Search This Blog

Wednesday, December 30, 2009

เชื้อราในช่องคลอด

คุณผู้หญิงหลาย ๆ คนอาจเคยมีอาการคันยุบยิบบริเวณจุดซ่อนเร้น บางคนอาจจะพบเจอกับอาการตกขาวผิดปกติด้วย นี่ถือเป็นสัญญาณของการเป็นเชื้อราในช่องคลอด

เหตุเกิดเพราะความไม่สมดุล

ในร่างกายเราจะมีทั้งเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียอยู่ ซึ่งโดยปกติเชื้อรา และแบคทีเรียจะสมดุลกัน ทำให้เชื้อราสงบไม่เจริญเติบโต เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่ไปทำให้ความสมดุลของเชื้อรากับเชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งแวดล้อมในช่องคลอดเปลี่ยนแปลงไป อะไรก็ตามที่ทำให้แบคทีเรียในช่องคลอดน้อยลง เชื้อราในช่องคลอดก็มักจะเจริญมากขึ้น

การดูแลตัวเองให้ห่างไกลเชื้อรา


เชื้อราในช่องคลอดไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับคุณผู้หญิง ที่นอกจากจะส่งผลถึงสุขภาพ และอนามัยแล้ว ยังส่งผลต่อบุคลิกภาพ ที่คงจะไม่ดีแน่ ๆ ถ้าหาก คุณเกิดอาการคันในร่มผ้าในที่สาธารณะ ฉะนั้น ป้องกันไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ดังนั้น จึงมีวิธีการดูแลตัวเอง เพื่อให้คุณปลอดจากอาการคันอันไม่พึงประสงค์ ให้หงุดหงิดใจมาให้

1. ขจัดความอับชื้น
เรื่องของชุดชั้นในที่คุณผู้หญิงใส่อยู่ ก็ถือเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่จะก่อให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด โดยเฉพาะกางเกงในที่ระบายอากาศไม่ค่อยดี มีความอับชื้น และชุ่มเหงื่อ ยิ่งในหน้าฝน ที่เสื้อผ้ามักจะแห้งไม่สนิท ก็อาจมีสปอร์เชื้อราอยู่ ดังนั้น ควรดูแลชุดชั้นในของคุณให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ และควรตรวจตราคอยเคลียร์ชั้นในตัวเก่า ที่ซุกอยู่ก้นตู้ เพราะอาจมีสปอร์ติด อยู่ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ การใส่ผ้าอนามัยระหว่างมีประจำเดือน ก็ควรต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ และหากไม่ได้อยู่ในช่วงรอบเดือน ก็ไม่ควรต้องใส่ผ้าอนามัย เพราะจะทำให้เกิดการอับชื้นมากกว่า
2. ความสะอาดแต่พอดี
สำหรับผู้ที่ชอบใช้น้ำยา เพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ถ้าใช้นาน ๆ ก็อาจทำให้ความเป็นกรดด่างในช่องคลอดเปลี่ยนแปลง และเป็นสาเหตุทำให้มีเชื้อราขึ้นได้ และบางคนอาจแพ้สารเคมีในน้ำยาอีกด้วย ซึ่งการทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นนั้น เพียงใช้สบู่ และน้ำธรรมดาก็เพียงพอแล้ว
3. ลดของหวาน
การกินของหวาน หมายถึง การที่คุณจะมีปริมาณน้ำตาลในเซลล์ต่าง ๆ เยอะขึ้น ซึ่งพบว่า เป็นอาหารโปรดของเชื้อรา ทำให้เจริญเติบโตได้ดี คนไข้ที่เป็นเชื้อราในช่องคลอดบ่อย ๆ คุณหมอก็จะให้หลีกเลี่ยงน้ำตาล และของหวาน
4. ระวังการกินยา
เพราะสำหรับคนที่กินยาแก้อักเสบ กินยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ หรือได้รับยาประเภทกดภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเลือด หรือการทำเคมีบำบัดนั้น จะส่งผลให้แบคทีเรียในช่องคลอดลดลง ทำให้ความสมดุลกรดด่างในช่องคลอดเปลี่ยนไป เชื้อราก็จะเจริญเติบโตขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยง ในการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ง่ายขึ้น
เป็นแล้วรักษาอย่างไร?

สำหรับการรักษาเชื้อราในช่องคลอดนั้น ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ให้ยารับประทาน และการรักษาในช่องคลอด ซึ่งเป็นสอดยาฆ่าเชื้อราเข้าไปในช่องคลอด มีทั้งในรูปของยาเม็ด และยาทา

การดูแลสุขภาพ และอนามัยของตนเอง ให้ตัวเราปลอดจากเจ้าเชื้อราตัวร้าย ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะหากเป็นเชื้อรานาน ๆ เข้า แม้จะไม่มีอันตรายร้ายแรง นอกจากจะมีอาการคันร่มผ้าที่ทำให้เสียบุคลิก ยังจะมีอาการคันใจเข้ามาด้วย

เรื่องควรรู้ของแม่ท้อง กับเชื้อรา
  • การเกิดเชื้อราในช่องคลอด ที่พบมากที่สุดเลย คือ เมื่อตั้งครรภ์ เพราะเมื่อแม่ท้องจะมีฮอร์โมนออกมามาก ซึ่งไปกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดด่างในช่องคลอด ทำให้เชื้อรามีอาหารที่จะเจริญเติบโตมากขึ้น ทำให้มีระดูขาวมากขึ้น และอาจมีการอักเสบของปากช่องคลอด
  • เชื้อราในช่องคลอดนั้น จะไม่ผ่านไปสู่ลูก แต่หากแม่ท้องเป็นเชื้อราในช่องคลอดแล้ว ไม่ได้รักษาให้หาย และเป็นเชื้อราในช่องคลอด ขณะที่คลอดลูกผ่านทางช่องคลอด จะทำให้เด็กอาจมีเชื้อราในลิ้น ในปาก และก้นได้
  • การรักษาอาการนี้สำหรับแม่ท้อง แพทย์มักจะให้ยาทาหรือยาสอด แต่ไม่ให้ยา เพราะกลัวจะมีผลถึงเด็กในครรภ์
  • เมื่อคุณแม่ท้อง มีอาการคันที่อวัยวะเพศ หรือมีระดูขาวมาผิดปกติ ก็ควรบอกคุณหมอ เพื่อจะได้ทำการตรวจ และรักษาต่อไป ซึ่งอาการนี้อาจจะไม่ได้เกิดในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่ก็ต้องคอยสังเกตตัวเองอยู่เป็นระยะ
สังเกตอาการ

อาการของผู้ที่มีปัญหาเชื้อราในช่องคลอด จะมีอาการคันบริเวณแถว ๆ ปากช่องคลอด หรืออาจจะมีระดูขาวที่มากผิดปกติ มีลักษณะคล้ายแหวะนมเด็ก เป็นเม็ดขาว ๆ ถ้าเป็นมาก ๆ ก็จะคันบริเวณปากช่องคลอด หากเกามาก ๆ ก็จะเกิดการอักเสบต่อไปได้ ซึ่งเมื่อมีอาการเช่นนี้ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการรักษาต่อไป

แต่หากคุณเป็นซ้ำเกินปีละ 4 ครั้ง ถือว่าเป็นอาการเรื้อรัง อาจต้องรักษายาวด้วยการให้ยาถึง 6 อาทิตย์ ซึ่งอาการเรื้อรังเช่นนี้ อาจเป็นอาการแอบแฝงของโรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ได้อีกด้วย

Tuesday, December 29, 2009

สบู่ในห้องน้ำสาธารณะ

ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ต่างเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่า จะระบาดอีกเป็นระลอกสอง โดยทางกระทรวงสาธารณสุขก็มีโครงการรณรงค์ ให้คนไทยรู้จักป้องกันโรคดังกล่าว ด้วยสโลแกนที่จดจำง่ายอย่าง “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย”

อย่างไรก็ตาม ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่รีบเร่ง จนบางครั้งอาจไม่ยั้งคิดว่า เรื่องใกล้ตัวอย่างการล้างมือด้วยสบู่ในห้องสาธารณะ ทั้งในร้านอาหาร ฟิตเนส อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้า เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยอาริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สบู่ชนิดกล่องเปิดฝาแบบเติม มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึง 25%

งานวิจัยครั้งนี้ มุ่งวิเคราะห์หาเชื้อปนเปื้อน ที่แฝงอยู่ในสบู่ ที่ตาคนเรามองไม่เห็น โดยได้มีการเก็บตัวอย่างสบู่ จำนวน 541 ตัวอย่าง ทั้งที่เป็นสบู่เหลวแบบเติม และสบู่เหลวแบบบรรจุภัณฑ์ปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) พบว่า
สบู่แบบเติม 133 ตัวอย่าง หรือ 25% มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน และ 65% ของเชื้อที่พบ คือ เชื้อโคลิฟอร์ม ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ พบมากในสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลือดอุ่น ที่มีโอกาสส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขอนามัยของผู้ใช้ ทั้งในระบบทางเดินหายใจ กระแสโลหิต ระบบปัสสาวะ และการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง ซึ่งสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้ เกิดขึ้นขณะที่มีการเปิดฝากล่องเพื่อเติมสบู่นั่นเอง

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจในการศึกษาในครั้งนี้ ก็คือ สบู่เหลวที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) กลับไม่พบเชื้อแบคทีเรียเลย

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เราจึงควรหันมาใส่ใจในการล้างมือในที่สาธารณะให้มากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้น การล้างมือเพื่อรักษาความสะอาด สร้างเสริมสุขอนามัยที่ดี จะกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมเชื้อโรคไปแบบไม่รู้ตัว

นอกจากการล้างมือด้วยสบู่เหลวแล้ว จากการวิจัยของ American Journal of Preventive Medicine 2001 พบว่า
การล้างมือ และเช็ดมืออย่างถูกวิธี อย่างน้อย 5 ครั้งต่อวัน ก็สามารถลดโอกาสติดเชื้อหวัดได้ถึง 45% การใช้กระดาษเช็ดมือทุกครั้ง หลังการล้างมือ ยังสามารถช่วยให้แบคทีเรียลดลงถึง 58%

ในขณะที่ การใช้เครื่องเป่าลมร้อน พบว่า แบคทีเรียในมือเพิ่มขึ้น 255% อีกด้วย


Monday, December 21, 2009

รู้ลึก รู้จริง... อินซูลิน

มาทำความรู้จักกับ "อินซูลิน"
"อินซูลิน" เป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น และมีหน้าที่ที่สำคัญ คือ นำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อสร้างเป็นพลังงาน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากขาดฮอร์โมน "อินซูลิน" ซึ่งมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ กระหายน้ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น โรคติดเชื้อ เป็นแผลหายยาก โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคไต และตา เป็นต้น


เมื่อไรถึงต้องใช้อินซูลิน?
  • ผู้ป่วยเบาหวาน ที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
  • ผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อนทางตับ ไต และรักษาโดยยาชนิดรับประทานไม่ได้ผล

ชนิดของอินซูลิน

แหล่งที่มาของอินซูลิน มี 2 แหล่ง คือ (1) ได้มาจากการสกัดจากตับอ่อนของหมู และวัว (2) ส่วนอีกแหล่งได้มาจากการสังเคราะห์ โดยวิธีพันธุวิศวกรรม ทำให้ได้อินซูลิน ที่เหมือนกับอินซูลินของมนุษย์ ซึ่งมีโอกาสเกิดการแพ้น้อยกว่าแบบแรก และนิยมใช้กันในปัจจุบัน

ตัวอย่างยาฉีดอินซูลิน


อินซูลิน แบ่งออกเป็นหลายชนิด ตามระยะเวลาที่ออกฤทธิ์
  1. ชนิดออกฤทธิ์เร็วมาก ลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 10-15 นาที ออกฤทธิ์สูงสุดที่ 1-3 ชม. และมีฤทธิ์นานประมาณ 3-5 ชม. ใช้ฉีดเมื่อต้องการลดระดับน้ำตาลในเลือด หลังรับประทานอาหารมื้อนั้น ๆ
  2. ชนิดออกฤทธิ์เร็ว และสั้น ลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 30-60 นาที ออกฤทธิ์สูงสุดที่ 2-4 ชม. และมีฤทธิ์นานประมาณ 5-7 ชม. ส่วนใหญ่ใช้ฉีดก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลหลังอาหาร หรือเพื่อลดน้ำตาลในเลือดให้ลงอย่างรวดเร็ว กรณีที่มีน้ำตาลในเลือดสูงมาก
  3. ชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง ลักษณะเป็นสารละลายขุ่น ต้องเขย่าขวดเบา ๆให้เป็นเนื้อเดียวกันก่อนใช้ทุกครั้ง ออกฤทธิ์ในเวลา 2-4 ชม. ออกฤทธิ์สูงสุดที่ 6-12 ชม. และมีฤทธิ์นานประมาณ 18-24 ชม. ใช้เป็นอินซูลินหลักในการรักษาโรคเบาหวาน
  4. ชนิดออกฤทธิ์ยาว ลักษณะใส ไม่มีสี ออกฤทธิ์ในเวลา 2 ชม. ไม่มีฤทธิ์สูงสุด และมีฤทธิ์นาน 24 ชม. ใช้สำหรับฉีด เพื่อให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้นในปริมาณหนึ่งตลอดทั้งวัน และป้องกันไม่ให้เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำได้
  5. นอกจากนี้ยังมี อินซูลินชนิดผสม ซึ่งนำเอาอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว มาผสมกับชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง ในอัตราส่วนต่าง ๆ สะดวกสำหรับผู้ป่วย ที่ต้องใช้อินซูลินทั้งสองแบบ ลักษณะเป็นสารละลายขุ่น ต้องเขย่าเบา ๆ ก่อนใช้ทุกครั้ง

ทำไมต้องใช้อินซูลินโดยวิธีฉีด?
หากผู้ป่วยได้รับอินซูลินโดยการรับประทาน ตัวยาจะถูกทำลายโดยน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหาร จึงต้องใช้วิธีฉีดเข้าร่างกายโดยตรง
วิธีฉีด
ปกติจะฉีดใต้ผิวหนัง แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์อย่างเคร่งครัด


การเตรียมยา ในกรณีที่ใช้อินซูลินแบบขวด

ตรวจดูลักษณะยา ถ้าเป็นชนิดน้ำใส ต้องไม่หนืด ไม่มีสี ถ้าเป็นชนิดน้ำขุ่นแขวนตะกอน ให้คลึงขวดยาบนฝ่ามือทั้งสองข้างเบา ๆ เพื่อให้ยาผสมกันทั่วทั้งขวด ห้ามเขย่าขวดอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดฟอง และทำให้ได้ปริมาณยาไม่ครบตามจำนวน ถ้าผู้ป่วยใช้อินซูลิน น้ำขุ่น และน้ำใสในเวลาเดียวกัน ให้ดูดยาชนิดน้ำใสก่อนเสมอ เพราะหากดูดน้ำขุ่นก่อนน้ำใส ยาที่เป็นน้ำขุ่นอาจเข้าไปผสม ทำให้อินซูลินน้ำใส มีลักษณะเปลี่ยนไป เมื่อดูดยาสองชนิดผสมในเข็มเดียวกัน ควรฉีดทันทีหรือภายใน 15 นาที เพราะหากทิ้งไว้นาน จะทำให้การออกฤทธิ์ของยาเปลี่ยนไป

ฉีดอินซูลินบริเวณไหนได้บ้าง?


ฉีดได้ทั้งบริเวณ หน้าท้อง หน้าขาทั้ง 2 ข้าง สะโพก ต้นแขนทั้ง 2 ข้าง และต้องใช้แอลกอฮอล์ เช็ดทำความสะอาดบริเวณฉีด ที่สำคัญ ห้ามฉีดซ้ำที่เดิมมากกว่า 1 ครั้ง ใน 1 - 2 เดือน เนื่องจาก อาจทำให้บริเวณที่ฉีด เกิดเป็นก้อนไตแข็ง เมื่อดึงเข็มออก ให้ใช้สำลีกดเบา ๆ ห้ามนวดตรงที่ฉีด เพราะทำให้ยาดูดซึมเร็วเกินไป จนอาจเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำได้ และในการฉีดครั้งต่อไป ควรฉีดห่างจากจุดเดิม 1 นิ้ว นอกจากการใช้หลอดฉีดยาธรรมดา ยังมีการฉีดอินซูลินอีก 2 แบบ คือ
  1. ปากกาฉีดอินซูลิน ลักษณะคล้ายกับปากกาหมึกซึมขนาดใหญ่ โดยมีอินซูลินบรรจุในหลอดแก้วขนาดเล็กใส่เข้ากับตัวปากกาพอดี ซึ่งปัจจุบันนี้นิยมใช้กันมาก เนื่องจากสะดวกในการพกพา และการใช้สอย ทำได้โดยการหมุนเกลียวไปตามตัวเลขที่ต้องการ ก็จะได้ปริมาณอินซูลินตามนั้น ไม่ต้องใช้วิธีดูดยาออกจากขวด แต่มีราคาค่อนข้างสูง
  2. อินซูลินปัมพ์ เป็นเครื่องมือที่จะติดอยู่กับตัวผู้ป่วยตลอดเวลา โดยมีเข็มแทงเข้าใต้ผิวหนัง ซึ่งต่อกับตัวเครื่อง ซึ่งควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ โดยจะตั้งโปรแกรมให้ฉีดอินซูลินขนาดต่ำ ๆ เข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา และฉีดอินซูลินปริมาณเพิ่มขึ้นก่อนอาหาร เป็นการเลียนแบบคนปกติ

อาการข้างเคียงและข้อควรปฏิบัติ
  1. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นผลจากการให้อินซูลินมากเกินไป รับประทานอาหารน้อยเกินไป ผิดเวลา หรือช่วงระหว่างมื้อนานเกินไป ออกกำลังกาย หรือทำงานมากกว่าปกติ อาการที่เกิด มีได้หลายอย่าง เช่น ปวดหัว เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย ชาในปาก หรือริมฝีปาก เดินเซ หงุดหงิด มองภาพไม่ชัด ถ้ามีอาการเหล่านี้ให้ดื่มน้ำผลไม้ หรือรับประทานของที่มีน้ำตาลผสม (ห้ามใช้น้ำตาลเทียม) และพบแพทย์ทันที
  2. ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เป็นผลจากการได้รับอินซูลินไม่เพียงพอ หรือรับประทานมากเกินไป จะปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ หิว ปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ มึนงง ถ้าเป็นลม ให้นำส่งโรงพยาบาลทันที

ข้อควรระวังในการใช้

ก่อนใช้อินซูลินควรแจ้งแพทย์ หากเคยมีประวัติแพ้อินซูลิน กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร รวมทั้งผู้เป็นโรคต่อมไทรอยด์ โรคตับ โรคไต และโรคติดเชื้อ รวมทั้งผู้ที่กำลังใช้ยาอื่นอยู่ ต้องแจ้งแพทย์ และเภสัชกรให้ทราบทุกครั้ง

ผู้ป่วยควรฉีดยาให้ตรงตามขนาด และเวลาที่แพทย์สั่ง ไม่ควรปรับขนาดยาเอง หรือเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า หากลืมฉีดยา หากมีปัญหาในการใช้ยาให้กลับมาปรึกษาแพทย์ และควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อติดตามผลการรักษา และทุกครั้งที่มาตรวจ ควรดูว่าอินซูลินที่ใช้เป็นแบบเดิมหรือไม่ มีการเปลี่ยนเวลา หรือขนาดในการฉีดหรือไม่ เพราะบางครั้งแพทย์อาจมีการปรับเปลี่ยนตัวยา ขนาดยา หรือเวลาในการฉีด หากไม่แน่ใจควรสอบถามกับแพทย์อีกครั้ง

เคล็ดลับเก็บรักษา

อินซูลินที่ยังไม่ได้เปิดใช้ หากเก็บที่อุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส เก็บได้นานเท่ากับอายุยาข้างขวด แต่สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง (ประมาณ 25 องศาเซลเซียส) ได้นานประมาณ 30 วัน อินซูลินที่เก็บในอุณหภูมิสูง เช่น กลางแดดจัด หรือที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ เช่น ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ไม่ควรใช้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยาเสื่อมคุณภาพ และไม่แนะนำเก็บที่ฝาตู้เย็น เนื่องจาก อาจทำให้อุณหภูมิไม่ค่อยคงที่ จากการปิด-เปิดตู้เย็น

อินซูลินที่เปิดใช้แล้ว และเก็บอยู่ในปากกาฉีดอินซูลิน สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นานประมาณ 30 วัน

อินซูลินแบบขวดที่เปิดใช้แล้ว และเก็บในตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) จะเก็บได้นานประมาณ 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เปิดขวด ถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นานประมาณ 30 วัน

ห่างไกลเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากรับอินซูลินตามแพทย์สั่งแล้ว ยังต้องระวังการติดเชื้อได้ง่าย ด้วยการรักษาอนามัยส่วนตัวให้สะอาด โดยเฉพาะฟัน และเท้า รวมทั้งบาดแผล รอยข่วน หรือแผลเปื่อย ยิ่งต้องระมัดระวังความสะอาดเป็นพิเศษ รวมทั้งหมั่นออกกำลังกาย ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด อย่าลืมทำจิตใจให้สบาย และสุดท้ายควรมีบัตรประจำตัว ระบุชื่อนามสกุล ชื่อแพทย์ประจำตัว เบอร์โทรศัพท์ ชื่อชนิด และขนาดของอินซูลินที่ใช้พกติดตัวเสมอ เผื่อยามฉุกเฉิน คนรอบข้างจะได้ช่วยเหลือทัน

น้ำตาเทียม

โดยปกติน้ำตาตามธรรมชาติของคนเรา สามารถให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาเพียงพออยู่แล้ว แต่ในบางกรณี ที่ทำให้ความชุ่มชื้นของดวงตาน้อยกว่าปกติ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียม เพื่อช่วยหล่อลื่น และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตา

คุณประโยชน์ของน้ำตาเทียม


"น้ำตาเทียม" จะมีประโยชน์ สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติ ในการสร้างน้ำตาตามธรรมชาติ ทำให้มีน้ำตาน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยบางรายที่ปิดตาได้ไม่สนิท ผู้ที่มีความผิดปกติของเยื่อบุตา หรือกระจกตา ผู้ที่มีอาการตาแห้ง อาจเนื่องมาจากความเครียด ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุ 50% ของผู้ป่วยที่มีตาแห้ง ในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้น้ำตาระเหยง่าย เช่น แสงแดดจัด ร้อนจัด ลมแรง ความชื้นต่ำ เช่น ในห้องปรับอากาศ หรือมีสิ่งระคายเคืองต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละออง เขม่าควัน การใช้คอนแท็กเลนส์ รวมทั้งการใช้สายตาเป็นเวลานาน ๆ เช่น อ่านหนังสือ หรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์

น้ำตาเทียมจะช่วยหล่อลื่นดวงตา และเพิ่มความชุ่มชื้นแก่กระจกตา และเยื่อบุตาขาว เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง ซึ่งจะมีอาการแสบตา เคืองตา รู้สึกว่าตาแห้งฝืด บางครั้งมีขี้ตาเป็นเส้น ๆ เมือก ๆ ทำให้ลืมตายาก อาการมักเป็นมากในช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ หากมีอาการเรื้อรัง ขี้ตาเป็นเมือก ติดแน่นที่กระจกตา ทำให้ผิวตาดำไม่เรียบ ติดเชื้อง่าย จะทำให้เกิดแผล หากไม่ได้รับการรักษาที่ดี จะทำให้แผลอักเสบถึงขั้นตาบอดได้

ลักษณะของน้ำตาเทียม

น้ำตาเทียมเป็นสารสังเคราะห์ ที่ผลิตขึ้นโดยให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด มีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้
  • ส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความหนืด เพื่อให้ฉาบอยู่บนกระจกตาได้นานขึ้น แต่หากเป็นน้ำตาเทียม ที่มีความหนืดมาก ระยะเวลาที่น้ำตาเทียมฉาบอยู่บนกระจกตานาน ๆ อาจทำให้มีอาการตามัว มองไม่ชัดหลังหยอดตาในระยะแรก
  • สารกันเสีย ช่วยให้น้ำตาเทียม คงสภาพอยู่ได้นาน และป้องกันการเติบโตของเชื้อโรค ที่อาจปนเปื้อนเข้าไป ขณะหยอดตา ทำให้สามารถเก็บได้นาน ประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด
  • ส่วนผสมที่ช่วยปรับสมดุลขององค์ประกอบอื่น ๆ ในน้ำตาเทียม ปรับความเป็นกรดด่างให้พอเหมาะ ไม่แสบตาเวลาหยอด และช่วยคงสภาพของน้ำตาเทียม
  • ส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อให้น้ำตาเทียม มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด เช่น ไกลซีน แมกนีเซียมคลอไรด์ โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียมคลอไรด์ โซเดียมบอเรต และซิงค์

ปรเภทของน้ำตาเทียม
มีอยู่ 2 ประเภท คือ
  • น้ำตาเทียมที่ใส่สารกันเสีย จะบรรจุในขวดใหญ่ ประมาณ 3 - 15 ซีซี สามารถใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด มีข้อเสีย คือ สารกันเสีย อาจทำให้เกิดการแพ้ระคายเคืองต่อเยื่อบุตา หรือเกิดการปนเปื้อนในกรณีที่เก็บไว้นาน ๆ
  • น้ำตาเทียมที่ไม่ใส่สารกันเสีย จะบรรจุในหลอดเล็ก ๆ หลอดละ 0.3 - 0.9 ซีซี มีตั้งแต่ 20 - 60 หลอดต่อ 1 กล่อง แต่ละหลอด เมื่อเปิดใช้แล้ว ต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง ข้อดี คือ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพ้เลย แต่จะมีราคาสูงกว่า

ปัจจุบันมีการพัฒนาน้ำตาเทียมโดยใช้สารกันเสีย ที่สามารถสลายตัวได้เอง เมื่อถูกแสงแดด กลายเป็นเกลือ ที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อเยื่อบุตา

การเก็บรักษา

ควรเก็บน้ำตาเทียมไว้ที่อุณหภูมิ 2 - 25 องศาเซลเซียส แต่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน หากเก็บไว้นอกห้อง ที่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำตาเทียม และไม่ควรใช้หลังจากหมดอายุที่ระบุไว้บนกล่อง

การเลือกใช้น้ำตาเทียม

การเลือกใช้น้ำตาเทียมนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เป็น ผู้ที่มีอาการตาแห้งธรรมดาโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ สัมผัสกับแสงแดด ลมแรง หรือใช้สายตานาน ๆ ก็สามารถเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดขวดใหญ่ ที่มีสารกันเสียก่อนได้ หรือในบางราย เพียงแค่ปรับสภาพแวดล้อม หรือปรับพฤติกรรมตัวเองให้ดี อาการตาแห้งที่เป็นอยู่ ก็อาจดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียม

แต่หากมีอาการตาแห้งรุนแรง ต้องหยอดน้ำตาเทียมมากกว่า 4 ครั้งต่อวัน เป็นเวลานาน ๆ หรือผู้ที่มีโรคของผิวกระจกตา เซลล์ของผิวกระจกตาไม่สมบูรณ์ หรือมีประวัติแพ้สารกันเสีย ก็ควรใช้น้ำตาเทียมหลอดเล็ก ๆ ชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย

เราสามารถใช้น้ำตาเทียมได้บ่อยครั้ง โดยไม่มีผลแทรกซ้อน ยกเว้นกรณีแพ้สารกันเสีย แต่การใช้น้ำตาเทียม ก็ควรพิจารณาถึงความจำเป็นว่า มีปัญหาของน้ำตามากน้อยเพียงใด จะได้ไม่สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น และหากมีอาการตาแห้ง ควรไปตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างละเอียด ไม่ควรซื้อน้ำตาเทียมมาใช้เอง เป็นเวลานาน ๆ โดยไม่หาสาเหตุที่แท้จริง

Sunday, December 20, 2009

ใบหน้ากระตุก

ใบหน้า ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญส่วนหนึ่งของร่างกาย เป็นปราการด่านแรกในการเสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดูดี ดังนั้นทุกคนจึงพยายามดูแลรักษาใบหน้าของตนเอง ให้สดใสสวยงาม แต่หากใครบางคนมีใบหน้าอยู่ในสภาวะ “กระตุก” คงทำให้เกิดความรู้สึกขาดความมั่นใจไปเลย

อาการใบหน้ากระตุก ส่วนใหญ่มักเป็นข้างเดียว และส่วนที่กระตุก จะอยู่นอกเหนือการควบคุม บางครั้งก็เห็นได้ชัด บางครั้งมองไม่เห็น เพียงแค่เจ้าตัวรู้สึกเท่านั้น มีทั้งแบบที่เป็นชั่วคราวแล้วหายเอง และแบบที่เป็นถาวร พบได้ทั้งหญิงและชาย แต่จะพบในผู้หญิงมากกว่า โดยเฉลี่ยอายุประมาณ 40-70 ปี

ลักษณะของใบหน้ากระตุก คือ การที่กล้ามเนื้อ ที่ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง เกิดอาการกระตุกนอกเหนือการควบคุม โดยอาการแรกเริ่ม จะเริ่มจากการกระตุกของใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งเพียงเล็กน้อย ก่อนเริ่มจากที่เปลือกตาด้านล่างก่อน แล้วกระจายมาที่เปลือกตาด้านบน จากนั้นจะลามมาที่แก้ม และมุมปาก ในบางครั้งเป็นมากขึ้น อาจจะลามไปถึงคอได้ หรือในบางรายอาจจะไม่ได้เรียงลำดับการเกิดอย่างที่กล่าวมาก็ได้


ใบหน้ากระตุก เป็นโรคที่ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดแดงในสมอง บริเวณแถบก้านสมอง เกิดการคดงอ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น จึงทำให้หลอดเลือดมีการแข็งตัว หลอดเลือดที่คดงอนี้ จะไปสัมผัสกับเส้นประสาทที่มาควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบ หน้า ซึ่งเป็นเส้นประสาทสมอง คู่ที่ 7 ที่อยู่ติดกับก้านสมอง

เมื่อเส้นเลือดเต้นตามจังหวะหัวใจ หลอดเลือดจะกระแทกเส้นประสาทนี้ ทำให้เส้นประสาทส่งกระแสประสาทนอกเหนือการสั่งของสมอง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ในด้านนั้นเกิดอาการเขม่น กระตุกอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้

โรคนี้ไม่ได้ทำได้เกิดการเป็นอัมพาต และอัมพฤกษ์ รวมทั้งไม่ได้เป็นโรคอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่อาจจะทำให้ผู้ที่เป็นเกิดความรำคาญ เสียบุคลิก รบกวนการทำงานในชีวิตประจำวัน เมื่อมาตรวจ แพทย์จะซักประวัติ เพื่อแยกโรคใบหน้ากระตุกออกจากกลุ่มที่เป็นโรคนอกเหนือจาก หลอดเลือดที่ไปสัมผัส หรือกระตุ้นเส้นประสาทคู่ที่ 7 เช่น โรคเนื้องอกในสมอง โรคเนื้องอกบริเวณก้านสมอง โรคเปลือกตากระตุก หรือกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น เพราะสาเหตุ และปัจจัยในการเกิดโรคแตกต่างกัน โดยเริ่มจากการให้ยาไปทาน ถ้าทานยาแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ แพทย์จะทำการเอกซเรย์ เอ็ม อาร์ ไอ สมองเพื่อแยกโรค

สำหรับโรคที่คล้าย ๆ กัน ได้แก่ เปลือกตาเขม่น ซึ่งมีปัจจัยภายนอกกระตุ้นได้หลายปัจจัย เช่น ร่างกายอ่อนล้า เครียด มีภาวะการอดนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมทั้ง การใช้สายตามากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนมากไป จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการได้ โดยโรคสามารถหายเองได้ เมื่อตัดปัจจัยกระตุ้น

การรักษาโรคใบหน้ากระตุก สามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกัน
  • เริ่มจากการรักษาด้วยยา โดยใช้ยาชนิดเดียว หรือหลายชนิดร่วมกัน ซึ่งยาที่รักษาได้ผลดีจะเป็น กลุ่มยากันชัก รวมทั้งยากดการทำงานของเส้นประสาท เพื่อลดการส่งกระแสที่ผิดปกติ ซึ่งอาจจะมีฤทธิ์ข้างเคียงที่พบบ่อย คือ ทำให้ง่วงนอนได้ ผู้ป่วยจะต้องทานยาไปเรื่อย ๆ เพื่อลดอาการจนกระทั่งดีขึ้น มีอาการใบหน้ากระตุกน้อยลง สำหรับปริมาณยาที่แพทย์จะให้กับผู้ป่วยนั้น จะเริ่มให้จากปริมาณน้อยก่อน จากนั้นจะเพิ่มยาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงในระดับที่สามารถควบคุมโรคได้ หรือ บางรายอาจจะต้องเพิ่มยามากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป
  • การรักษาอีกวิธีหนึ่ง คือ การฉีดยาเฉพาะที่ เพื่อระงับการแพร่กระจายของกระแสประสาท ที่ไปสู่กล้ามเนื้อ เป็นการยับยั้งกล้ามเนื้อกระตุกชั่วคราว ซึ่งเป็นยาชนิดเดียวกันกับยาที่ฉีดให้หน้าตึง การฉีดยาลบรอยย่น หรือลดการเกร็งแขน ขา โดยระยะเวลาในการฉีด จะห่างกันประมาณ 3-6 เดือน ซึ่งการฉีดในแต่ละครั้ง จะต้องฉีดหลายจุด ตามตำแหน่งที่มีการกระตุก การรักษาด้วยการฉีดยา มีข้อจำกัดอยู่ที่ หากมีการฉีดยามากเกินไป ก็อาจทำให้หน้าเบี้ยว หนังตาตกได้ รวมทั้งมีค่าใช้จ่าย ในการรักษาที่ค่อนข้างสูง
  • สุดท้ายของการรักษาโรคใบหน้ากระตุก คือ การผ่าตัดสมอง เป็นการรักษา เพื่อเขี่ยหลอดเลือดที่สัมผัสกับเส้นประสาทออก โดยจะทำการผ่าตัดที่บริเวณหลังใบหู การรักษาด้วยวิธีนี้ เป็นการแก้ไขที่ตรงจุด และถาวร แต่ผู้ป่วยที่เป็นมักรู้สึกไม่ดีกับการผ่าตัด และอาจมีความเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดสมองทั่ว ๆ ไป เช่น มีเลือดออกหลังผ่าตัด แผลติดเชื้อ การได้ยินลดลง เพราะทำการผ่าตัดที่บริเวณใกล้เส้นประสาทหู โดยรวมอาการแทรกซ้อนพบได้ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม อัตราการหายขาดเป็นที่น่าพอใจมาก อยู่ที่ประมาณ 70-90 เปอร์เซ็นต์
การดูแลตัวเองสามารถทำได้ โดยหากพบว่าตนเองมีอาการในลักษณะ เช่นนี้ควรรีบพบแพทย์ ประการแรก คือ มี การเขม่นของใบหน้า หรือตา เป็นเวลาติดต่อกันมากกว่า 1-3 สัปดาห์ ประการต่อมา ใบหน้า ตา กระตุกหรือเขม่น ร่วมกับอาการผิดปกติทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น หนังตาบน หนังตาล่าง แก้ม ใบหน้าชา หรือแสบ ใบหน้าเบี้ยว หนังตาตก ใบหน้าเคลื่อนไหวผิดปกติ บิดเบี้ยว รวมทั้งมีการกระตุกของส่วนอื่นในร่างกายร่วมด้วย ตลอดจนอาการที่มีลักษณะเปลือกตาปิดสนิท เมื่อมีอาการตาเขม่น รวมทั้ง ใบหน้า หรือตากระตุก หรือเขม่น ร่วมกับตาบวมแดง


ถ้ามีอาการใบหน้ากระตุกอย่าตกใจ ต้องทำการแยกโรคก่อนเป็นลำดับแรก ว่าเราจัดอยู่ในกลุ่มโรคใด เพื่อจะได้รักษาอย่างถูกต้อง แม้จะเป็นโรคที่ต้องใช้เวลาในการรักษา อาจก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ป่วยได้ แม้ไม่ใช่โรคที่อันตรายร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะการแพทย์ในปัจจุบันสามารถรักษาได้ โดยที่ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้หลังจากการรักษา.


ที่มา
พันเอก นายแพทย์ สิรรุจน์ สกุลณะมรรคา
ประสาทศัลยแพทย์ รพ.พระมงกุฎเกล้าฯ

เทคนิคช่วยบรรเทาอาการ 'เมารถ'



เทศกาลปีใหม่นี้เชื่อว่า หลาย ๆ คนคงมีเป้าหมายคล้ายกัน นั่นคือ การเดินทางท่องเที่ยว หรือกลับภูมิลำเนา โดยจุดหมายปลายทางนั้น บางคนอาจอยู่ใกล้ หรือบางคนอยู่แสนไกล ต้องอาศัยยวดยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นรถ เรือ เครื่องบิน จนบางครั้งทำให้เกิดอาการเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า วิงเวียนศีรษะ วันนี้มีเคล็ดลับ เทคนิคการป้องกัน และแก้ไขอาการวิงเวียน เมารถ เมาเรือ มาแนะนำกัน

อาการเมารถเกิดจาก ขณะเคลื่อนไหวสมองเกิดความสับสน ประสาทหลอน (Hallucination) เนื่องจาก ข้อมูลที่รายงานเข้ามาจากหู และตาไม่สอดคล้องกับข้อมูลจากอวัยวะคุมการทรงตัวของร่างกาย (Balancing organ) ที่อยู่ในหูชั้นใน ถ้าหยุดการเคลื่อนไหว อาการเมาก็จะค่อย ๆ หายไป

เทคนิคในการช่วยบรรเทาอาการเมายานพาหนะ คือ เริ่มจากการป้องกันก่อนเดินทาง อย่ารับประทานอาหารให้อิ่มจนเต็มท้อง เพราะถ้ามีของเต็มกระเพาะ จะมีแนวโน้มที่จะอาเจียนออกมาง่าย ๆ โดยเฉพาะของมัน หรือเลี่ยน เพราะย่อยยาก ค้างอยู่ในกระเพาะนาน จะทำให้อาเจียนได้ และควรขับถ่ายให้เรียบร้อย เพราะการอั้นอุจจาระขณะเดินทาง จะทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติ

การนั่งรถ ควรเลือกนั่งรถแถวหน้า ๆ หันหน้าไปทางหน้ารถ เพราะ การนั่งหน้ารถ และมองไปข้างหน้าจะทำให้ตา และหูของเรารับรู้การเคลื่อนไหวของรถไปพร้อม ๆ กับอวัยวะควบคุมการทรงตัวที่หูชั้นใน จึงมีโอกาสเมาน้อยกว่า และอย่าอ่านหนังสือ หรือตั้งใจมองอะไรที่เป็นของเล็ก ๆ เขย่า ๆ หรือเคลื่อนไหวบนรถ เพราะ การเคลื่อนไหวของตัวเรากับวัสดุในรถ จะไม่ไปด้วยกัน ทำให้สมองสับสนถึงตำแหน่งที่แท้จริงของตัวเอง

นอกจากนี้ การมองไปไกล ๆ จับเส้นขอบฟ้าไว้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สมองมั่นใจว่าอะไรอยู่บน อะไรอยู่ล่าง อะไรอยู่ซ้าย อะไรอยู่ขวา ขณะที่รถ หรือยานพาหนะเคลื่อนไหววนไปมา ต้องมองหาอะไรที่ไกล ๆ และนิ่ง ๆ และรู้ตัวว่าเรากำลังเคลื่อนไหวไป ขณะที่จุดนั้นนิ่งเพื่อให้สมองทราบสถานะ และตำแหน่งของตัวเองถูกต้องก็จะไม่มีอาการเมาเกิดขึ้น

สำหรับใครต้องการจะใช้ยาในการป้องกันอาการเมารถนั้น ควรรับประทานก่อนออกเดินทางครึ่งชั่วโมง เช่น ยาแอนตี้ฮิสตามีน ชื่อ ดรามามีน จำนวน 1 เม็ด ยาชนิดนี้จะทำให้มีอาการง่วงได้ หรือใช้แผ่นปลาสเตอร์แปะแก้เมา ชื่อ ทรานส เดิร์ม สค็อป แปะไว้ที่หลังหูล่วงหน้าก่อนเดินทาง 2-3 ชั่วโมงขึ้นไป ยานี้มีฤทธิ์ป้องกันได้นาน 72 ชั่วโมง แต่หากป้องกันแล้ว หรือไม่ได้ป้องกัน มีอาการท้องไส้ปั่นป่วนมาก การดื่มน้ำอัดลมในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยบรรเทาได้

หากมีอาการวิงเวียนศีรษะ การสูดหายใจลึก ๆ รับลมเย็น ๆ หรือใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าผาก และใบหน้า จะช่วยลดอาการได้ นอกจากนี้ควรพกยาดม ยาลม ยาหอม และกลิ่นสมุนไพร ไว้สูดดมแก้อาการวิงเวียน หรืออาจจะ ใช้กลิ่นเปลือกส้มเขียวหวาน บีบเปลือกให้แตกพ่นกลิ่นออกมา เพื่อสูดดมก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการแย่ไม่ไหวจริง ๆ ให้นอนลง แล้วหลับตา เพื่อปิดการส่งสัญญาณภาพเข้าสมอง เป็นการลดความสับสนให้สมอง ได้รับสัญญาณจากอวัยวะคุมการทรงตัว ที่อยู่ที่หูชั้นในเพียงอย่างเดียว อาการจะดีขึ้น ถ้าม่อยหลับไปจริง ๆ จะยิ่งดี เพราะ ขณะนอนหลับสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย จะปิดรับสัญญาณเข้าใด ๆ ความสับสนที่สัญญาณขัดแย้งกันไม่มี อาการเมาก็จะหายไปเอง


ที่มา

นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์
หัวหน้าศูนย์สุขภาพ โรงพยาบาลพญาไท 2

Friday, December 18, 2009

โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน

ปวดเมื่อยเนื้อตัวทั่วไป นอนนวดประคบประหมงสักพัก ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ถ้าหากปวดเป็นประจำย้ำด้วยอาการขาชาแขนชา รีบไปหาแพทย์เชี่ยวชาญด้านกระดูกดีกว่า

พออายุมากขึ้น อาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเริ่มถามหา บางคนอาจคิดว่า อาการปวดเกิดมาจากความเสื่อมตามวัยที่ร่วงโรย แต่แท้จริงแล้ว "การปวดหลัง" เป็นเวลานาน ๆ อาจแฝงมาด้วยภัยเงียบ ที่เปราะถึงแกนกระดูก เมื่อกระดูกสันหลังอ่อนแอ เคลื่อนตัว นำมาสู่โรคยอดฮิตขณะก้าวเข้าสู่วัยกลางคน

"โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน" เกิดจากใช้งานของหลัง ที่ผิดประเภท ส่วนใหญ่จะพบในผู้สูงอายุ ในวัย 45 ปีขึ้นไป จาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่ ความเสื่อมของกระดูกเอง และการอ่อนแอของกระดูกสันหลังมาตั้งแต่เกิด


อาการของโรคกระดูกเคลื่อน

มักพบในผู้หญิงมากกว่าชาย อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อของผู้หญิงไม่แข็งแรงเท่าผู้ชาย ภาวะการเคลื่อนของกระดูก เริ่มตั้งแต่หมอนรองกระดูกเสื่อม ทำให้ข้อต่อมีแรงกดเยอะขึ้น จากนั้นกระดูกก็จะค่อย ๆ เคลื่อนออกจากกันในที่สุด

โรคนี้พบบ่อย แต่เป็นโรคที่ซ่อนอยู่ บางคนมาพบแพทย์ด้วยอาการ "ปวดหลัง" พอได้ตรวจ จึงได้รู้ว่ากระดูกอ่อนแอ เราสามารถยืนยัน แนวการเคลื่อนของกระดูกได้จากฟิล์มเอ็กซ์เรย์ช่วยวินิจฉัย

กระดูกสันหลัง เป็นส่วนที่รับน้ำหนักมากที่สุด โดยมีหมอนรองกระดูก และข้อต่อของกระดูกสันหลัง 2 อันทำหน้าที่ยึด ถ้าหากมีแรงกระทำเกิดขึ้น มีส่วนให้รอยเชื่อมฉีกขาด กระดูกสันหลังจะเคลื่อนในที่สุด

อาการของโรคที่พบชัดเจนส่วนใหญ่ "เกิดการชาในตำแหน่งที่เส้นประสาทถูกกดทับ" และเป็นหนักขึ้นเวลาเดินต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ อาการที่แสดงออกชัดเจน คือ ปวดหลัง และเมื่อกระดูกเสียดสีจากการเคลื่อนจะเกิดอาการชา ก่อปัญหากับระบบขับถ่าย เมื่อเส้นประสาทตามมา


กระดูกสันหลังคนเราแต่ละส่วน มีลักษณะเป็นข้อ ๆ ในแต่ละข้อมีเส้นประสาท ที่ทำหน้าที่ควบคุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตามหลักที่ถูกต้อง ความสมดุลระหว่างความแข็งแรงของกระดูกสันหลังกับกล้ามเนื้อ จะต้องสัมพันธ์กัน หากนั่งผิดท่า ยกของหนัก หรือออกกำลังกายท่ากระโดดเป็นประจำ อาจมีผลทำให้แนวของแรงไปกระทำต่อกระดูกสันหลังบางส่วนผิดปกติไป ประกอบกับผู้ที่กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ไม่ได้ออกกำลังกาย คงมีโอกาสพบกับอาการข้อเสื่อมเร็วขึ้น

อาการของคนไข้ที่มาพบ ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา กระดูกเสื่อมก็จะมาด้วยอาการปวดหลัง แต่เมื่อมีแรงกดมากขึ้น เริ่มมีอาการปวดตาม แนวของเส้นประสาทส่วนที่ถูกกดทับ หากเส้นประสาทรับความรู้สึกถูกกดทับ กล้ามเนื้อที่เส้นประสาทความคุมอยู่ก็จะเกิดอาการชาให้เห็น

แพทย์จะตรวจวินิจฉัยในเบื้องต้น จากอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นภายนอก เช่น กล้ามเนื้อมัดที่อ่อนแรงเรียงตัวอยู่แนวเส้นประสาทใด กระดูกข้อไหน เช่น หากพบอาการปวดชาไปด้านนอกของขา คาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นกระดูกข้อที่ 5 ส่วนอาการปวดด้านในของขา กระดูกสันหลังส่วนคอ ปวดร้าวไปที่แขน ปวดเอวร้าวไปที่ขา อาการที่พบเหล่านี้เกิดจากการเคลื่อนของกระดูก ในตำแหน่งที่ต่างกันไป

โดยทั่วไปแพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการคนไข้เป็นหลัก ด้วยวิธีการฉายรังสี หรือเอ็กซ์เรย์ ในท่าก้ม กับท่าแอ่นตัว เพื่อดูความผิดปกติ ซึ่งจะยืนยันได้ว่า กระดูกเคลื่อนหรือไม่ ขณะที่การทำเอ็กซ์เรย์แม่เหล็ก จะสามารถบ่งบอกถึงแรงกดทับของเส้นประสาท กระดูกสันหลังได้ชัดเจนขึ้น

การผ่าตัดไม่ได้แปลว่าภาวะกระดูกเคลื่อนจะหายขาด เพราะมีโอกาสกลับมาเป็นอีกในข้อต่อกระดูกตำแหน่งอื่น ๆ ต้องยอมรับก่อนว่า กระดูกเคลื่อนไปแล้ว แต่จะเคลื่อนรุนแรงถึงขนาดที่ต้องผ่าตัดไหม อาจจะไม่ คนไข้อาจจะใช้ชีวิตอยู่กับกระดูกสันหลังเคลื่อนต่อไปได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ถ้าคนไข้มาด้วยปัญหาแค่ปวดอย่างเดียว แพทย์จะแนะนำว่าทนปวดได้ไหม ถ้าทนได้อาการปวดไม่รุนแรงมาก ไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันมากนัก แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยยาแก้ปวด และกายภาพบำบัด เพื่อดูว่าอาการทุเลาลงหรือไม่ โดยยืนยันว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำกายภาพบำบัด จะช่วยให้อาการปวดดีขึ้นโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด

สำหรับข้อควรระวังในการใช้หลังง่าย ๆ

การปรับสมดุล ให้แรงกระทำกับกระดูกสันหลังบาลานซ์กัน แรงกระทำที่ว่านี้ คือ การใช้งานหลัง เช่น การยกของ แบกหาม ขณะที่แรงพยุง คือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ น้ำหนักตัว ซึ่งต้องพยายามทำให้ทั้ง 2 แรง เกิดความสมดุล โดยลดแรงกระทำ และเพิ่มแรงพยุงเข้าไป ไม่ให้กระดูกสันหลัง ต้องรับโหลดมากเกินไป ถ้าหากแรงกระทำมากกว่าแรงพยุง แรงที่กดลงไปที่กระดูกมาก และจะเกิดอาการปวด ถ้าคนไข้เพิ่มแรงพยุงให้มากกว่าแรงกระทำได้ อาการปวดก็จะลดน้อยลงได้

สำหรับท่าออกกำลังกายที่ดีที่สุด สำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกเคลื่อน คือ การออกกำลังกาย ที่ไม่มีแรงกระแทก เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดินสายพาน ช่วยเพิ่มแรงพยุง โดยละเว้นกิจกรรมที่มีแรงกระแทก เช่น การออกกำลังด้วยท่ากระโดด วิ่งสปริงตัว ขณะเล่นบาสเกตบอล ท่าออกกำลังกายประเภทนี้ ถือว่าเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกเคลื่อน

การรักษาโดยการผ่าตัด

กรณีของผู้ที่น้ำหนักตัวมากอยู่แล้ว หรือเป็นโรคอ้วน เมื่อกระดูกถูกกดทับเยอะแล้ว จำเป็นต้องผ่าตัด เพื่อดึงกระดูกไม่ให้เส้นประสาทถูกกดทับไปมากกว่านี้ เพราะหากเกิดการกดทับเป็นเวลานาน ๆ เส้นประสาทมีโอกาสเสียถาวร

ดังนั้น ถ้าคนไข้เริ่มมีอาการเส้นประสาทกดทับ แพทย์มักแนะนำให้ผ่าตัดทันทีก่อนที่เส้นประสาทจะเสียไป และไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ใหม่อีก

การผ่าตัดจะผ่าเอากระดูกส่วนที่กดโดนเส้นประสาทออก ก่อนที่จะเอาเหล็กใส่เข้าไปในกระดูกสันหลัง 2 ข้าง เพื่อยืดเอาไว้ ไม่ให้กระดูกเคลื่อน ในอดีตแผลผ่าตัดใหญ่กระดูกเคลื่อน มีลักษณะค่อนข้างใหญ่ ประมาณ 1 คืบ เนื่องจากต้องเปิดบาดแผลใส่อุปกรณ์ช่วยผ่าตัด แต่ปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดได้ถูกพัฒนาขึ้น จนกระทั่งสามารถผ่าตัดแบบแผลเล็ก 3-4 เซนติเมตร แผลหายไว และฟื้นตัวได้เร็วกว่าปกติ


ที่มา
นพ. ธีรชัย ผาณิตพงศ์
ศัลยแพทย์ศูนย์ระบบประสาทไขสันหลัง

Thursday, December 17, 2009

5 วิธีง่าย ๆ ในการลดความอ้วน

  1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ พยามยามลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน และไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจทำให้คุณรับประทานอาหารมื้อถัดไปมากขึ้น ที่สำคัญควรรับประทานประเภทผักใบเขียว เพราะจะมีใยอาหารอยู่มาก
  2. พยายามดื่มน้ำก่อนอาหาร เพื่อถ่วงกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือเลือกรับประทานใยอาหารก่อนอาหารประมาณครั้งชั่วโมงแทน
  3. เพื่อผลทางจิตวิทยา ควร ใช้ภาชนะเล็กลง โดยมีปริมาณอาหารเท่าเดิมเพื่อให้ดูว่ามีอาหารมากขึ้น และควรใช้ช้อนขนาดเล็กเพื่อจะได้รับประทานช้าลง ที่สำคัญควรฝึกเคี้ยวช้า ๆ จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น
  4. หาเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมมากขึ้น มัก มีความเชื่อผิด ๆ กันว่า การออกกำลังกายมากขึ้นจะทำให้หิวเร็งและรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมักขจัดความเยื่อนี้ด้วยการรับประทาน การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีช่วยลดความเบื่อหน่าย และเพิ่มการใช้พลังงานเพื่อเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง
  5. สร้างสิ่งจูงใจ หรือทัศนคติดี ๆ ต่อ พฤติกรรมใหม่ ๆ เช่น การเขียนข้อความเกี่ยวกับการลดความอ้วน หรือชุดสวย ๆ ในสมัยก่อนที่เคยใส่ได้ เพื่อให้เห็นถึงเป้าหมาย และสามารถกระตุ้นหรือจูงใจให้มีความพยายามมากขึ้น และที่สำคัญที่สุด พยายามพักผ่อนให้มาก ๆ ไม่มีประโยชน์เลย ถ้ามีรูปร่างที่สวยงามอย่างที่ต้องการ แต่ต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสุขภาพไม่ดี

Wednesday, December 16, 2009

ขยะมูลฝอยในบ้าน

การดูแลขยะมูลฝอยในบ้าน ให้ได้รับการจัดเก็บที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ตัวท่านเอง และบุคคลในบ้านจะได้รับผลโดยตรง จากการกระทำเหล่านี้ได้ทันที เช่น กลิ่นเหม็นจะหมดไป หนู แมลงสาป ก็จะลดน้อยลง เป็นต้น

ถ้าหากทุกคนช่วยกันดูแลในบ้านของตนให้ดี ขยะก็จะไม่สร้างปัญหาแก่คนอื่น ๆ ทำให้มลพิษต่าง ๆ ก็จะลดตามลงไปด้วย ขยะอาจตกค้าง และเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ถ้าเราไม่จัดเก็บให้ถูกวิธี การจัดการด้านการบำบัดมลพิษ และกำจัดขยะนั้น จึงจำเป็นต้องมีการคำนึงถึงการลดปริมาณขยะ ด้วยวิธีการต่าง ๆ อันเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ดังนี้
  1. เมื่อนำอาหารอกนอกบ้าน ควรใช้บรรจุภาชนะที่นำมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น ปิ่นโต กล่องข้าว
  2. ทำความสะอาด และหมุนเวียนขวดแก้ว และขวดพลาสติก เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก
  3. ทิ้งขยะในภาชนะรองรับ ที่ปิดมิดชิดให้เป็นนิสัย เพื่อป้องกันกลิ่น และสัตว์ที่เป็นพาหนะของโรค
  4. ควรนำเครื่องนุ่งห่ม ที่ไม่ใช้แล้วไปบริจาค
  5. ควรใช้กระดาษ และผลิตภัณฑ์ให้เป็นประโยชน์ ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
  6. ควรจัดให้มีบริเวณรองรับ และรวบรวมกระดาษที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อนำไปจำหน่าย และสามารถหมุนเวียนนำกลับมาใช้ประโยชน์
  7. ควรจำแนกขยะเป็น 4 ประเภทก่อนทิ้ง ได้แก่ ขยะเปียก ขยะแห้ง ขยะที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีก และขยะที่มีส่วนประกอบของสารพิษปะปนอยู่
  8. สำหรับเกษตรกร ควรคัดแยกขยะทุกชนิด ที่เป็นอินทรีย์สาร เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการหมักปุ๋ยอินทรีย์

หวังว่าการดำเนินการเกี่ยวกับขยะมูลฝอยในบ้าน คงจะไม่เหลือบ่าฝ่าแรงของท่านไปได้ และที่สำคัญที่สุด คือ การลงมือปฏิบัติตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเลยนะจ้ะ

เลือกแปรงสีฟันแบบไหนดี??

ทันตแพทย์มักจะได้รับคำถามนี้เสมอ ๆ จากคนไข้ หรือประชาชนทั่วไป สาเหตุก็เพราะ แปรงสีฟันเป็นอุปกรณ์สำคัญ สำหรับการทำความสะอาดช่องปาก และฟัน ที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของประชาชน

ปัจจุบันในท้องตลาดมีแปรงสีฟันนานาชนิด แตกต่าง หรือคล้ายคลึงกัน ทั้งในเรื่องของรูปร่างของหัวแปรง ด้ามแรง ขนาด และรูปร่างของการวางตัวของขนแปรง ความอ่อนแข็งของขนแปรง ลักษณะปลายขนแปรงและอื่น ๆ มากมายเหล่านี้ ทำให้เป็นที่สับสนแก่ผู้เลือกใช้เป็นอันมาก

หลาย ๆ คนเชื่อในคำโฆษณา เมื่อซื้อใช้ไปก็ผิดหวัง แต่ก็ทำใจได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนอีกแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เท่ากับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้กับเหงือก และฟันของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์แบบนั้น หรือยี่ห้อนั้น ๆ เพราะ ขนแปรง ที่สัมผัสกับเหงือก และฟัน

ถ้าเป็นชนิดแข็ง จะมีโอกาสทำลายเหงือก และฟันได้มากว่า แปรงที่มีขนอ่อน ดังนั้น โดยทั่วไป ทันตแพทย์จะแนะนำให้เลือกใช้แปรงสีฟัน ที่มีลักษณะด้ามแปรง เป็นด้านตรง ขนแปรงเป็นไนล่อนชนิดอ่อน ปลายขนแปรงควรมีลักษณะมน จำนวนแถวของขนแรงมีมากพอ อย่างไรก็ตาม เลือกแปรงสีฟันที่ดีได้แล้ว ต้องสามารถแปรงฟันได้อย่างถูกต้องด้วย สุขภาพปากและฟันของท่านจึงจะดีตลอดไป

Tuesday, December 15, 2009

เลือกน้ำมันอะไรดีในการปรุงอาหาร?

สำหรับคุณแม่บ้าน หรือพ่อบ้านแล้ว แน่นอนว่า "น้ำมัน" เป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้เลย สำหรับห้องครัว เมื่อต้องการทำอาหารให้สมาชิกในบ้านรับประทาน แต่น้ำมันในปัจจุบันนี้ มีให้เลือกหลากหลาย จนพ่อบ้าน และแม่บ้านหลายคนอาจเกิดความสับสนในการเลือกใช้ ว่าน้ำมันแต่ละประเภทมีประโยชน์ที่ต่างกันอย่างไรบ้าง

สิ่งที่เราต้องคำนึงถึง ในการเลือกซื้อน้ำมันนั้น เราต้องดูในเรื่องของ "จุดเกิดควัน" (Smoking Point) ของน้ำมัน เพราะหากน้ำมันถูกทำให้ร้อนเกินกว่าจุดเดือดของน้ำมัน น้ำมันจะกลายเป็นพิษ (Toxin) และมีอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น เราลองมาดูกันว่า น้ำมันแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

น้ำมันรำข้าว
เหมาะสำหรับการทำอาหารทุกประเภท ทั้งสลัด ผัด ทอด ขนมอบ มี "จุดเกิดควันสูง" กว่าน้ำมันพืชทั่ว ๆ ไป มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน อี ในกลุ่มโทโคฟี กลุ่มโทโคไตรอีนอล และโอรีซานอล (Oryzanol) ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอี อื่น ๆ ถึง 6 เท่า

น้ำมันถั่วเหลือง
เหมาะสำหรับการทำอาหารแทบทุกประเภท เพราะมี "จุดเกิดควัน" ค่อนข้างสูง มีรสเป็นกลาง (Neutral flavour) สามารถนำไปทำน้ำสลัดได้เหมือนกัน เช่น น้ำสลัดญี่ปุ่น แต่อาจจะไม่เหมาะนัก ถ้าสมาชิกในครอบครัวไม่ชอบน้ำมัน ที่มีความเข้มข้น (Heavy texture)

น้ำมันมะกอก
มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากที่สุด เป็นน้ำมันที่มีหลายเกรด และแต่ละเกรดก็สามารถนำไปประกอบอาหารได้ดีแตกต่างกันไป เช่น
  • Extra Virgin เป็นน้ำมันมะกอกสีค่อนข้างเขียว เหมาะสำหรับอาหารจานเย็นทั่วไปเช่นสลัด
  • Pure Olives Oil, Refined Olives Oil น้ำมันมะกอกประเภทนี้ จะผ่านกระบวนการมากกว่าน้ำมันแบบ Extra Virgin ซึ่ง Pure Olives Oil, Refined Olives Oil จะมีกลิ่นอ่อนกว่า สีจางกว่า เหมาะสำหรับทำอาหารทั่วไป เช่น การผัดสปาเก็ตตี้ กระทะย่าง ยกเว้นการทอดที่ใช้ความร้อนสูง
น้ำมันดอกทานตะวัน
เป็นน้ำมันที่มีเนื้อบางเบา และไร้กลิ่น เหมาะสำหรับทำสลัด และการผัด แต่ไม่เหมาะสำหรับการทอด เพราะมีจุดเกิดควันต่ำ

น้ำมันดอกคำฝอย
มีลักษณะคล้ายน้ำมันดอกทานตะวัน และนำไปประกอบอาหารได้ เหมือนกับน้ำมันดอกทานตะวัน

น้ำมันข้าวโพด
เป็นน้ำมันที่เหมาะกับการทอด ที่ใช้น้ำมันมาก ๆ เพราะทนความร้อนสูงที่สุด น้ำมันข้าวโพดส่วนใหญ่ เมื่อเย็นจะไม่มีกลิ่น แต่ถ้าได้รับความร้อนมากขึ้น จะเริ่มมีกลิ่นของข้าวโพดเล็กน้อย

น้ำมันงา
เหมาะสำหรับปรุงแต่งกลิ่นของอาหาร หลังจากทำเสร็จแล้ว เพราะทนความร้อนแทบไม่ได้เลย แต่ใส่เพื่อลดกลิ่นคาวในปลา หรืออาหารทะเล ที่จะนำไปต้ม หรือลวกได้ดี

น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันพืช
"น้ำมันพืช" มักเป็นน้ำมัน ผสมระหว่าง น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว หรือเมล็ดผักอย่างอื่น ๆ ที่มีราคาถูก มีจุดเกิดควันสูง เหมาะสำหรับทำอาหารผัด ทอด หลากชนิด แต่ไม่ดีเลย สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื้อรังคลอเลสเตอรอล เพราะมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก

Canola Oil หรือ Rapeseed Oil
น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำที่สุด ในบรรดาน้ำมันทั้งหลาย และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากเป็นอันดับสอง รองจากน้ำมันมะกอก น้ำมันชนิดนี้สามารถทำอาหารได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทอด ผัด หรือทำน้ำสลัด เพราะเป็นน้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง

น้ำมันเมล็ดองุ่น (Grape seed Oil)
มีความบาง และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เหมาะสำหรับสลัด และการผัดด้วยไฟอ่อน ๆ และทอดด้วยไฟอ่อน และเหมาะที่สุดสำหรับการทำฟองดูเนื้อ

Walnut Oil
มีกลิ่นหอมของ walnut ซึ่งสามารถเพิ่มรสให้กับสลัดได้ โดยเฉพาะโรย Walnut ในสลัดผักโขมอ่อน (Baby Spinach) น้ำมันชนิดนี้ มีราคาค่อนข้างแพง และเสียง่าย ดังนั้นควรเก็บในตู้เย็น

Cotton seed Oil
เป็นน้ำมันที่มีกลิ่น และเนื้อสัมผัสคล้าย ๆ กับ Rapeseed oil ส่วนมากใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร


ทั้งหมดนี้เป็นประเภทของน้ำมันต่าง ๆ ที่พ่อบ้าน และแม่บ้านสามารถเลือกใช้ได้ ตามจุดประสงค์ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ พบมากขึ้นในคนไทย ซึ่งเหตุส่วนหนึ่ง เนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารเปลี่ยนไป เมื่อเกิดโรคขึ้นแล้ว ก็ไม่หายขาด แถมค่ายา ค่าการตรวจต่าง ๆ ค่ารักษา ล้วนมีราคาแพงขึ้นทุก ๆ วัน ดังนั้น การป้องกันโรค จึงน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

หลักการสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจ คือ การลดพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ลง การรับประทานอาหาร ที่มีไขมันคลอเลสเตอรอลต่ำ ก็เป็นหนทางหนึ่ง ดังนั้นก ารเลือกใช้น้ำมันในการปรุงอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงด้วย

Monday, December 14, 2009

ผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ที่คุณไม่เคยทราบ)

คุณเคยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้างหรือไม่??? และถ้าเคยคุณเคยทราบถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่อสุขภาพบ้างหรือไม่?? ขอเวลา 5 นาทีกับบทความนี้ แล้วลองมาดูกันว่า ผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์บางประเภทต่อสุขภาพที่คุณอาจเคยใช้ อยากใช้ คิดจะใช้ เป็นเช่นไรบ้าง นั่นคือ "สิทธิผู้บริโภค" ที่เราควรได้รับรู้ทุกแง่มุมของสิ่งที่คิดจะรับประทาน

วิตามิน ซี ( Ascorbic acid )
หากได้รับ วิตามิน ซี ในปริมาณสูง 1-3 กรัมต่อวัน ติดต่อกันหลายวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ การได้รับวิตามินซีในปริมาณสูง เพื่อหวังเสริมภูมิต้านทานและป้องกันโรค ยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันที่ถือเป็นข้อสรุปได้ว่า ทำได้จริงหรือไม่! ผลการวิจัยในหลอดทดลอง พบว่า วิตามิน ซี อาจทำให้ดีเอ็นเอในเซลล์เป็นอันตรายได้อีกต่างหาก

วิตามิน อี (Tocopherols)
ประโยชน์ของ วิตามินอี ยังไม่พบแน่ชัด แต่ก็ไม่มีพิษ หากรับประทานไม่เกิน 1000 หน่วยสากลต่อวัน ภาวะการขาดวิตามินอี ยังไม่พบในคนสุขภาพปกติ เพราะวิตามินอี มีมากในอาหารที่คนรับประทาน จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินอี เสริม


วิตามินเอ และ เบต้าแคโรทีน
การบริโภควิตามินเอบางชนิดในรูปอาหารเสริม อาจทำให้ได้รับในปริมาณสูงเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดพิษในร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามข้อ ตับทำงานมากขึ้น ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดความผิดปกติ และมีรายงานว่า การรับประทาน วิตามิน เอ เสริม อาจทำให้กระดูกบางลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก มีรายงานการวิจัยขนาดใหญ่ในฟินแลนด์พบว่า การใช้เบต้าแคโรทีน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด
ซีลีเนียม (Selenium)
ไม่ควรรับประทาน ซีลีเนียม เกินกว่า 400 ไมโครกรัม/วัน อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เรายังไม่มีข้อมูลมากพอจะบอกว่า ปริมาณซีลีเนียมเท่าไร จึงจะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้
สังกะสี ( Zinc )
การได้รับ ธาตุสังกะสี ในปริมาณสูง (ประมาณ 25 มิลลิกรัม) สามารถขัดขวางการดูดซึมทองแดง
แคลเซียม (Calcium )
การได้รับ แคลเซียม เกินขนาด อาจทำให้คลื่นไส้ ท้องผูก เฉื่อยชา และอาจสะสม ทำให้เกิดนิ่วได้ ธาตุแคลเซียมปริมาณสูง อาจยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก และสังกะสี
ซุปไก่สกัด
มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงแค่ไข่ไก่ เพียงครึ่งฟอง การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ต้ม หรือตุ๋นในระยะเวลานาน ทำให้ได้รับสารก่อมะเร็ง กลุ่มเฮ็ตเตอโรไซคลิก อะโรเมติกเอมีน มากกว่าปกติ และเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลายอวัยวะ
โปรตีน (Protein)
การรับประทานอาหารโปรตีนสูงมาก ๆ ร่างกายจะไม่ได้นำโปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อ แต่จะกำจัดออก เป็นการเพิ่มภาระให้กับตับ และไต ที่ต้องทำงานหนักขึ้น สำหรับคนที่ลดน้ำหนัก โดยการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนสูง อาจเสี่ยงต่อภาวะโรคหัวใจ
สาหร่ายสไปรูไลน่า
ระวังภาวะเสี่ยงที่สาหร่ายอาจปนเปื้อนสารโลหะหนัก และสารพิษอื่น ๆ จากน้ำ ที่เพาะเลี้ยง มีปริมาณกรดนิวคลิอีกสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์
รังนก
คุณค่าทางโภชนาการต่ำ แต่มีราคาสูง ได้ประโยชน์ต่อร่างกายไม่คุ้มค่าเงิน และไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า กินแล้วทำให้ผิวพรรณอ่อนวัยจริงหรือเปล่า?
การ์ซีเนีย (Garcinia)
ไม่มีหลักฐานการวิจัย ที่ยืนยันชัดเจนว่า HCA สามารถช่วยลดน้ำหนักได้
น้ำมันปลา ( Fish oil )
ในการทดลองพบว่า ผลเสียจากการรับประทานน้ำมันปลา คือ เกิดเลือดกำเดาไหลไม่หยุด อาจทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินอีได้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อสารพิษตกค้าง เนื่องจากภาวะมลพิษทางทะเล ในถิ่นที่ปลาซึ่งเป็นวัตถุดิบอาศัยอยู่ และขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร หากจะบริโภคเพื่อการรักษา ต้องรับประทานในปริมาณสูงมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อร่างกาย
อีฟนิ่ง พริมโรส (EPO)
มีรายงานผลข้างเคียงในผู้ป่วยโรคลมชัก
เลซิทิน (Lecithin)
คนปกติมักไม่ขาดเลซิติน การบริโภคในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเสีย เลซิติน สกัดจากพืชดีกว่าในสัตว์ เพราะเลซิตินจากพืชมีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว หากซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลซิตินจากแหล่งวัตถุดิบที่เป็นสัตว์ อาจได้รับกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ยิ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับโคเลสเตอรอล
ใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba)
มีรายงานการวิจัยที่ขัดแย้งกัน ในเรื่องการรักษาผู้ป่วยสมองเสื่อม จึงยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องของฤทธิ์ข้างเคียงของแปะก๊วย ในผู้ใช้บางราย คือ อาการปวดศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน เกิดภาวะแทรกซ้อน เลือดไหลไม่หยุดในขณะผ่าตัดในรายของผู้ป่วย ที่รับประทานแปะก๊วยควบคู่ไปกับการรักษาโรคแผนปัจจุบัน
หัวบุก
หากรับประทาน "กลูโคแมนแนน" ชนิดเม็ด ต้องดื่มน้ำตามให้มาก ๆ มิฉะนั้น จะเกิดเจลอุดตันในทางเดินอาหาร ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ การรับประทานอาหารไฟเบอร์ติดต่อกันนาน ๆ ส่งผล ให้เกิดภาวะการขาดสารอาหารในร่างกายได้ และไม่มีรายงานว่า สามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งในลำไส้ใหญ่
มะขามแขก (Senna)
ในการระบายของเสีย ร่างกายจะสูญเสียน้ำออกไป ไม่ใช่ไขมัน ดังนั้น น้ำหนักที่ลดลง คือ น้ำที่หายไป หลังจากดื่มน้ำกลับเข้าไป ร่างกายจะกลับมาน้ำหนักเท่าเดิม การใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นประจำ จะมีอันตรายทำให้ลำไส้บีบตัวเองไม่เป็น เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง
กระเทียมอัดเม็ด
ผลการวิจัยในระยะหลัง พบว่า สารสกัดจากกระเทียม ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ค่อยมีผลต่อการลดระดับของโคเลสเตอรอล หรือมีก็ในระดับที่น้อยมาก เนื่องจาก ปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดถูกควบคุมด้วยปัจจัยมากกว่าหนึ่งปัจจัย เกิดกลุ่มรณรงค์ในอเมริกายื่นคำร้องให้ อย. ของสหรัฐฯ สั่งห้ามบริษัทอาหารเสริมโฆษณาสรรพคุณของกระเทียมอัดเม็ดว่า ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลได้ และช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง

Friday, December 11, 2009

เดินออกกำลังกาย

การออกกำลังกายที่ง่าย และดีที่สุด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย คือ "การเดิน" วันนี้จึงอยากจะแนะนำให้ทุกคน รู้จักการออกกำลังกายประเภทนี้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่กำลังเริ่มออกกำลังกายด้วยการเดิน

การเดินดีอย่างไร

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า วิธีออกกำลังกายง่าย ๆ อย่างการเดิน มีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก มาย ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณขา ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจดีขึ้น สามารถเผาผลาญพลังงานได้ดี โดยการเดินระยะทาง 1.6 กิโลเมตร สามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ถึง 100 แคลอรี ทำให้ควบคุมน้ำหนักตัวได้ และมีรูปร่างสวยงาม นอกจากนี้ยังจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่รักสุขภาพ และช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และมีความกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา

การเริ่มออกกำลังกายด้วยการเดิน

สำหรับใครที่กำลังจะเริ่มออกกำลังกายด้วยการเดิน แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มอย่างไร เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพน้อยที่สุด เพราะไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ลองปฏิบัติตาม 9 ขั้นตอนดี ๆ ที่เรานำมาฝาก ดังนี้

1.วางแผนในการออกกำลังกาย

หากคุณไม่ได้ออกกำลังกายเป็นเวลานานแล้ว อยากเริ่มต้นออกกำลังกายด้วยการเดิน คุณควรเริ่มจากการเดินในระยะทางสั้น ๆ ก่อน ไม่ควรเริ่มจากการเดินในระยะทางไกล เพราะอาจทำให้ท้อ และเจ็บป่วยได้ เนื่องจากร่างกายอาจจะปรับสภาพไม่ทัน

2.หาสถานที่เดินออกกำลังกาย

แม้ว่า เราสามารถเดินออกกำลังกายได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือถนนในหมู่บ้าน แต่นั่นอาจทำให้เรารู้สึกเหงา ที่ต้องเดินคนเดียว จนเลิกออกกำลังกายในที่สุด ดังนั้น การเปลี่ยนไปเดินในสถานที่อื่น ๆ บ้าง จะช่วยกระตุ้นให้เราอยากออกกำลังกายมากขึ้น สถานที่สำหรับเดินออกกำลังกายที่น่าสนใจ เช่น โรงเรียน หรือสวนสาธารณะใกล้บ้าน เพราะสถานที่เหล่านี้ จะมีผู้คนไปออกกำลังกายมากมาย ทำให้เราไม่เหงา

3. เริ่มต้นเดิน

หลังจากคุณพร้อมออกกำลังกายแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มต้นเดิน โดยตอนแรกอาจไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายอะไรมากนัก อาจเดินเพื่อความสนุก โดยเดินระยะทางใกล้ ๆ ก่อน ถ้ารู้สึกเหนื่อยควรหยุดพัก แล้วค่อยกลับมาเดินใหม่

4. อย่าจริงจังกับระยะทาง

ตอนแรกที่เริ่มออกกำลังกาย คุณไม่ควรจริงจังเรื่องระยะทาง หรือเวลาในการเดินมากนัก เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้เอง หลังจากคุณเดินออกกำลังกายได้ระยะ เวลาหนึ่ง

5. กำหนดเวลาในการเดิน

การกำหนดเวลาในการเดิน เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้คุณออกกำลังกายได้ตามแผน และ ไม่หักโหมมากเกินไป โดยสัปดาห์แรก คุณอาจเริ่มเดินจาก 2-5 นาที แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลาในการเดินครั้งต่อไป

6. เพิ่มเวลาในการเดิน

ในการเดินแต่ละครั้ง คุณควรเพิ่มระยะเวลาในการเดิน โดยอาจค่อย ๆ เพิ่มครั้งละ 30 วินาที-1 นาที จนกระทั่งคุณสามารถเดินออกกำลังกายได้ อย่างน้อยครั้งละ 10 นาที หลังจากนั้นอาจเพิ่มสัปดาห์ละ 5 นาที จนครบตามเป้าหมายที่กำหนด

7. เพิ่มความเร็วในการเดิน

หลังจากคุณสามารถเดินออกกำลังกายได้ วันละ 45 นาทีแล้ว คราวนี้ถึงเวลาที่คุณจะเพิ่มความเร็วในการเดิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจด้วย

8. กำหนดเป้าหมาย และอัตราการเต้นของหัวใจ

เมื่อเดินออกกำลังกายจนคล่องแล้ว คุณอาจกำหนดเป้าหมายในการเดิน เช่น กำหนดเวลาและระยะทางในการเดิน หรือกำหนดอัตราการเต้นของหัวใจต่อนาที แล้วปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

9. ฝึกเดินช้า-เร็วสลับกัน

หลังจากคุณเดินออกกำลังกายจนชำนาญ คุณควรฝึกเดินหลากหลายแบบในแต่ละครั้ง เช่น ตอนแรกควรเริ่มต้นเดินช้า ๆ ก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มความเร็วในการเดิน และค่อย ๆ ลดความเร็วลง ก่อนจะหยุดพัก


การเดินออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องยาก เพียงคุณพร้อม และตั้งใจก็ทำได้แล้ว

วิตามินซี

ตอนเด็ก ๆ หลายคนชอบกินวิตามินซีชนิดเม็ด เพราะคุณพ่อคุณแม่หาซื้อมาประเคน นัยว่าป้องกันโรคลักปิดลักเปิด พอโตขึ้นหลายคนก็ยังกินอยู่ เพราะสะดวก หรือบางคนอาจจะไม่ชอบกินผลไม้ "วิตามินซี" ชนิดเม็ด ที่ขายกันอยู่มีทั้งวิตามินซีธรรมชาติ และแบบสังเคราะห์ โดยชนิดที่เป็นสารสังเคราะห์ ประกอบด้วย กรดแอสคอบิก ผสมกับน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ คอร์นไซรัป มีการเติมสี แต่งกลิ่น แต่งรส ดังนั้นการกินวิตามินซีชนิดเม็ด จะได้ความหวานด้วย โดยเฉพาะที่เป็นชนิดแบบอมเล่น รสผลไม้ ทั้งหลาย
หากถามว่า วิตามินซีชนิดเม็ดให้คุณค่าเช่นเดียวกับผลไม้ ที่มีวิตามินซีโดยธรรมชาติหรือไม่ ขอเรียนว่า ถ้าเป็นวิตามินซีธรรมชาติ จะให้คุณค่าไม่ต่างจากผลไม้อุดมวิตามินซีทั่วไป แต่ถ้าเป็นวิตามินซีสังเคราะห์ มีงานวิจัยบางชิ้น ชี้ให้เห็นว่าอาจทำให้เกิดมะเร็งมากขึ้นในหนูทดลอง และทำให้หลอดเลือดแข็งตีบในคนได้

โดยหลักในการเลือกซื้อวิตามินซีธรรมชาติ ไม่ให้ดูแค่คำว่า ธรรมชาติ หรือ Natural ข้างฉลากเท่านั้น แต่ต้องดูคำว่า ผลิตจากผักและผลไม้ ในสภาวะที่เหมาะสม หรือ Made from fruits and vegetables below 70 degrees แทนสำหรับความจำเป็นในการกินวิตามินซีชนิดเม็ด หากกินผักผลไม้ไม่ค่อยไหว ก็อาจรับประทานได้บ้าง แต่ไม่ใช่เป็นการใช้แทน เพราะอย่างไรก็ดีวิตามินจะดูดซึมได้ดี ต้องมีสารธรรมชาติบางชนิดในผลไม้นั้น ๆ ช่วยด้วย ดังนั้น สูตรสำเร็จสำหรับผู้รักที่จะกินวิตามินซี ก็คือ ต้องกินอาหารเสริมบวกอาหารสดนั่นเอง

อาหารที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ฝรั่งกลมสาลี่ มะขามเทศ มะขามป้อม มะละกอแขกดำ พุทรา แอปเปิ้ล และส้มโอขาว แตงกวา ซึ่งจะสังเกตได้ว่า "ความเปรี้ยวไม่ใช่ตัวบอกวิตามินซี" เพราะจะเห็นว่าผลไม้เปรี้ยวจัดอย่างมะยม หรือลูกเสาวรสไม่ติดอันดับต้น ๆ เลย
นอกจากนี้ อาหารธรรมชาติที่นึกไม่ถึงอีกชนิด ที่มีวิตามินซีมาก คือ "ปลาทะเลดิบ" มีกรดแอสคอบิกมากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าชาวเอสกิโมนั้น แม้ไม่ค่อยได้บริโภคพืชผักผลไม้ ก็ยังไม่เป็นโรคขาดวิตามินซี

กลุ่มคนที่ควรรับประทานวิตามินซี คือ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่เป็นโลหิตจาง และผู้รับประทานมังสวิรัติ เพราะบุหรี่หนึ่งมวน จะผลาญวิตามินซีไปเท่ากับส้มเขียวหวานราว ๆ 1 ผลเลยทีเดียว ส่วนโลหิตจางบางชนิด กับคนกินมังสวิรัตินั้น มักขาดธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ จึงต้องอาศัยวิตามินซีช่วยจับธาตุเหล็กให้มากขึ้นแทน รวมถึงผู้ที่เริ่มสูงวัย หรือผิวพรรณเริ่มเสื่อมไป วิตามินซีจะช่วยกวาดสนิมแก่ ช่วยเพิ่มคอลลาเจน ซึ่งเป็นเสมือนกระดูกของผิวให้คงรูป ไม่เหี่ยวย่นเร็วเกินวัย วิตามินซียังช่วยเสริมภูมิให้กับผู้ป่วยภูมิแพ้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง หรือเป็นหวัดบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังแก้เครียดด้วย เพราะเกี่ยวพันกับต่อมหมวกไต ในการสร้างฮอร์โมนต้านเครียด และการอักเสบ ชื่อว่า คอติซอล

กินวิตามินซีมากไปมีผลเสียหรือไม่?

มีแน่นอน การกินนับสิบ ๆ เม็ด หรือบ้างก็ใช้ฉีดเข้าเส้นกัน โดยหวังว่าจะรักษามะเร็ง และโรคร้ายอื่นได้ มีงานวิจัยที่แสดงว่า วิตามินซีปริมาณมาก อาจทำให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ และเพิ่มอัตราการเกิดมะเร็งในหนูทดลอง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบแข็งในมนุษย์ ทำให้ขาดธาตุทองแดง และน้ำย่อยสำคัญในร่างกาย

ส่วนอาการเตือนในช่วงแรก ๆ ที่กินมากไป ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ที่สังเกตได้ อาทิ คลื่นไส้ ถ้ากินมากถึงแก่อาเจียน แสบร้อนกระเพาะอาหาร จุกใต้ลิ้นปี่ ระคายทางเดินอาหาร ถ่ายเหลว ปัสสาวะสีเข้ม

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องตระหนกอกสั่นกับวิตามินซีเป็นพิษมาก เพราะว่ามันละลายน้ำได้ ถ้าได้เยอะเกินไป ร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร จะแย่หน่อยก็ตรงเสียดายว่า มันจะกลายเป็นฉี่แพงไปหน่อยเท่านั้นเอง

ที่มา
นพ. กฤษดา ศิรามพุช
สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

Tuesday, December 8, 2009

กระเทียม ... สมุนไพรมหัศจรรย์

กระเทียม (garlic) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Allium sativum Linn. แทบทุกครัวเรือนรู้วิธีการเจียวกระเทียมในน้ำมันให้หอมก่อน แล้วจึงใส่เนื้อสัตว์ หรือผัก เป็นวิธีดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ และเพิ่มรสชาติให้กับอาหารประเภทผัดชนิดต่าง ๆ ได้อย่างดี ทั้งยังใช้กระเทียมเจียวโรยหน้าอาหารอีกหลายอย่าง หรือใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในเครื่องแกงชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะเป็นตัวช่วยแต่งกลิ่น และรสร่วมกับมะนาวในน้ำพริกกะปิ แม้แต่พริกน้ำปลา หรือน้ำจิ้มรสแซบ ก็จะลืมกระเทียมไปไม่ได้ นอกจากนี้ใบ และหัวกระเทียมสด ๆ ยังเป็นผัก รวมถึงกระเทียมดองของอร่อย

กระเทียม ยังเป็นสมุนไพร แก้ไขบรรเทาปัญหาสุขภาพของชาวบ้านมาโดยตลอด หมอพื้นบ้านไทยใช้กระเทียมสด รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน โรคบิด ป่วง แก้ไอ และกระจายโลหิต กระทั่งเป็นที่สรุปได้ว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเด่น 2 ประการ คือ ใช้ทารักษาโรคผิวหนัง และรับประทานแก้โรคความดันโลหิตสูง

จากการศึกษา ทดลองคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาในระยะหลัง พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกหลายอย่าง แต่การนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้ผลอย่างจริงจัง ยังจะต้องมีการศึกษาผลทางคลินิกวิทยาให้ถ่องแท้เสียก่อน

สรรพคุณต่าง ๆ ของกระเทียม มีดังนี้
  1. ฆ่าเชื้อรา คือ กลาก เกลื้อน และเชื้อราที่เกิดตามเล็บ หนังศีรษะ และผม
  2. ฆ่าเชื้อยีสต์ ชนิดที่ทำให้เกิดลิ้นขาว เป็นฝ้าในเด็กทารก และทำให้เกิดโรคมุตกิดระดูขาวที่มักจะเกิดในหญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ หรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ๆ
  3. ลดความดันโลหิตสูง
  4. ลดไขมัน และคอเลสเตอรอล
  5. ป้องกันผนังหลอดเลือดหนา และแข็งตัว
  6. ลดน้ำตาลในเลือด
  7. ฆ่า หรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแทบทุกชนิด กล่าวคือ มีสารอัลลิซิน ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ที่มักทำให้เกิดโรคได้ถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะยับยั้งเชื้อพวกที่ดื้อยาเพนนิซิลินได้ดีกว่าเชื้อพวกที่ไม่ดื้อยา อีกด้วย นอกจากนี้ ยังฆ่าเชื้อบิดมีตัวที่มีพิษต่อลำไส้ได้ดี โดยมีสารที่สำคัญคือ "กาลิซิน" รวมทั้ง สามารถยับยั้งเชื้อบิดเทียม ซึ่งไม่รบกวนแบคทีเรียตัวอื่น ที่มีประโยชน์ต่อลำไส้
  8. ยับยั้งเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง และใช้รักษาแผลสด แผลที่เป็นหนอง คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เชื้อวัณโรค และเชื้อปอดบวม
  9. รักษาไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่
  10. เป็นยาขับเสมหะ และมีฤทธิ์ขับเหงื่อ และขับปัสสาวะ
  11. รักษาโรคไอกรน
  12. แก้หืด และโรคหลอดลม
  13. แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย
  14. ควบคุมโรคกระเพาะ คือ มีสารเอเอส 1 ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหาร มาย่อยแผลในกระเพาะ และยังช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้ด้วย
  15. ขับพยาธิต่าง ๆ ได้หลายชนิด ได้แก่ พยาธิเข็มหมุด พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย และมีรายงานทดสอบจากอินเดียว่า กระเทียมมีสารไดอัลลิลไดซัลไฟด์ มีฤทธิ์ใช้ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ดี
  16. แก้เคล็ดขัดยอก และเท้าแพลง เพราะ มีสารอัลลิซินเป็นตัวช่วย ทำให้เลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่ทาถูนวดยาได้ดีมากขึ้น
  17. แก้ปวดข้อ และปวดเมื่อย
  18. ต่อต้านเนื้องอก
  19. กำจัดพิษตะกั่ว
  20. บำรุงร่างกาย ประเทศญี่ปุ่นได้ค้นพบสารในกระเทียม ชื่อ สคอร์ดินิน ไม่มีกลิ่น แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโต และช่วยลดไขมันในร่างกาย

ยังมีผู้พบว่า ในกระเทียมมีธาตุเจอร์เมเนียมค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหืด โรคไต โรคตับอ่อน และอาการท้องผูก รวมถึงมีสารชักนำวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นเท่าตัว โดยรวมเป็นสารอัลลิลไทอะมิน ทำให้วิตามินบี 1 ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นถึง 20 เท่า



ที่มา
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดูแลผมสวยด้วยความลับจากธรรมชาติ

การสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง ด้วยการดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนที่รักสวยรักงาม

คนที่มีปัญหาเรื่องผมแห้ง

คนที่มีผมแห้งมักจะมีปัญหาเรื่องการหวี จัดทรงยาก ผมไม่มีสปริง ไม่มีน้ำหนัก ขาดชีวิตชีวา ทำให้หนังศีรษะแห้ง และเกิดสะเก็ดรังแคง่าย ลองใช้น้ำมันมะพร้าวผสมกับไข่ไก่ดู

วิธีการทำ เพียงใช้น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะตั้งไฟอ่อนผสมกับไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่แดง) ตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นให้รอจนเย็น แล้วนำไปลูบให้ทั่วศีรษะ นวดด้วยปลายนิ้วให้ทั่วทั้งด้านหน้าจรดท้ายทอย โดยใช้ฝ่ามือขยำ ๆ ขยี้ ๆ ให้ทั่ว เพื่อให้ซึมเข้าสู่เส้นผม หลังจากนั้นใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมเอาไว้ หมักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วสระด้วยแชมพูอ่อน ๆ อีกครั้ง ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมจะนุ่มดูมีน้ำหนักและจัดทรงง่ายขึ้น

ถ้าหคุณเป็นคน ที่ไม่ชอบกลิ่นของไข่ไก่ ให้ลองใช้สูตรน้ำมันมะกอก เพียงนำน้ำมันมะกอกอุ่น ๆ 2-3 ช้อนโต๊ะ นำมานวดหนังศีรษะ หวี และชโลมเส้นผมให้ทั่ว ซึ่งวิธีการนวดให้นวดเป็นวงกลมเล็ก ๆ เมื่อนวดจนทั่วศีรษะแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูพันศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นให้สระด้วยแชมพูอ่อน ๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้จะช่วยบำรุงเส้นผมให้กลับมามีสภาพดีได้เหมือนกัน

คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับรังแคบนศีรษะ

เมื่อไรที่รังแคมาเยือน มักจะมีอาการคันตามมาเสมอ แถมยังสร้างความอับอายขายหน้า ด้วยการออกมาโชว์ให้เห็นกันอยู่เสมอ ๆ ลองใช้สูตรน้ำมะนาว หรือ น้ำมะกรูด

วิธีการไม่ยาก เพียงคั้นน้ำมะนาว หรือน้ำมะกรูด ที่ผ่านการเผาไฟแล้ว มานวดหนังศีรษะ หลังสระผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ให้ล้างออก เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยลดเจ้ารังแคออกจากศีรษะได้แล้วละ

คนที่มีผมอ่อนแอหลุดร่วงง่าย


"ขิง" แก้ผมร่วง เชื่อได้เลยว่าใช้แล้วปัญหาหัวล้าน จะไม่มาเยือนคุณแน่นอน วิธีการง่าย ๆ เพียงนำเหง้าขิงสดมาเผาไฟ ทุบให้แตก ผสมน้ำนำไปขยี้ให้ทั่วศีรษะ วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 3 วัน หรือนำขิงแก่ 1 เหง้า ขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบาง เป็นลูกประคบ วางบนหม้อประคบที่ต้มน้ำจนเดือด เมื่อลูกประคบร้อน นำไปประคบบริเวณผมร่วง ทำวันละ 2 ครั้ง 20-30 นาที 3-5 วัน จะเห็นผล

คนที่มีเส้นผมหยิกหยักศก

ที่สำคัญยังพบอาการผมแห้ง และฟู ยิ่งถ้าทั้งหยิก และหนาด้วยแล้วล่ะก็ จะทำให้ศีรษะดูโต ฟูมากยิ่งขึ้น แต่ถ้ายังชอบผมทรงนี้อยู่ ไม่อยากที่จะยืดให้ตรงแล้วละก็ หมั่นบำรุงดูแลรักษา ด้วยวิธีต่อไปนี้ นำน้ำกับน้ำมะนาวผสมกันให้เจือจาง หลังจากนั้นนำมาชโลมผม หลังจากล้างผมน้ำสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น กรดในน้ำมะนาวจะช่วยให้ไฟเบอร์ในผมยึดเกาะกันได้แน่น ผมจะเรียบ หวีง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญจะทำให้ผมดูเงางามได้

คนที่มีผมมัน

ผมมันเป็นผมอีกแบบ ที่มักสร้างปัญหาตามมามากมาย ทั้งเป็นสะเก็ดรังแค หนังศีรษะคันง่าย การรักษาความสะอาดของเส้นผม จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถทำได้ แต่ทางที่ดีต้องบำรุงรักษาด้วยไข่ขาวผสมน้ำอุ่น รับรองอาการมันจะลดลง และหมดไปในที่สุด

วิธีการ คือ ใช้ไข่ขาว 1 ฟองกับน้ำอุ่น ½ แก้วตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำไปราดลงบนเส้นผม ใช้มือนวดให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยไม่ต้องสระผมซ้ำ ทำอย่างนี้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผมจะค่อย ๆ ปรับสภาพ และหายมัน

คนที่มีผมแตกปลาย


มักพบมากในคนที่ชอบทำสีผม การม้วนผม หรือการดัด ตัดซอยด้วยใบมีดโกน หรือในคนที่ต้องใช้ความร้อนกับผมบ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งใช้อุปกรณ์ตกแต่งทรงผมอย่างขาดความระมัดระวังก็ตาม วันนี้หมดกังวลได้เลย แค่ใช้ไข่ไก่ผสมกับน้ำมันงา และน้ำผึ้ง โดยใช้ไข่ไก่ (เฉพาะไข่แดง) จำนวน 2 ฟอง ผสมกับน้ำมันงา 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ตีผสมให้เข้ากัน หลังจากนั้นใช้น้ำอุ่นราดให้ทั่วศีรษะ แล้วค่อย ๆ นำส่วนผสมที่ทำไว้ เทลงไปให้ทั่วศีรษะคลุมด้วยผ้าขนหนูชุบกับน้ำอุ่น หมักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพูอ่อน ๆ อีกครั้ง แค่นี้ผมแตกปลายก็จะเริ่มมีสุขภาพดีขึ้นแล้ว

ผมทำสี

ต้องการการรักษาดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นสภาพผมที่อ่อนแอที่สุด นอกจากมีอาการแห้งกรอบ ภายในเส้นผมจะมีรูพรุนอยู่ทั่วไป ที่สำคัญยังเป็นต้นเหตุของปัญหาเส้นผม ทั้งผมร่วง แห้ง เสีย หากไม่อยากให้เส้นผม มีอายุการใช้งานสั้นเกิน ไปลองนำสูตรการดูแลเส้นผมสูตรน้ำมะนาว

วิธีการทำ ให้นำน้ำมะนาวจำนวน 2 ผลมาคั้น เอาแต่น้ำใส่บริเวณโคนผม ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้เป่าผมจนแห้ง วิธีนี้จะช่วยให้สีผมที่ทำมา ชัดขึ้น แถมยังบำรุงหนังศีรษะได้ด้วย

อาหารเสริมของเส้นผม

เพื่อให้เส้นผมอยู่กับเราไปนาน ๆ การเสริมสารอาหาร ที่จำเป็นสำหรับเส้นผม จากภายในด้วยการเลือกกินอาหาร ที่ช่วยบำรุงเส้นผมก็จำเป็นเช่นกัน ซึ่งอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูงอย่าง ฟักทอง มะละกอ ตำลึง หรือ แครอท เหล่านี้จะช่วยให้ผมเงางาม และมีน้ำหนักขึ้นได้ แต่ควรเสริม วิตามินซี และ อี ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก จากอาหารจำพวกข้าวไม่ขัดขาว ข้าวสาลี ไข่ ถั่ว นม ธัญพืช ผักผลไม้ และตับ เข้าไปด้วย จะทำให้ผมดูดียิ่งขึ้นได้ ที่สำคัญควรลดการดื่มน้ำอัดลม เพราะทำให้เลือดเป็นกรด และส่งผลให้เส้นผมสูญเสียแร่ธาตุไปในตัวได้

Friday, December 4, 2009

วิธีกำจัดสิวอย่างถูกวิธี

ถ้าหากมัวแต่แก้ไขเฉพาะสิว ที่เห็นภายนอก โดยไม่สนใจรักษาที่ต้นเหตุ ซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง การรักษาใด ๆ ก็ไม่ได้ผล เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ทำให้หัวสิวแห้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งนอกจากสิวจะไม่ยุบ และไม่สามารถดูดซับความมันบนหัวสิวแล้ว ยังระคายผิว และอาจก่อให้เกิดแผลเป็นอีกด้วย

ทำไมหัวขาว? ทำไมหัวดำ?

น้ำมันส่วนเกิน และเซลล์ผิวเก่า ที่มีมากผิดปกติ จะรวมตัวกันเป็นสารสีขาวนิ่ม ๆ อุดรูขุมขนไว้ ถ้าส่วนบนของรูขุมขนถูกปิดด้วยผิว ก็จะเรียกว่า "สิวหัวขาว" (Whitehead/Milia)

ถ้าไม่มีอะไรขวางรูขุมขน ส่วนบนของสารขาว ๆ ที่ก่อตัว จะถูกอากาศจนกลายเป็นสีดำ เรียกว่า สิวหัวดำ (Blackhead)

สิวอักเสบได้อย่างไร?

สิวหัวขาว และสิวหัวดำ จะกลายเป็นสิวอักเสบ เมื่อแบคทีเรียเติบโตในส่วนที่อุดตัน การอักเสบ และน้ำมันส่วนเกิน จะทำให้กำแพงของต่อมไขมันรั่ว และน้ำมัน เซลล์ผิวเก่า แบคทีเรียจะกระจายตัวไปทั่วเนื้อเยื่อผิวโดยรอบ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงต้องเข้าไปต่อสู้ ซ่อมแซมผิว จึงทำให้บวม เป็นตุ่มสิวอย่างที่เห็น

วิธีปราบสิว

วิธีปราบสิวที่ดีที่สุด คือ การขัดผิว เพื่อลดการสะสมตัวของเซลล์ผิวที่ตาย ทั้งบนผิว และในรูขุมขน การฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว การดูดซับความมัน และสร้างสมดุลให้กับฮอร์โมนของร่างกาย เพื่อควบคุมการผลิตน้ำมัน
  • การล้างหน้า : ควรใช้เคลนเซอร์ที่ละลายน้ำ และไม่ผสมสารที่ทำให้ระคายผิว เช่น สบู่ สครับ เพื่อเลี่ยงการกระตุ้นต่อมไขมัน ลดการอักเสบของผิว และความแห้งกร้าน ส่วนเคลนเซอร์ที่ผสมสารขัดลอกเซลล์ผิว สารยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย หรือดูดซับน้ำมันส่วนเกินจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เนื่องจาก ก่อนที่สารเหล่านี้จะออกฤทธิ์คุณก็ล้างออกเสียแล้ว
  • ขจัดเซลล์ผิว : เพราะสิวเกิดขึ้นภายในรูขุมขน และเกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมัน ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ผสมกรดซาลิไซลิก ซึ่งละลายในไขมัน จึงสามารถเข้าขัดลอกเซลล์ผิวเก่า ในรูขุมขนได้อย่างอ่อนโยน แนะนำให้ใช้ประเภทเจลหรือโลชั่นเนื้อเบา ๆ ซึ่งไม่ผสมสารสร้างความหนืด หรือสารให้ความชุ่มชื่น อันจะอุดตันรูขุมขน ส่วนสครับ หรือกรด AHA มักไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากตัวช่วยขัดลอกเซลล์ผิวเฉพาะภายนอก ไม่สามารถลงลึกถึงรูขุมขนได้
  • ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย : แอลกอฮอล์ หรือซัลเฟอร์ เป็นสารฆ่าเชื้อที่ดี แต่ทำให้ผิวแห้งและระคายจนทำให้เกิดสิวใหม่ คุณจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำ มีทีทรี หรือเบนซอยล์เพอร๊อกไซด์ ที่มีความเข้มข้นประมาณ 2.5% 5% หรือ 10% ส่วนการกินยาแอนตี้บอดี้สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งก่อสิวได้จริง แต่จะทำลายแบคทีเรียตัวที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายไปด้วยเช่นกัน
  • เพิ่มการสร้างเซลล์ผิว : คุณหมออาจให้ใช้สารจำพวกเตรตินอยน์ ดิเฟอรีน และกรดอะเซลาอิก ซึ่งช่วยให้เจริญเติบโตได้ดี จนสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของรูขุมขน และช่วยให้การขับน้ำมันสะดวกราบรื่น
  • ที่พึ่งสุดท้าย : ถ้าหากสิว ยังคงอยู่ทน แม้คุณจะทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบแล้วก็ตาม คุณก็ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะยังมียารับประทานอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า สามารถรักษาสิวได้ผลดีเยี่ยม นั่นก็คือ "อัคคูเทน" ซึ่งเป็นวิตามินเอปริมาณสูง มักใช้ในกรณีที่เกิดสิวรุนแรง และยังช่วยทำให้ผิวเนียนกระชับสวยขึ้นด้วย แต่ยาตัวนี้ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายจริง ๆ และต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น ก่อให้เกิดความผิดปกติในการตั้งครรภ์ และปัญหาทางจิตได้

ขอบตาดำ

ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เป็นประโยคที่ได้ยินเป็นประจำ การที่เราจะมองใครคนหนึ่งว่าสวยหรือไม่ ตาก็เป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง ถ้าใครมีดวงตาที่ผ่องใส ผิวหนังรอบตาไม่มีมลทิน ก็ทำให้หน้าดูสวยไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครมีปัญหาขอบตาคล้ำ ก็ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส ความสวยงามก็ลดลงไป

ดังนั้น การรักษาผิวรอบดวงตา ที่หมองคล้ำทำให้กลับมาสดใส จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ปัญหาใต้ตาคล้ำ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย ๆ ในคนไทย ก่อนจะมาถึงการรักษา ควรจะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน เพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และเป็นการป้องกันไม่ให้รอยดำเป็นมากขึ้นอีก

สาเหตุของขอบตาดำ


ขอบตาดำ มีสาเหตุอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ เช่น
  • กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง พ่อแม่ของคุณดูว่า เป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษา และป้องกันอาจจะยาก
  • ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำ ที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป
  • การระคายเคืองแถว ๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี ให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น
  • แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารเคมีบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่า แพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่
  • อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อย ในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อย ๆ หรือนอนดึก ก็คงต้องพยายามนอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม
  • เป็น "ปานโอตะ" คือ เซลล์เม็ดสี ที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบ ๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

การรักษาขอบตาดำ

ถ้าหากไม่ใจร้อน รักษาแบบได้ผลช้า ๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตา ที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้น และได้ผลเร็ว ๆ การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser

นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ที่ผิวบริเวณนั้น จะเป็นสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้ว จะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอย ๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำ เป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่ม เป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

Thursday, December 3, 2009

ต้านแก่ด้วยเมล็ดองุ่นสกัด

การต้านแก่ และการเรียกความอ่อนเยาว์กลับคืนมา ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนอื่นจะต้องรู้จักกำจัด และลดจำนวนอนุมูลอิสระในร่างกายให้ได้เสียก่อน เพราะอนุมูลอิสระถือเป็นวายร้ายตัวสำคัญ ที่คอยบ่อนทำลายสุขภาพกาย รวมไปถึงสุขภาพผิวพรรณอีกด้วย การรับประทานตัวต้านอนุมูลอิสระ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ "แอนติออกซิแดนท์" จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ที่จะช่วยชะลอความเสื่อมถอยของร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณ

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ผัก และผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงมีส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพ และถนอมผิวพรรณได้เป็นอย่างดี สำหรับแอนติออกซิแดนท์ที่รู้จักกันดี ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน ซีลีเนียม และสังกะสี นอกจากนี้ ยังพบว่ามีตัวต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ โอริโกเมริค โปรแอนโธไซยานิดิน (Oligomeric Proanthocyanidin) ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า OPC ที่พบมากในเมล็ด และเปลือกขององุ่น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง จนได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น ซุปเปอร์แอนติออกซิแดนท์ (Super Antioxidant) เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินซี 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอี 50 เท่า

สำหรับ OPC ในเมล็ดองุ่นสกัดนั้น พบว่ามีฤทธิ์ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซี ช่วยให้คอลลาเจนในผิวหนังแข็งแรง โดยการยับยั้งเอนไซม์ ที่ทำให้เซลล์ผิวหนังเสื่อม เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของ OPC ที่จับกับคอลลาเจนในผิวหนังได้ดี ทำให้มีฤทธิ์ป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง ป้องกันความผิดปกติของหลอดเลือดแดง และเส้นเลือดฝอย ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง

นอกจากตัวต้านอนุมูลอิสระ ที่พบได้ในผัก และผลไม้ อย่างเช่น ในเมล็ดองุ่นแล้ว ยังพบว่าโปรตีนชนิดไดเปปไทด์ ซึ่งอุดมอยู่ในซุปไก่สกัดที่ชื่อ แอนเซอรีน (ancerine) และคาโนซีน (carnosine) ก็มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และบำรุงร่างกาย จึงช่วยเสริมฤทธิ์ในการกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย พร้อมกับลดการเกิดใหม่ของอนุมูลอิสระได้อีกด้วย

การคงความอ่อนเยาว์ ให้อยู่คู่คุณไปได้นาน ๆ นอกจากการรับประทานอาหารที่ดีแล้ว การปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม เช่น การมองโลกในแง่ดี หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็เป็นสิ่งสำคัญในการต้านแก่ และการมีสุขภาพที่ดีของคุณอีกด้วยเช่นกัน

สมุนไพรรักษาสิว

อย่างที่เรารู้ ๆ กันว่า กลไกของการเกิดสิวนั้น มีด้วยกันหลายอย่าง เช่น อารมณ์ก็ทำให้เกิดสิวได้ เครียดมากก็สิวเห่อ อาหารบางอย่างก็ทำให่มีสิวได้เหมือนกัน เครื่องสำอางยิ่งหนัก ถ้าใช้แล้วแพ้ ล้างไม่สะอาด ไปอุดรูขุมขน ก็ยิ่งทำให้เกิดหัวสิวด้วยเช่นกัน

การดูแลใบหน้าให้สวยเปล่งปลั่งนั้น ทางทีดีเราควรจะเริ่มตั้งแต่การป้องกัน ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วค่อยมารักษา ซึ่งปัจจุบันนิ้ ผู้รักความสวยความงามทั้งหลาย หันมามอบความไว้วางใจให้กับสมุนไพรกันมากขึ้น ด้วยหวังว่า มันจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบ หรือมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรจำพวกที่ใช้ใบ ภายในจะมีวุ้นใส ๆ และยางเหลือง ๆ ยางสีเหลืองตัวนี้ต้องระวัง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้าเผลอเอาไปทาจะแสบร้อน บางคนก็จะแพ้ เกิดผื่นคันที่ผิว ซึ่งถ้าหากอยากทราบว่าเราจะแพ้หรือเปล่า ก็นำว่านหางจระเข้ที่ตัดมาใหม่ ๆ ทางบริเวณท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที ถ้ามีอาการคัน แปลว่า ผิวเราแพ้

คนส่วนใหญ่นิยมนำว่านหางจระเข้มาทาหน้า แต่ว่านชนิดนี้ไม่เหมาะกับคนผิวหน้าแห้ง ถ้านำมาใช้เดี่ยว ๆ จะทำให้ผิวหน้าแห้งลงไปอีก ถ้าจะนำมาใช้ให้ผสมกับน้ำมันมะกอก หรือไข่แดง คนแรง ๆ ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้สักพัก และล้างออก ผิวหน้าจะใส ชุ่มชื่นขึ้น แต่สำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน ให้นำว่านที่ตัดใหม่ ๆ ไปแช่น้ำให้ยางสีเหลืองไหลออกให้หมดก่อน แล้วให้ลอกเอาเฉพาะวุ้นที่อยู่ข้างในมาทา หรือพอกหน้าไว้สักพัก หน้าจะตึง รูขุมขนจะถูกบีบให้เล็กลง ทำให้ความมันบนใบหน้าลดลงได้

ส่วนใครที่เป็นสิวอักเสบบ่อย ๆ ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เช่นกัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ ใครที่มีความกังวลเรื่องฝ้า การใช้ว่านหางจระเข้แม้จะไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการป้องกันที่ดี เราสามารถนำมาทาเพื่อป้องกันรังสี UV ได้ ซึ่งเมื่อใช้เป็นประจำ ก็จะทำให้ปัญหาเรื่องฝ้าลดน้อยลงไป

หอมแดง


มีสมุนไพรอื่น ๆ อีกที่เราสามารถนำมาใช้บำรุงผิวหน้าได้ "หอมแดง" เมื่อเรานำมาฝานเป็นแว่น ๆ บาง ๆ นำไปทาบริเวณที่เป็นสิว เพื่อลบรอยด่างดำ ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ใช้เป็นประจำรอยสิวจะหายไป

กล้วยหอม

กล้วยหอมก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเช่นกัน ถ้าเรานำกล้วยหอม 1 ผล ไปปั่นกันน้ำผึ้ง 1 ถ้วย นำมาพอกหน้าไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก จะทำให้หน้าตาผิวพรรณสดใส

มะนาว


ส่วนมะนาว เรานำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลใบหน้าได้มากทีเดียว เราใช้มะนาวล้างหน้าแทนสบู่ หรือโฟมได้ หรืออาจจะใช้ไข่ขาว 1 ช้อนชา ดินสอพอง 2 เม็ดใหญ่ มะนาว 1 ลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อน น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันจะได้ครีมข้นนำมาพอกหน้า พอกตัวประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก ทำวันเว้นวัน ผิวพรรณจะใสนุ่มเนียน

Wednesday, December 2, 2009

8 โรคสุดฮิตของผู้บริหาร

ทุกวันนี้โรคภัย ไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มักจะมาพร้อมกับความเครียด โดยเฉพาะผู้ที่ต้องรับบทหนักในการทำงาน โดยเฉพาะผู้บริหาร ที่ยิ่งมีความรับผิดชอบสูงมากเท่าไหร่ ความเครียดก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และเมื่อเกิดความเครียด โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็มักจะถามหาเข้ามาไม่ขาดสาย ซึ่งโรคที่มีสาเหตุมาจากความเครียด ก็คงจะหนีไม่พ้นทั้ง 8 โรคนี้อย่างแน่นอน

ความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูงถือเป็นโรคที่มาแรงทีเดียวในกลุ่มผู้บริหาร เพราะการทำงานในแต่ละวัน ต้องเผชิญต่อความกดดัน และความเครียดอยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญโรคนี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย หลอดเลือดหัวใจ หรือหัวใจล้มเหลว สำหรับสัญญาณเตือนของโรคดังกล่าวนี้ สังเกตได้ง่าย ๆ จากอาการที่จะเกิดเสียงดังหวิว ๆ หรือหึ่ง ๆ ในหู หรือได้ยินเสียงชีพจรในศีรษะของตัวเอง เวียนศีรษะ โดยเฉพาะตอนเปลี่ยนอิริยาบถ นอกจากนี้ยังรู้สึกได้ว่า ใจสั่นบ่อย ๆ หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ขาบวม หงุดหงิด โดยไม่มีสาเหตุ เหนื่อย และเพลียผิดปกติ ซึ่งใครที่มีสัญญาณอันตรายดังกล่าว ก็ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพทันที

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke นั้น เกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือด ที่นำอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้เนื้อสมองเสียหาย อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ โรคสมองขาดเลือด เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน และโรคเลือดออกในสมอง เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ซึ่งจากสถิติของประเทศไทยพบว่า เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 และพบได้ร้อยละ 6 เลยทีเดียว

สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ก็สังเกตได้จาก ผู้ป่วยจะเกิดการชา หรือมีอาการแขนขาอ่อนแรง เกิดการสับสน พูดไม่ออก หรือไม่เข้าใจคำพูด เกิดปัญหาการมองเห็น งุนงง วิงเวียนศีรษะ เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง และเฉียบพลันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด เดินเซ ทรงตัวไม่อยู่ อาจเกิดร่วมกับอาการอ่อนแรง บางคนอาจหมดสติทันที

หลอดเลือดหัวใจตีบตัน


โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือโรคหัวใจขาดเลือด ถือได้ว่าเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ เป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย เกิดมาจากการตีบ หรือการอุดตันของเส้นเลือด จากการสะสมไขมัน คอเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดง ไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ตามปกติ

สาเหตุส่วนใหญ่เกิดมาจากความเครียด การรับประทานอาหาร ที่มีคอเลสเตอรอล และไขมันในปริมาณสูง และขาดการออกกำลังกาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนแต่นำมาสู่ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองตีบตันด้วยกันทั้งนั้น

อาการส่วนใหญ่มักมีอาการเฉียบพลัน เจ็บหน้าอกเหมือนมีอะไรมากดทับ หรือจุกแน่นลึก ๆ บริเวณใต้กระดูกหน้าอก หรือหน้าอกด้านซ้าย ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก วิงเวียน หรือวูบแบบเฉียบพลัน ซึ่งหากถึงมือแพทย์ช้า อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ตลอดชีวิต

โรคกระเพาะอาหาร


โรคนี้ถือเป็นโรคยอดฮิตในหมู่ผู้บริหาร เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ มักจะต้องทำงานแข่งกับเวลา และเคร่งเครียดอยู่กับงาน จนลืมที่จะรับประทานอาหาร หรือเกิดจากการดื่มสุรา สูบบุหรี่ อย่างหนัก พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดโรค กระเพาะอาหารได้ทั้งสิ้น

อาการส่วนใหญ่จะเกิดขึ้น เมื่อกินอาหารเข้าไปประมาณ 30 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ก็จะมีอาการปวดท้อง บางครั้งเมื่อรับประทานข้าวเสร็จ ก็ปวดท้องขึ้นมาในทันทีทันใด หรือปวดท้องก่อนรับประทานก็ได้ หรืออาจมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยร่วมด้วย

โรคมะเร็งตับ


โรคมะเร็งตับถือเป็นโรคมะเร็ง ที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะเพศชาย ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้มีอัตราเสี่ยงสูง สาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคพยาธิใบไม้ในตับ สารอะฟลาทอกซิน ไนโตรซามีน ที่พบอยู่ในตัวยากันบูด ปลาร้า เนื้อแห้ง โดยเฉพาะอาหารที่ใส่ดินประสิว ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือกรรมพันธุ์ เป็นต้น

อาการเริ่มแรกของโรคมะเร็งตับค่อนข้างคลุมเครือ บางรายอาจจะไม่เกิดอาการอะไร เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ทำงานไม่ค่อยไหว จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย บางรายเจ็บบริเวณชายโครงข้างขวา และอาจปวดร้าวไปที่ไหล่ข้างขวา หรือบริเวณลำตัวข้างขวาทั้งหมด ในระยะสุดท้าย จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง บางรายอาจมีน้ำในช่องท้อง ท้องมาน บวมที่ข้อเท้า

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานมักเกิดได้ง่ายกับคนอ้วน หรือผู้ที่รับประทานอาหาร ประเภทแป้งมากเกินไป รวมทั้ง ผู้ที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลาอย่างกลุ่มนักบริหาร เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางอย่างออกมา ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และจะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ในที่สุด

โรคเบาหวานมักพบจากการตรวจร่างกายประจำปี โดยไม่มีอาการผิดปกติให้สังเกตเห็น นอกจากอาการอ่อนเพลีย สมองมึนงง และถ้าตรวจว่าเป็นโรคเบาหวานแล้ว ต้องดูแลรักษากันตลอดชีวิต เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย แต่ถ้าปล่อยปละละเลย อาการของโรคจะกำเริบมากขึ้น

อาการระยะเฉียบพลัน เช่น เกิดภาวะน้ำตาลต่ำกว่าปกติ มักจะมีอาการหน้ามืด เหงื่อแตก ใจสั่น ขณะที่ระยะเรื้อรัง จะพบอาการปัสสาวะบ่อย คอแห้ง กระหายน้ำ ตาพร่ามัว สมรรถภาพทางเพศลดลง ความต้านทานโรคต่ำ ป่วยง่าย และมีโรคแทรกซ้อนในแบบอื่น ๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และระยะสุดท้าย อาจจะมีอาการเบาหวานลงไต อาจจะทำให้สูญเสียอวัยวะ เช่น เป็นแผลเรื้อรังที่เท้าจนต้องตัดทิ้ง

โรคถุงลมโป่งพอง

โรคถุงลมโป่งพองที่เกิดกับกลุ่มนักบริหาร มักจะเกิดกับผู้ที่สูบบุหรี่จัด เป็นเวลานาน ๆ หรืออยู่ในบริเวณที่มีควันบุหรี่ เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป สัญญาณเตือนภัยของผู้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง จะมีอาการไอ เริ่มจากไอแห้ง ๆ และมักไอมากตอนกลางคืน เวลาอากาศเย็น และตอนเช้าหลังตื่นนอน มีอาการเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย เป็นหวัด หลอดลมอักเสบบ่อย ๆ หรือมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง

โรคกระดูกพรุน

กระดูกพรุน คือ ภาวะที่มีเนื้อกระดูกบางตัวลง เนื่องจากมีการสร้างกระดูกน้อยกว่าการทำลายกระดูก ทำให้มีความเสี่ยงต่อการหัก หรือยุบตัวได้โดยง่าย มักเกิดขึ้นกับกลุ่มนักบริหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่สภาพร่างกายกำลังเสื่อมสมรรถภาพ และมักไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทำงานแข่งขันกับเวลา เครียด สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และกาแฟเป็นประจำ รวมทั้งมองข้ามอาการผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ของร่างกาย

โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย เช่น เคยมีประวัติกระดูกหักในครอบครัว จากภาวะกระดูกพรุน หรือรับประทานยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ควรเริ่มตรวจความหนาแน่นกระดูก เมื่ออายุ 40 ปี โดยในระยะแรกมักไม่มีอาการ เมื่อเริ่มมีอาการแสดงว่าเป็นโรคมากแล้ว

อาการสำคัญของโรคกระดูกพรุน ได้แก่ ปวดตามกระดูกส่วนกลาง ที่รับน้ำหนัก เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย ต่อมาความสูงของลำตัว จะค่อย ๆ ลดลง หลังจะโก่งค่อม หากหลังโก่งค่อมมาก ๆ จะทำให้ปวดหลังมาก เสียบุคลิก เคลื่อนไหวลำบาก ระบบทางเดินหายใจ และทางเดินอาหารถูกรบกวน

การป้องกัน

สิ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหาร ไม่ต้องพบกับภาวะของโรคต่าง ๆ เหล่านี้ ก็คือ การพยายามดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง โดยการใช้เวลาในวันสุดสัปดาห์ พักผ่อนอย่างเต็มที่ และต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกาย จะทำให้หัวใจ และปอดมีสมรรถภาพดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดความอ้วน ทำให้ไขมันใต้ผิวหนังหมดไป และเป็นการลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้อีกด้วย

นอกจากนั้น ก็ควรจะต้องฝึกนิสัยในการเลือกบริโภคอาหาร ที่มีคุณค่าทางอาหารเพียงพอให้ครบทุกมื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก สิ่งเสพติด เครื่องดื่มมึนเมา และสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้บริหารควรทำให้ได้ คือ การลดความเครียดให้มากที่สุด เพราะความเครียดเป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ รวมทั้ง ต้องหมั่นหาเวลาไปตรวจสุขภาพร่างกายทุกปี


ที่มา
ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพกรุงเทพ
โรงพยาบาลกรุงเทพ

หน้าเด้ง มือเหี่ยว ทำไงดี???

นอกจากรูปร่าง และหน้าตาที่เราใส่ใจกันมามากแล้ว สุขภาพของ “มือ” ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นหน้าเด้ง แต่มือเหี่ยวบ่งบอกอายุ คงจะไม่ดีแน่ ๆ

เรื่อง "มือ" ที่เเลดูเหี่ยวย่นนั้น มีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น จากกรรมพันธุ์ หรือจากการขาดการดูแล บางคนผิวแห้ง ก็ควรหมั่นทาครีมช่วยให้มือชุ่มชื่นขึ้น การล้างมือบ่อย ๆ ทำให้สูญเสียน้ำจากผิว รวมทั้งแสงแดด ก็เป็นตัวทำลายผิว และก่อให้เกิดเม็ดสีที่ผิดปกติได้เช่นกัน
เคล็ดลับง่าย ๆ

การดูแลมือด้วยตัวเองที่บ้าน เริ่มต้นที่ล้างมือด้วยสบู่อ่อน ๆ เช็ดให้แห้ง ก่อนชโลม Hand Cream ให้ทั่วมือ ซึ่งครีมควรมีส่วนผสมของ Q10 วิตามินอี วิตามินซี และสารกันแดด ครีมจะช่วยให้มืออ่อนนุ่ม ไม่หยาบกระด้าง เเละริ้วรอยเหี่ยว ๆ ก็จะดีขึ้น อีกทั้งป้องกันมือเหี่ยวย่น และหมองคล้ำ ควรหมั่นทาครีมบำรุงมือทุกครั้งหลังล้างมือ ยิ่งหากก่อนนอน หลังทาครีมบำรุงมือแล้ว หาถุงมือมาใส่ด้วยจะดีมาก ในช่วงนอนหลับมือจะนุ่มขึ้น


หากใครมีปัญหามือเหี่ยวย่นมาก ๆ ก็ต้องใจเย็น ๆ เพราะทุกอย่างเรื่องผิวมีวิธีเเก้ไขให้ดีขึ้นได้ ทางการแพทย์เองก็มีเครื่องมือหลากหลายชนิด ที่ช่วยแก้ไขปัญหามือแห้งเหี่ยว ให้กลับมานุ่ม ตึงกระชับได้ ที่ได้ผลดีก็เช่น

เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน

การใช้เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจนแบบคลื่นความถี่ เพื่อกระชับ และจัดเรียงเส้นใยคอลลาเจน และเสริมสร้างการเกิดใหม่ของอีลาสตินใต้ผิว ช่วยให้ผิวหนังบริเวณมือกระชับตึงขึ้น กระชับผิวหนังส่วนเกินได้ดี ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นได้ โดยทำเดือนละครั้งต่อเนื่องกัน 3-5 ครั้ง ซึ่งวิธีนี้มีเครื่องมือหลากหลายชนิด ที่มีข้อดีแตกต่างกันไปตามลักษณะปัญหาของผิว มีให้เลือกใช้มากมายทีเดียว หรือจะใช้แบบเห็นผลในครั้งเดียว แบบเทอร์มาจ ก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งผลที่ได้เรื่องการกระชับตึง ยังเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกในปัจจุบัน

สารเติมเต็ม

อีกวิธีหนึ่งเป็นการฉีด "สารเติมเต็ม" และสารคลายกล้ามเนื้อ ที่ใช้เทคนิคแบบยกกระชับ ช่วยให้มือเหี่ยว ๆ ย่น ๆ แห้ง ๆ ของคุณกลับมาเป็นมือที่นุ่มนวล เปล่งปลั่งขึ้นได้ แบบนี้ก็เห็นผลเร็วขึ้น แต่ก็มีผลข้างเคียง เรื่องรอยช้ำของเข็มเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะคนที่เขียวช้ำได้ง่าย หรือที่ทันสมัยสุด ๆ ก็เห็นจะเป็นเรื่องการใช้ไขมันตัวเองฉีดไปที่มือ หรือการฉีดออโตสเต็ม ก็จะสามารถแก้ปัญหามือเหี่ยวได้เช่นกัน

ส่วนเรื่องเม็ดสีและริ้วรอยเล็ก ๆ ในบางรายก็อาจใช้เลเซอร์แบบจุดต่อจุด ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นคอลลาเจน หรือใช้เลเซอร์กำจัดเม็ดสีแบบอ่อนโยน ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้

ไม่ว่าส่วนไหนของร่างกาย เราก็ต้องใส่ใจดูแล และให้ความสำคัญกับทุก ๆ ส่วน ปัจจุบันมีวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ไม่เจ็บ ไม่มีบาดแผล นวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป แต่สิ่งที่ต้องย้ำทุก ๆ ครั้งก็คงเป็นเรื่องความปลอดภัย ผลข้างเคียง และผลลัพธ์ ที่ได้จะมากน้อย ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง

ทั้งนี้ สาว ๆ ทั้งหลายก็ควรดูแลมือของคุณตั้งแต่วันนี้ เพื่อถนอมมือคู่สวยให้อ่อนนุ่ม เนียนสวยไปนาน ๆ หากไม่อยากมือเหี่ยวก่อนวัย แบบว่าหน้าเด้งแต่มือเหี่ยว...เสียเซลฟ์ได้นะจ้ะ


ที่มา
พญ. นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ

Tuesday, December 1, 2009

ชะลอแก่

จริงอยู่ธรรมชาติสร้างให้ร่างกายของคนเราเสื่อมตามกาลเวลาที่ผ่านไป แต่ 3-4 ปีก่อน วงการแพทย์ค้นพบ "ยีน" และพันธุกรรมในร่างกายมากขึ้น มีผลให้การรักษา และชะลอความชราของแพทย์ มีองค์ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธีมากขึ้น โดยผลที่ได้ คือ มนุษย์มีทางเลือกในการชะลอความแก่ให้มาถึงช้ากว่ากำหนดนั่นเอง

หากบอกว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข ที่ใช้เป็นเครื่องมือบอกว่า แต่ละคนเกิดมากี่ปี แต่อายุทางชีวภาพอย่างสุขภาพภายในร่างกาย และผิวพรรณสามารถชะลอ ให้มีความอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงของร่างกายได้ด้วยการดูแล

ความรู้พื้นฐานที่มีในตำราสุขศึกษา เมื่อสมัยเรียนมัธยมใช้ได้จริง ในด้านการดูแลสุขภาพตัวเอง ทั้งเรื่องอาหารการกิน วิธีการนอน การออกกำลังกาย แต่ควรมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับแต่ละคน หรืออาจปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมด้วย เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพได้อย่างตรงจุด เพราะบางคนอาจมีกิจวัตรประจำวัน ที่ต่างจากคนปกติทั่วไปก็ได้

วิธีการดูแล ให้อายุทางชีวภาพของร่างกายอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ทำง่ายทุกคนสามารถทำเองที่บ้านก็ได้ เช่น กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และกินเป็นเวลาทุกครั้ง เพื่อให้ระบบขับถ่ายก็เป็นเวลาไปด้วย การนอนพักผ่อน ก็ควรนอนให้เป็นเวลา หรือควรหลับให้ได้ก่อนเที่ยงคืน และใช้เวลานอนให้ได้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกาย ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

ทว่า กินให้ครบ 5 หมู่ และการนอน 6-8 ชั่วโมงยังไม่เพียงพอ สำหรับการชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ลงได้ หากไม่ขยับกล้ามเนื้อให้คึกคัก เพราะฉะนั้น ควรเสริมด้วยการออกกำลังกาย เผาผลาญพลังงานส่วนเกินของร่างกาย หรือลดความเครียด ระหว่างวันอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างต่ำ และสำหรับคนที่ป่วย หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

การดูแลร่างกาย เพื่อจะชะลอวัยชราให้มาถึงช้าก่อนวัยอันควร เริ่มได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะยิ่งร่างกาย ได้รับการดูแล ทั้งอาหารครบโภชนาการที่ร่างกายต้องการ การนอนที่เต็มอิ่ม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว ร่างกายเราก็จะไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน อีกทั้งมีอายุชีวภาพของร่างกาย ที่อ่อนเยาว์อยู่เสมอด้วย

คนที่ทำงานกลางคืน หรือ ต้องทำงานข้ามเวลาระหว่างประเทศ อย่างแอร์โฮสเตส พนักงานขับเครื่องบิน จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพได้มากที่สุด เนื่องจากสมองทำงานผิดเวลา กินอาหาร นอน ถ่ายไม่เป็นเวลา สามารถแก้ด้วยการออกกำลังกายได้เช่นกัน

การออกกำลังกายสำหรับคนที่ต้องนอนดึก กินอาหารเวลาดึก เล่นแชต อินเทอร์เน็ตมาก ๆ เวลากลางคืน หรือทำงานเกี่ยวกับทำอาหาร ควรใช้เวลาในการออกกำลังกายมากกว่าคนทั่วไป เพราะการกินอาหารในช่วงเวลาดึก จะเป็นการสะสมในร่างกายได้มากกว่า คนที่กินเวลากลางวัน

วิธีการนอนที่มีประสิทธิภาพ บรรยากาศในห้องนอนสำคัญมาก
ควรสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม เช่น ปิดไฟ ปิดทีวี ปิดเพลง เพื่อสร้างบรรยากาศให้เงียบ และมืดเหมาะแก่การนอนพักผ่อน กรณีที่จำเป็น ต้องเปิดไฟในห้องนอน สำหรับคนที่ไม่ชอบนอนในห้องมืด ๆ ควรเลือกใช้หลอดไฟ ที่ให้แสงสีโทนแดงอ่อน เพราะแสงสีขาว จะให้บรรยากาศที่คล้ายกับช่วงเวลากลางวัน และทำให้ร่างกายตื่นตัว ใช้เวลานอนหลับได้น้อย

อาหารเสริม และวิตามิน เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการดูแลร่างกายก็จริง หากแต่วิธีการกินที่ถูกต้อง
ไม่ควรหาซื้อมากินเอง ควรรับการตรวจร่างกายจากแพทย์ เพื่อดูความสมบูรณ์ของร่างกายก่อน จากนั้นปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโภชนาการว่า เราควรเสริมอะไร หรือควรลดอะไร เพื่อความสมดุลที่ดีของร่างกาย และความอ่อนเยาว์อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบางรายที่ร่างกายอยู่ในภาวะที่พร่อง หรือภาวะเกินของโภชนาการ แพทย์ก็อาจแนะนำให้กินอาหารเสริม ร่วมกับการออกกำลังกาย เพื่อลดความเสื่อมของร่างกายให้เหลือน้อยที่สุด และลดการพึ่งพาการศัลยกรรม แต่สวยจากภายในนั่นเอง

การจะชะลอความแก่สามารถเริ่มเองได้ที่บ้าน แต่หากไม่แน่ใจ ที่จะทำเอง ก็สามารถปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญโดยตรง เนื่องจากวิธีการดูแลแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยเหมาะ สำหรับคนที่เป็นโรคเรื้อรังในทุกโรค เพราะเป็นวิธีการดูแลร่างกายจากภายใน จะมีผลดีด้านการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และฟื้นฟูให้ร่างกาย ให้หายจากความเจ็บป่วย และกลับมามีร่างกายที่สมดุลได้วิธีหนึ่ง

ที่มา
นายแพทย์สมบูรณ์ รุ่งพรชัย
ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์

ไม่ใช่คุณไสยแต่เป็น..โรคไฟโบรมัยอัลเจีย

เมื่อแพทย์ตรวจหาอาการและรักษาไม่ได้ ผู้ป่วยมักนึกไปเองว่า ถูกคุณไสย หรือมนต์ดำ หากความจริงแล้ว เป็นความผิดปกติที่เล่นซ่อนแอบกันหมออยู่ ตัวอย่างเช่น คุณอัญชลี เจียรพฤฒ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ของบริษัทบัญชี และกฎหมายแห่งหนึ่ง ต้องทุกข์ทรมานกับอาการปวดหัวมานาน เข้าใจว่าเป็นไมเกรน โรคฮิต แต่หาหมอไม่หาย แต่กลับกระจายไปทั่วเนื้อตัว เธอทนมีชีวิตร่วมกับอาการปวดมา 8 ปี ถึงขนาดบางครั้งปวดจนนอนไม่ได้ ต่อให้ง่วง หรือเพลียแค่ไหนก็ตาม จนถึงขั้นเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า เหนื่อยตลอดเวลา ไม่อยากที่จะออกไปเที่ยวข้างนอกเหมือนทุกครั้ง

กว่าที่จะตรวจวินิจฉัยได้ว่า เป็นโรคชื่อประหลาดว่า "ไฟโบรมัยอัลเจีย" คุณอัญชลีต้องไปพบแพทย์ที่เชี่ยชาญด้านต่าง ๆ ถึง 9 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ด้านประสาทวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม ผู้เชี่ยวชาญการบำบัดโรคด้วยวิธีจับกระดูกสันหลัง แพทย์แผนจีน และแพทย์อายุรเวท แต่ก็ไม่เป็นผล การตรวจวินิจฉัยแต่ละสำนักก็แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนัก ยืนผิดท่า กระดูกเสื่อม และอื่น ๆ อีกมากมาย แม้รักษามาแล้วทุกวิธี แต่ก็ไม่หายขาดจากอาการพิกล

ภาวะปวดเรื้อรัง หรือ "ไฟโบรมัยอัลเจีย" เป็นโรคที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แม้กระทั่งในกลุ่มแพทย์เองก็เถอะ ทำให้การตรวจวินิจฉัยทำได้ยาก

อาการของ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย

ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดลุกลามอย่างเรื้อรัง และทำให้ร่างกายอ่อนแอ ขาดความสามารถที่จะใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ บั่นทอนคุณภาพชีวิต อาการไฟโปรมัยอัลเจียไม่ได้มีอาการปวดอย่างเดียว แต่ยังมีอาการร่วมอย่างอื่น เช่น อ่อนเพลีย นอนกระกสับกระส่าย ปวดข้อ มีรายงานพบว่า ผู้ป่วยบางรายมีอาการกลืนลำบาก กระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ชา ความจำถดถอย และเริ่มมีข้อมูลพบว่า ผู้ป่วยมีอาการทางจิตแทรกอยู่ด้วย เช่น หงุดหงิด ซึมเศร้า แต่ไม่ใช่ทุกรายต้องมีอาการเหลานี้หมด

คาดว่ามีประชากรราว 2% มีอาการปวดแบบไฟโปรมัยอัลเจีย ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ยอมรับกันสำหรับอาการดังกล่าว บางครั้งแพทย์ใช้การบำบัดทางจิต และพฤติกรรมบำบัดเข้าช่วย นอกเหนือจากให้ความรู้ผู้ป่วย ยา และให้อออกกำลังกาย

เนื่องจากเป็นโรค ที่ยังไม่อยู่ในสารบบของแพทย์ ทำให้ความเห็นเกี่ยวกับ ต้นเหตุของโรคแตกต่างกันไป การวินิจฉัยก็แตกต่างกันด้วย แพทย์บางรายไม่จัดให้ไฟโปรมัยเอเจียอยู่ในกลุ่มของโรค เพราะไม่มีอาการผิดปกติ ที่ตรวจสอบได้ทางร่างกาย ไม่มีวิธีทดสอบแบบมาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาผู้ป่วยด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ พบหลักฐานว่า ผู้ป่วยไฟโบรมัยอัลเจียมีการทำงานของสมองต่างจากกลุ่มควบคุม แต่การศึกษาดังกล่าว ยังแค่ชี้ให้เหนถึงความสัมพันธุ์กัน แต่ยังไม่ได้ระบุสาเหตุ

อาการปวดไฟโปรมัยอัลเจีย ยังเป็นผลมาจากความเครียดสมัยเด็ก หรือเพราะได้รับความเครียดสะสมรุนแรงมานาน นอกเหนือจากความผิดปกติทางสมอง หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพบว่า สาเหตุกลไกพยาธิสภาพความปวดของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย เกิดจากสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับรู้ความปวด และความเครียดอยู่ในสภาวะที่ไวกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดได้ง่าย และรุนแรงกว่าปกติ และมักจะมีอาการได้หลายแห่งทั่วร่างกาย

จากการสำรวจแพทย์ 941 คนและผู้ป่วย 506 รายจาก 5 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เกี่ยวกับแนวโน้มสถานการณ์ และความรู้ความเข้าใจของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเครือข่ายพันธมิตร เพื่อการรักษาความปวดจากไฟโบรมัยอัลเจียพบว่า โรคดังกล่าวมักพบมากในผู้หญิงวัยทำงานมากกว่าผู้ชาย อัตราส่วนหญิงต่อชายอยู่ที่ 9:1 หรือประมาณ 87% เป็นผู้ป่วยเพศหญิง

ผู้ป่วยโรคไฟโบรมัยอัลเจีย จะเริ่มจากอาการปวดเพียงจุด ๆ เดียว ในระดับที่ไม่ปวดมากนัก ก่อนที่ความปวด จะทวีความรุนแรง และขยายไปสู่จุดอื่น ๆ ทำให้มีอาการปวดเมื่อยตามตัว ฝืดตึงตามข้อต่าง ๆ และเป็นอาการเรื้อรัง ทำให้เครียด ส่งผลต่อการนอนหลับ

การวินิจฉัยเบื้องต้น

การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น แพทย์จะสอบประวัติของความเจ็บปวด ที่เกิดขึ้นกับร่างกายทั้งส่วนบน และส่วนล่าง รวมถึงบริเวณสันหลัง จากนั้นจะดู 18 จุดปวดทั่วร่าง และกดด้วยแรงกดประมาณ 4 กิโลกรัม หากพบว่า มีความเจ็บปวดมาก ตั้งแต่ 11 จุดขึ้นไป ถือว่า ผู้นั้นเป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจีย โดยที่หากเป็นความเจ็บปวด บริเวณที่ติดกันของกระดูก หรือกล้ามเนื้อ ไม่ถือเป็นภาวะโรคนี้

การรักษา

จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อบำบัดรักษาภาวะปวดเรื้อรัง ทำให้แผนการรักษาแบบองค์รวมเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ป่วยจะได้รับยา เพื่อระงับความเจ็บปวด กลุ่มยากันชัก เพื่อรักษาไฟโบรมัยอัลเจีย การออกกำลังกายแบบแอโรบิค การรักษาทางใจ เพื่อลดอาการซึมเศร้า และข้อมูลเพื่อความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่ตนเองเผชิญอยู่ ผู้ป่วยสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบและรักษาตัวได้เร็ว

สำหรับคนที่สงสัยว่า ตนเองจะเป็นโรคนี้อยู่หรือไม่ สามารถสังเกตได้ 2 ประการหลัก คือ ปวดเรื้อรังมา เป็นระยะเวลานานเกิน 3 เดือน และบริเวณที่ปวดนั้น เป็นทั่วร่างกาย โดยเป็นอาการปวด ที่เกิดขึ้นหลายจุดพร้อมกัน หากมีอาการข้างต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

ที่มา
รศ. นพ. ประดิษฐ์ ประทีปะวณิช

Friday, November 27, 2009

หน้าใส ด้วยวิธีง่าย ๆ

5 ขั้นตอนกับคำแนะนำของคุณหมอ

เป็นที่นิยมในปัจจุบัน สำหรับบรรดาสาว ๆ กับการดูแลผิวหน้าให้ใสปิ๊ง โดยลงทุนเสียสตางค์มากมาย ไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า รวมทั้งเข้ารับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งที่ "การล้างหน้า" เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ถูกมองข้าม สาวๆ หลายคนอาจแย้งว่า แค่การล้างหน้าจะช่วยให้สุขภาพผิวดีอย่างไร เป็นไปไม่ได้!! ขอให้ฟังจากผู้เชี่ยวชาญก่อนแล้วจะถึงบางอ้อ!!

ข้อแนะนำ


ก่อนล้างหน้าก็ต้องรู้จักผิวหน้าของตัวเองก่อน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าทั่ว ๆ ไป ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วใช้มือสัมผัสผิว โดยรวมมัน ถึงมันมาก แสดงว่า "ผิวมัน" หากผิวมันแค่บางส่วน ก็จัดอยู่ในกลุ่มผิวผสม แต่หากหน้าไม่มันเลย ก็แสดงว่า ผิวธรรมดา ถึงผิวแห้ง

เมื่อรู้สภาพผิวกันแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนความรู้ก่อนการล้างหน้ากันแล้ว ก่อนอื่นต้องล้างมือให้สะอาด จะให้ดีล้างด้วยน้ำอุ่นประมาณ 30 วินาที เพื่อให้อุณหภูมิพอเหมาะ ที่จะทำให้เนื้อครีมล้างหน้ากระจายได้ทั่วทั้งมือ และช่วยให้ผิวหน้า สามารถตอบรับครีมล้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น และต้องให้ความสำคัญกับใบหน้าทุกส่วนเท่า ๆ กัน เพราะจะทำให้เกิดความสมดุลทั่วใบหน้า โดยเฉพาะการนวด ต้องนวดอย่างเบามือ สม่ำเสมอ จะช่วยการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ส่งผลต่อการล้างหน้าที่ล้ำลึกสู่ชั้นผิว แค่นี้ก็จะมีใบหน้าที่เรียบเนียนกระจ่างใสขึ้น

เคล็ดลับการทำความสะอาดใบหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดีตลอดไปง่าย ๆ 5 ขั้นตอน คือ
  1. มั่นใจว่ามือ ผ้าเช็ดหน้าสะอาด และผลิตภัณฑ์เหมาะกับสภาพผิว
  2. น้ำต้องมีอุณภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อน หรือเย็นเกินไป
  3. ควรออกแรงถูอย่างสม่ำเสมอ ไม่เบา หรือแรงเกินไป
  4. ล้างผลิตภัณฑ์ออกโดยเร็ว และทั่วถึงทุกส่วนบนใบหน้า
  5. เมื่อมั่นใจว่า ผิวหน้าสะอาดแล้ว ก็ต้องซับให้แห้งสนิท

แค่นี้จะได้ผิวหน้าที่สวยใส ไม่ต้องไปพึ่งการขัด หน้า นวดหน้า ไอออนโต้ หรือทำทรีตเมนต์ใด ๆ การดูแลผิวหน้าให้ใสปิ๊งง่าย ๆ ถูกวิธี ถูกสตางค์ในกระเป๋าอีกต่างหาก!!

ที่มา
พ.ญ. สุนิดา ยุทธโยธิน
แพทย์ผิวหนัง แห่ง นิดา สกิน แอนด์ รีจูวิเนชั่น เซ็นเตอร์