติกรรมของสมอง ที่ทำให้สุดแสนจะเซ็ง และไม่รู้สาเหตุด้วยว่า เป็นเพราะอะไร เรื่องของเรื่องนั้น มันเป็นปัญหาอยู่ที่ เราเลือกที่ใช้สมองไม่เต็มศักยภาพ อย่างที่เขาว่ากันว่า ถ้าสมองมีอยู่ 100 คน เราใช้สมองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้ 10 เปอร์เซ็นต์ที่ว่า ก็ยังใช้ไม่เต็มที่เสียอีก


วิธีการพัฒนาศักยภาพสมองให้เต็มเปี่ยม ฝีกจำ-ฝึกลืม ขอคัดมาให้ลองฝึกกันพอประมาณ

  1. หัดหยิบของในที่มือ หรือฝึกหลับตาอาบน้ำ - แต่งตัว
  2. ลองใช้มือข้างที่ไม่ถนัดทำกิจกรรมที่คุ้นเคย เช่น กินข้าว หยิบของ
  3. ร้องตามเพลง ที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน
  4. หัดอ่านหนังสือหลาย ๆ ประเภท หรือเปลี่ยนคอลัมน์อ่าน
  5. อ่านหนังสือตามข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณา ถุงกล้วยแขก ท้ายรถบรรทุก ท้ายรถเมล์
  6. ดูหนังที่มี 2 ภาษา หรือมีซับไตเติล
  7. ฝึกบวกเลขจากทะเบียนรถ หรือตั๋วรถเมล์
  8. เล่นเกมฝึกสมอง หมากรุก ปริศนาอักษรไขว้ เกมจับผิด ฯลฯ
  9. ออกไปพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนทัศนคติกับคนอื่น ๆ
  10. เขียนเลข 8 ในอากาศด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ข้าง ละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลข และเขียนเส้น หรือวาดภาพด้วยมือทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน จะช่วยทำให้สมองสองด้านทำงานประสานกัน
  11. กรอกลูกตาไปมา จากข้างหนึ่งไปข้างหนึ่ง ทำอย่างต่อเนื่อง 30 วินาทีต่อวัน ช่วยให้สมองตอบสนอง ความจำดี
  12. กินน้ำเป็นประจำ แบบค่อย ๆ จิบ จะช่วยปรับสารเคมีในสมอง

นอกจากนี้ ต้องคอยออกกำลังกาย หัดยืดเส้นยืดสาย หรือออกไปนวดกดจุดบ้าง และอย่าลืมหมั่นฝึกจิต ปล่อยใจให้ว่างสบาย และมีสมาธิกับสิ่งที่ทำ แค่นี้สมองก็จะเบิกบานขึ้นอีกเป็นกอง



ที่มา
โรงพยาบาลเปาโล เมมโมเรียล

Wednesday, October 14, 2009

อาการ " ไอ "

" การไอ " เป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติของร่างกาย ที่สั่งการผ่านศูนย์ควบคุมการไอ ในสมอง เมื่อมีสิ่งระคายเคืองไปกระตุ้นจุดรับสัญญาณไอ ซึ่งมีอยู่ 3 แห่งในร่างกาย ได้แก่ จมูก ลำคอ และทรวงอก

การไอแบบมีเสมหะ เป็นกลไกของร่างกายที่พยายามกำจัดของเสีย หรือสิ่งแปลกปลอม ที่สร้างความระคายเคือง ซึ่งก็คือ " เสมหะ " ให้ออกไปจากหลอดลม

ส่วนการไอแห้ง ๆ เป็นอาการไอ ที่เกิดจากหลอมลมมีการอักเสบ หรือระคายเคือง จึงกระตุ้นให้เกิดอาการไอโดยที่ไม่มีเสมหะ

สาเหตุของการไอ มีหลายประการ ได้แก่
  • สิ่งแวดล้อม และสารก่อความระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง อากาศที่ร้อน หรือเย็นเกินไป ละอองสารเคมีในอาการ
  • การสำลัก หรืออุดกั้นทางเดินหลอดลม เช่น เสมหะในหลอดลม น้ำมูกที่ไหลลงหลอดลม อาหาร หรือน้ำย่อย ที่ไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปสู่หลอดลม
  • การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น เป็นหวัด หลอดลมอักเสบ โพรงไซนัสอักเสบ เป็นต้น บางครั้งการติดเชื้อหายแล้ว แต่อาการไอยังคงอยู่
  • โรคบางชนิด เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด ปวดบวม วัณโรค ไอกรน
  • อาการข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคความดันสูงบางกลุ่ม ยาสเตียรอยด์แบบพ่นจมูก เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอาการไอ แต่พบไม่บ่อย เช่น การสำลักสิ่งแปลกปลอมในหลอดลม โรคเนื้องอกในหลอดลม และพยาธิบางชนิด เป็นต้น

ลักษณะของการไอ บางครั้งก็ช่วยบอกสาเหตุได้ เช่น
  • ไอกลางคืนมากกว่ากลางวัน มักจะเป็นการติดเชื้อ ในทางเดินหายใจ เนื่องจากจะมีน้ำมูกไหลลงคอ ทำให้ระคายเคือง และกระตุ้นให้เกิดอาการไอขึ้น
  • ไอแบบแน่นหน้าอก พบในผู้ป่วยโรคหอบหืด มักจะมีเสียงหายใจผิดปกติ เช่น เสียงวี้ด ๆ ด้วย
  • ไอแบบมีเสมหะ ลักษณะของเสมหะจะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ เช่น ถ้าเสมหะเป็นหนองมาก หรือมีสีเหลืองเขียว มักจะมีการติดเชื้อ ถ้าเสมหะเป็นสีขาว มักเป็นอาการไอจากภูมิแพ้ หรือหอบหืด

การป้องกันและบำบัดอาการไอ
การรักษาด้วยตัวเอง ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรม ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง จะช่วยบรรเทาอาการลงได้ เช่น
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่มีอากาศร้อนหรือเย็นเกินไป
  • นอนยกศีรษะสูงขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว เพื่อป้องกันน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดลม
  • งดสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ ที่มีการจราจรคับคั่ง หรือมลพิษทางอากาศ
  • งดน้ำแข็ง หรือน้ำเย็น แล้วหันมาดื่มน้ำอุ่น
  • งดของทอด ของมัน

การรักษาด้วยยา
เนื่องจาก การไอเป็นอาการแสดงของโรคหลายโรคมาก คงไม่มีตัวยาตัวใดตัวหนึ่ง ที่จะเหมาะสม กับการไอทุกประเภท การเลือกใช้ยาแก้ไอให้เหมาะกับโรค จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ยาแก้ไอประเภทต่างๆ ได้แก่
  • กลุ่มยาละลายเสมหะ ช่วยให้เสมหะใสขึ้น และขับออกได้ง่ายขึ้น ยากลุ่มนี้เหมาะสำหรับการไอแบบมีเสมหะ นอกจากนี้ การดื่มน้ำมาก ๆ ก็ช่วยละลายเสมหะได้เช่นกัน
  • กลุ่มยาขับเสมหะ มักใช้ผสมอยู่ในยาแก้ไอชนิดอื่น ๆ ออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งสารน้ำในทางเดินหายใจ ทำให้ความหนืดของเสมหะลดลง และถูกขับออกไปได้ง่ายขึ้น แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง และอาเจียนได้
  • กลุ่มยาระงับ หรือกดอาการไอ ออกฤทธิ์โดยกดศูนย์ควบคุมการไอที่สมอง ทำให้หยุดไอหรือไอน้อยลง แต่ไม่ช่วยในการรักษาโรค ยาในกลุ่มนี้ บางตัวจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ผู้ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ ไม่ควรใช้ยาประเภทนี้ เพราะถึงแม้จะทำให้ไอน้อยลง แต่เสมหะที่คั่งค้างมากขึ้นในหลอดลม อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นโรคปอดอักเสบได้ ถ้ามีอาการไอแห้ง ๆ ที่รุนแรง หรือไอถี่มาก อาจใช้ยาระงับอาการไอ เพื่อลดอาการไอลงบางส่วน แต่ไม่ควรใช้ยา จนกระทั่งยับยั้งอาการไอทั้งหมด เพราะอาจจะกลายเป็นการปกปิดอาการที่แท้จริงไว้ และทำให้ความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นได้
  • กลุ่มยาขยายหลอดลม ทำให้กล้ามเนื้อหลอดลมคลายตัว ใช้ในกรณีที่การไอทำให้หายใจเข้าได้ลำบาก หรือการไอจากภาวะหลอดลมหดตัว จากการเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับผู้ป่วย ที่มีอาการไอจากหอบหืด แต่จะไม่มีประโยชน์ถ้าผู้ป่วยเป็นหวัด แล้วไอ เพราะน้ำมูกไหลลงคอ ยาขยายหลอดลมบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
  • กลุ่มยาแก้แพ้ ออกฤทธิ์โดยทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง ใช้รักษาอาการไอ ที่มีสาเหตุมาจากน้ำมูกไหลลงหลอดลม

ควรปรึกษาแพทย์เมื่อ
  • มีไข้ 38.9 องศาเซลเซียสขึ้นไป
  • เสมหะมีเลือดปน สีน้ำตาลหรือเขียว
  • มีอาการหอบหืด
  • หายใจลำบากเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง
  • ไอติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์

ทำไมคนเราถึงต้อง " หาว "?

มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายว่า " ทำไมคนเราจึงหาว? " แต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า การหาวเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกาย ที่สั่งการโดยสมอง อาจเนื่องมาจากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอในขณะนั้น จึงเกิดอาการหาวขึ้นเพื่อปรับตัว

" การหาว " เป็นการหายใจลึก ๆ เพื่อนำออกซิเจนเข้าไปในร่างกายให้มากขึ้น ร่างกายของเราจะต้องการออกซิเจนมากขึ้น เมื่อเรารู้สึกง่วง หรือเหนื่อย สมองของเราจะสั่งให้หาว เพื่อที่จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ที่มีออกซิเจนเข้าไปได้อย่างเต็มที่ การหาวยังเป็นการเพิ่มระดับการตื่นตัว โดยเฉพาะเวลาที่มีความเครียด หรือความกดดัน ซึ่งทำให้อธิบายได้ว่า เหตุใดนักกีฬาที่กำลังจะลงแข่งขัน หรือนักเรียนที่กำลังจะเข้าห้องสอบจึงหาว

หากไม่อยากหาวบ่อย ๆ ควรหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เคร่งเครียด หลีกเลี่ยงจากมลพิษ และอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก อาการหาวก็จะค่อย ๆ ลดลง

แต่หากทำแล้วยังไม่ได้ผล ยังหาวอยู่บ่อย ๆ ไม่ต่ำกว่า วันละ 30 ครั้ง แนะนำให้ไปพบแพทย์ตรวจร่างกาย เพราะการหาวบ่อย ๆ เป็นสัญญาณเตือนว่า " อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหรือระบบทางเดินหายใจ "


ทำไมเราจึงหาวตามกัน??

กิริยาอาการบางอย่างของคนเรา สามารถเกิดขึ้นตาม ๆ กันได้ เช่น เมื่อคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา คนอื่นก็อยากหัวเราะบ้าง อาการหาวก็เช่นกัน เมื่อคนหนึ่งอ้าปากหาว น่าแปลกที่คนอื่นมักจะหาวตาม

สัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ เช่น แมว สุนัข ก็หาวได้เช่นกัน โดยเป็นการหาวตามสัญชาตญาณ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาตอบสนอง ที่เกิดจากวิวัฒนาการที่ถ่ายทอดสืบกันมา แต่สำหรับ คน ชิมแปนซี และลิงกัง จะมีอาการหาวตามกัน เมื่อเห็น หรือคิดว่าคนอื่นหรือสัตว์ตัวอื่นหาว

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเคยสงสัยเช่นกันว่า ทำไมการหาวจึงเป็นอาการที่ติดต่อถึงกันได้ ซึ่งจากการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การหาวตามกัน อาจมาจากความต้องการในการแสดงอารมณ์ร่วมกับผู้อื่น

ดร. อาสึชิ เซนจุ จากวิทยาลัยเบิร์กเบ็ก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยลอนดอน และนักวิจัยจากญี่ปุ่น ร่วมกันศึกษาอาการหาวตามกัน ในกลุ่มเด็กธรรมดา และเด็กออทิสติก และพบว่าเด็กออทิสติกจะไม่หาวตามกัน

รายงานการศึกษาเรื่องนี้ ตีพิมพ์ลงในวารสาร Biology Letters ดร. เซนจุ กล่าวว่า นี่เป็นการศึกษาชิ้นแรก ที่แสดงให้เห็นว่า การหาวตามกันไม่เกิดกับเด็กออทิสติก หรืออีกนัยหนึ่งคือ ความผิดปกติของพัฒนาการทางสมอง อาจเป็นการสกัดกั้นอาการหาวตามคนอื่น ทั้งนี้ ออทิสซึ่มเป็นความผิดปกติของพัฒนาการทางสมอง ซึ่งทำให้เด็กไม่สามารถมีความผูกพันทางอารมณ์กับผู้อื่น

การศึกษาที่พบว่า เด็กออทิสติกหาวตามสัญชาตญาณ แต่ไม่หาวตามคนอื่น จึงบ่งชี้ได้ว่าการหาวตามกัน อาจมีสาเหตุมาจากความต้องการแสดงอารมณ์ร่วม


ความเชื่อเกี่ยวกับการหาว

ฝรั่งในสมัยโบราณเชื่อว่า การหาวทำให้วิญญาณออกจากร่าง ดังนั้น เวลาหาวจึงต้องเอามือปิดปากไว้ เพื่อไม่ให้วิญญาณหนีไป

ที่มาของความเชื่อนี้ ก็เนื่องมาจากในสมัยก่อนเด็กเกิดใหม่มักจะเสียชีวิต เพราะวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าเช่นปัจจุบัน เมื่อสังเกตเห็นเด็กหาวทันทีที่เกิด จึงเข้าใจว่าการหาวทำให้เสียชีวิต ซึ่งอันที่จริง สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ ที่ เด็กจะสูดเอาออกซิเจนเข้าปอด

ในสมัยนั้นจึงมีคำแนะนำ ให้แม่นั่งเฝ้าลูกน้อยเป็นพิเศษในช่วงเดือนแรก ๆ หลังคลอด เพื่อคอยปิดปากลูกเวลาหาว เพราะเด็กยังปิดปากตัวเองไม่ได้ ความเชื่อดังกล่าว จึงกลายมาเป็นมารยาทในการหาวจนถึงปัจจุบัน

มารยาทอีกอย่างหนึ่งของการหาว ที่อาจพบเห็นได้ ก็คือ การหันหน้าไปทางอื่น หรือแม้แต่การกล่าวคำขอโทษออกมาหลังจากหาว ที่มาของเรื่องนี้ก็คือ เมื่อคนสมัยโบราณสังเกตเห็นว่า เมื่อคนหนึ่งหาว คนที่อยู่ใกล้ ๆ ก็มักจะหาวตามกัน ดังนั้น หากการหาวเป็นอันตรายต่อผู้หาว อันตรายนี้ย่อมติดไปถึงผู้อื่นด้วย เวลาหาวจึงหันหน้าหนี เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น ส่วนการขอโทษ ก็เป็นเสมือนการแสดงความเป็นมิตรกับยมทูต ที่จะมาพรากวิญญาณไป นั่นเอง!!

Monday, October 12, 2009

นั่ง ยืน นอน... แบบห่างไกลอัมพาต

การนั่ง ยืน นอน ดูจะเป็นเเรื่องความเคยชิน แต่รู้กันหรือไม่ว่า มันเกี่ยวพันกับโครงสร้างร่างกายของเราอย่างจัง หากเกิดการปวดเมื่อยเรื้อรัง นั่นแหละมันบ่งชี้ว่า โครงสร้างร่างกายเริ่มมีความผิดปกติ และถ้าทิ้งไว้นาน ๆ อันตรายใหญ่หลวงจะมาเยือนโดยไม่รู้ตัว เพราะมันนำพาเราไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

การนั่ง ยืน นอน แบบไหนดีไม่ดีอย่างไร ??

ท่าแรก คือ " นั่งไขว่ห้าง " ท่านั่งยอดฮิตนี่แหละ ที่ส่งผลเสียในระยะยาวต่อโครงสร้างกระดูกสันหลัง การนั่งไขว่ห้างจะทำให้ตัวเราเอียงไปข้างหนึ่ง ทำให้กล้ามเนื้อไม่สมดุล ฝั่งหนึ่งหด แต่อีกฝั่งหนึ่งจะยืด กล้ามเนื้อที่หดจะค่อย ๆ สะสมความเกร็ง และถ้าเราเกร็งในท่านี้ตลอด จะดึงกระดูกให้คด ถ้าเป็นมาก ๆ บ่า 2 ข้างจะไม่เท่ากัน บางคนสะโพก 2 ข้างเป็นรูปตัวเอส บางคนเป็นรูปตัวซี

นั่งท่าไหนถึงจะถูกต้อง ?

มันเกี่ยวกับเก้าอี้ที่นั่งด้วย ถ้าเก้าอี้นุ่มหรือเอนมากเกินไป น้ำหนักจะไปลงที่หลังมากกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง กระดูกจะผิดรูปได้เหมือนกัน " การนั่งที่ถูกต้อง ต้องเลื่อนให้ก้นชิดพนัก จะช่วยไม่ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักเกินไป "

ต่อมา " การกอดอก " จะทำให้หัวไหล่และกระดูกสันหลังงุ้มไปด้านหน้า จะทำให้มีผลเสียในระยะยาว เพราะหน้าอกเป็นที่ตั้งของปอด หัวใจ เมื่อใดที่หลังเรางุ้มมาก ๆ ปอดจะไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ อากาศเข้าไปได้ไม่เต็มที่ ร่างกายจะได้รับออกซิเจนน้อย หัวใจต้องทำงานหนัก มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทางเดินเลือด เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง

ทีนี้มาถึง " ท่ายืน " โดยเฉพาะคุณผู้หญิง ที่ชอบสวม " ส้นสูง " มากกว่า 2 นิ้ว จะเหมือนกับการยืนเขย่งเท้าอยู่ตลอดเวลา จะทำให้หลังช่วงล่างแอ่น และจะทำให้โครงสร้างผิดเพี้ยน


ดังนั้นหากเมื่อเริ่มเมื่อยควรจะหาที่นั่งพัก นั่งให้เต็มก้น เหยียดขา แล้วกระดกข้อเท้าขึ้น น่องจะตึง จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ถ้าเลือกไม่ได้จริง ๆ ขณะที่ยืนก็ต้องพยายามแขม่วท้องนิด ๆ เจะลดการแอ่นของหลังได้ แต่ถ้าเมื่อยล้าตรงบั้นเอว เมื่อยน่อง เมื่อยขามาก ควรจะไปตรวจเช็กดูได้แล้ว

มาถึง " ท่านอน " ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ

ท่านอน ที่ถูกต้องที่สุด คือ การนอนหงายมีหมอนรองใต้เข่า จะทำให้ช่วยลดแรงกดที่หลังช่วงล่าง กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย หากนอนหงายแล้วนอนไม่หลับ หายใจไม่ออก หรือรู้สึกเกร็งรั้ง นั่นอาจแสดงว่าโครงสร้างร่างกายเริ่มไม่ดีแล้ว

ถ้าชอบ " นอนตะแคง " โดยเฉพาะตะแคงข้างเดียว ต้องบอกว่า " อันตราย " เพราะหัวไหล่จะถูกกดทับ เลือดไม่ไหลเวียน ทำให้ขัดหัวไหล่ ปวดต้นคอ อาจทำให้กระดูกเสื่อม หมอนรองกระดูกเคลื่อน เหรือกระดูกทับเส้นประสาท

ส่วนการเลือกหมอนหนุนก็สำคัญ หมอนควรจะรองรับศีรษะได้ดี ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป และควรจะรับกับแนวโค้งของคอ เวลานอนให้เลื่อนปลายหมอนอยู่ใต้หัวไหล่เล็กน้อย เพื่อให้หมอนประคองแนวสันหลังคอ ไม่ควรนอนโดยไม่ใช้หมอน เพราะการรับน้ำหนักของศีรษะจะกระจายออก โค้งของกระดูกคอจะถูกดันให้อยู่ในเส้นตรงมากเกินไป อาจไปกดข้อต่อต่าง ๆ ได้

หากเราอยู่ในอิริยาบถที่ผิด อาจจะส่งผลร้ายจนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ เพราะกระดูกสันหลังเป็นศูนย์รวมเส้นประสาท เป็นชิ้นส่วนของร่างกายที่สำคัญมาก ถ้าไม่อยากเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยไม่รู้ตัว ควรกลับมานั่ง ยืน นอน อย่างถูกวิธีกันได้แล้ว