Search This Blog

Monday, April 5, 2010

รักษามะเร็งตับ เงินน่ะมีไหม?

หนังสือรอดตายจากมะเร็งยกขบวนกันออกมา ก็ใช่ว่าเป็นมะเร็งแล้วรอดทุกราย (หรือตายทุกราย) เพราะปัจจัยสำคัญแท้จริงคือ เงินน่ะมีไหม?

ปัญหาของการรักษาโรคมะเร็ง คือ การเข้าไม่ถึงยา เนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ในการรักษา เฉลี่ยสูงถึง 2 แสนบาทต่อเดือน และถ้าหากมองถึงระยะยาว คนรายน้อยถึงปานกลางมีโอกาสในการรักษา เรียกว่าน้อยมาก โดยเฉพาะมะเร็งที่ไม่แสดงอาการให้เห็นอย่าง มะเร็งตับ

อย่างที่รู้กันว่า หากพบก้อนมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถ รักษาให้หายได้ ด้วยการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก ซึ่งค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาพบแพทย์ มักจะมาพร้อมกับก้อนมะเร็งในระยะลุกลาม การรักษาจึงรักษาไปตามไม่ช่วยให้หายขาด แต่สามารถยื้อชีวิตได้นานขึ้น

“หลังจากพบว่าเป็นมะเร็งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ใน ลักษณะประคับประคอง ช่วง 3-6 เดือน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาพยาบาลหลักแสนบาทต่อเดือน”

ค่าใช้จ่ายการวินิจฉัยรักษา เช่น การเอ็กซ์เรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท  การตรวจเลือด ฉีดสี เพื่อดูการทำงานของตับ การผ่าตัดปลูกถ่ายตับใหม่ การจี้ทำลายเซลล์มะเร็ง การรักษาดัวยเคมีบำบัด ซึ่งได้ผลเพียง 10% และยารักษาชนิดเจาะจงเฉพาะจุด ความหวังใหม่ในการรักษา ซึ่งแพทย์จะพิจารณาวิธีการตามอาการที่ปรากฏ

ปัจจุบันอัตราการเกิดโรคมะเร็งตับอยู่ที่ 30-40% ส่วนมากเป็นเพศชาย ที่อายุ 40-50 ปี ขณะที่เพศหญิงพบเพียง 10% ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ มักมาพบแพทย์เมื่ออาการ ลุกลาม หรือเมื่อเกิดภาวะตับแข็งขึ้นแล้ว เนื่องจากมะเร็งตับมักจะไม่แสดงอาการเมื่อ เริ่มเป็นในระยะแรก

เมื่อดูจากสถิติจะพบว่า ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ในระยะที่ปานกลาง มีโอกาสรอดชีวิตที่ 3 ปี ประมาณ 50% แต่หากมาด้วยมะเร็งตับระยะลุกลาม อัตรารอดชีวิตที่ 3 ปี เพียง 8%

แม้ว่าการรักษาแบบใหม่โดยใช้ยารักษาแบบเฉพาะจุด หรือ targeted cancer treatment  จะถูกคิดค้นขึ้น เพื่อแทนที่การรักษาแบบเดิม เช่น การฉายแสง หรือเคมีบำบัด ช่วยยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ยาวนานขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงยา ก็ไม่ได้ถูกลงไปกว่าการรักษา ด้วยเคมี แถมยังแพงกว่าด้วยซ้ำ

“ยาดังกล่าว สามารถบล็อคหรือหยุด การทำงานของเซลล์มะเร็ง ไม่ให้ทำลายเซลล์ข้างเคียง ซึ่งเป็นเซลล์ปกติ  เริ่มใช้รักษามะเร็งปอด และไต ประมาณ 8 ปี พิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุการอยู่รอดนานขึ้น จนกระทั่งเริ่มใช้กับมะเร็งตับใน ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในประเทศไทย ยาชนิดนี้พึ่งขึ้นทะเบียนโดย อย. เมื่อต้นปี

สำหรับประเทศไทยแล้ว การรักษามะเร็งสำหรับผู้ป่วยรายได้น้อย  คนฐานะปานกลาง หรือแม้แต่ข้าราชการ ที่มีสวัสดิการคุ้มครอง เป็นหลักประกันสุขภาพ ยังติดขัดในหลายด้าน  ทันทีที่งบประมาณด้านการรักษาพยาบาลถูกกระจายให้ครอบคลุมทุกโรค ผ่านทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำให้การเข้าถึงยารักษามะเร็งราคาแพง ที่ยากอยู่แล้ว แคบเข้าไปอีก

นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้แพทย์ ที่คลุกคลีกับอยู่กับผู้ป่วยโรงมะเร็ง เกิดความหวั่นใจ จากจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ หน้าใหม่ที่เข้ามายังสถาบันมะเร็ง ราว  4-5  รายต่อวัน ไม่รวมหน้าเก่า ใช่ว่าจะรักษาได้หายขาย

"ในเมื่อมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการตายของประชากรทั่วโลก ขณะที่มะเร็งตับ แม้จะครองอัน 3 รองจาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร จากจำนวนผู้ป่วยราว 6 แสน คนต่อปี เราต้องพยายามหากลไกช่วยเหลือผู้ป่วย ที่มีรายได้น้อย ไม่เกิน 2 ล้าน 5 แสนบาทต่อปี ให้สามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น"

หนทางที่จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง มีโอกาสเข้าถึงยาได้ในนาทีนี้ มีอยู่หนทางเดียว คือ ขอความร่วมมือจากบริษัทยา สนับสนุนการเข้าถึงยารักษาแบบใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคน เอเชียตะวันออก จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ที่พบเป็นโรคมะเร็งตับสูงกว่าคนยุโรป

มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้หารือกับบริษัท ไบเออร์ ผู้ผลิตยาดังกล่าว ริเริ่มโครงการ N-PAP เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาแบบเฉพาะจุดได้เช่นเดียวกับ ประเทศอื่น ๆ ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน

สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ ที่เข้าร่วมโครงการ สามารถทดลองใช้ยาเฉพาะจุดได้ หากสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายใน 3 เดือนแรก หรือราว 5-6 แสนบาท หากยาที่ได้รับช่วยให้ผู้ป่วยดีขึ้น จริง บริษัทยา จะยอมให้ใช้ยาฟรีตลอดการรักษา

ยาตัวนี้ ไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทุกคน ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับยา ยอมรับว่าเป็นวิธีการรักษาแบบเรื้อรัง อายุยืนยาวขึ้น 3 เดือน ถึง 1 ปี

มะเร็งตับที่เกิดจากเชื้อไวรัส ตับอักเสบบี  มักจะถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเริ่มแสดงอาการปรากฏเมื่อเข้าสู่วัย กลางคน หรือ 35-65 ปี กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง และควรเข้าถึงยาให้มากที่สุด ถ่ายทอดทางพันธุกรรมระหว่างคลอด ปรากฏการณ์ของโรคเกิดในวัยทำงาน

แน่นอนโครงการดังกล่าว มีเงื่อนไข โดยจำกัดเฉพาะผู้รายได้น้อย และมีความสามารถในการรับยา  ซึ่งไทยนับเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว และเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชีย รองจากจีน ที่เริ่มต้นการรักษาในรูปแบบนี้ไปแล้ว ตั้งแต่ยาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียน ในประเทศ

ประเทศไทยยังคงมีผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่เป็นจำนวนมาก หากแนวทางดังกล่าวได้ผล อาจนำไปสู่การผลักดัน การรักษามะเร็งชนิดอื่นตามมา โดยคาดว่าการเข้าถึงยาที่มากขึ้นในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ 200-500 คน จะสามารถลดอัตราการตายดังกล่าวได้ถึง 10% ภายในอีก 4-5 ปี

ที่มา
นายแพทย์วิโรจน์ เหล่าสุนทรศิริ
หัวหน้าศูนย์วิจัยทางคลินิก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

Saturday, March 13, 2010

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน

การปฐมพยาบาล คือ การให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในขั้นแรก ก่อนส่งโรงพยาบาล หรือก่อนจะถึงมือแพทย์ ทุกคนควรมีความรู้ในการปฐมพยาบาล เพื่อที่จะใช้เวลาทุกวินาที ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เพื่อช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่น


  
การปฐมพยาบาลนั้น ต้องทำด้วยความรวดเร็ว และถูกต้อง ขั้นแรกต้องระงับความตื่นเต้นตกใจ ตั้งสติให้ดี ไม่ว่าคนที่คุณต้องช่วยเหลือ จะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือแม้แต่คนแปลกหน้า
  • -พยายามอย่าให้คนมุง เพื่อให้คนเจ็บได้รับอากาศบริสุทธิ์ ปลอดโปร่ง มีแสงสว่างเพียงพอ และสะดวกในการปฐมพยาบาล
  • -โทรเรียกรถพยาบาลก่อน แล้วรีบตรวจดูคนเจ็บ และปฐมพยาบาลเบื้องต้น
  • -กรณีที่คนเจ็บยังมีสติ ควรแนะนำตัวเอง สอบถามชื่อนามสกุลของคนเจ็บ และสอบถามอาการ
  • -กรณีที่คนเจ็บหมดสติ ให้ตรวจดูว่ายังหายใจหรือไม่

การกู้ชีพ

  •  -หากคนเจ็บหายใจไม่สะดวก หรือหยุดหายใจ ให้เริ่มผายปอดแบบเป่าปาก โดยให้คนเจ็บนอนหงาย จับปลายคางให้เชิดขึ้น มือกดหน้าผากไว้ ตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่า ไม่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในปาก หรือลำคอ หากตรวจพบ ให้ล้วงออกมาให้หมด เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
  •  -ใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกคนเจ็บ มืออีกข้างดึงปลายคางไว้ เพื่อเปิดช่องปาก จากนั้นสูดลมเข้าปอด แล้วเป่าเข้าไปทางปากของคนเจ็บ สังเกตว่าลมเข้าปอด โดยดูจากการเคลื่อนไหวของหน้าอก รอให้ลมออกจากปอดก่อน แล้วจึงเป่าครั้งที่สอง
  •  -จากนั้นให้สำรวจชีพจร ง่ายที่สุด คือ ที่คอ บริเวณสองข้างของลูกกระเดือก หากคลำชีพจรไม่พบ ให้นวดหัวใจด้วย
วิธีการนวดหัวใจ

  •  -ให้นั่งคุกเข่าอยู่ข้างตัวคนเจ็บ ให้เข่าข้างหนึ่งอยู่บริเวณเอว อีกข้างอยู่บริเวณหัวไหล่ วางมือข้างที่ไม่ถนัด ตรงกึ่งกลางหน้าอกเหนือกระดูกลิ้นปี่เล็กน้อย วางมือข้างที่ถนัดไว้ด้านบน แล้วยืดแขนให้ตรง โน้มตัวมาข้างหน้า ถ่ายน้ำหนักลงไปบนแขน เริ่มนวดหัวใจโดยการกดมือลงไป
  • -จังหวะการนวด คือ 15 ครั้งต่อ 10 วินาที แรงกดให้ดูจากการยุบตัวของหน้าอก ควรยุบแค่ประมาณ 1 ½ ถึง 2 นิ้ว หลังจากนวดครบ 15 ครั้ง ให้เป่าปาก 2 ครั้ง แล้วตรวจดูชีพจรอีกครั้ง หากยังไม่มีชีพจร ให้เริ่มนวดหัวใจอีกครั้ง ทำจนกว่าคนเจ็บจะเริ่มหายใจเองได้ หรือรถพยาบาลมาถึง

การเคลื่อนย้ายคนเจ็บ

-หากบาดเจ็บที่คอ หรือกระดูกสันหลัง ห้ามเคลื่อนย้ายคนเจ็บ หากเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ ที่ประสบอุบัติเหตุ อย่าเพิ่งถอดหมวกกันน็อก จนกว่าจะตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีกระดูกคอ หรือหลังหัก

รู้ได้อย่างไรว่ากระดูกสันหลังหักหรือไม่

  • -หากเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่มีความรุนแรง มีโอกาสสูงที่คนเจ็บจะกระดูกสันหลังหักจากแรงกระแทก
  • -หากคนเจ็บยังมีสติ ลองให้เขาขยับนิ้วมือ นิ้วเท้า เป็นจังหวะ หรือลองให้คนเจ็บบีบมือของคุณ หากยังเคลื่อนไหวนิ้วได้ หรือยังมีแรงบีบ กระดูกสันหลังไม่น่าจะหัก
  • -ลองหาวัตถุแข็ง ๆ ลากบริเวณฝ่าเท้า หากมีการตอบสนองแบบเดียวกับจั๊กจี๋ หรือหัวแม่โป้งกระดิก เป็นสัญญาณที่ดี
  • -แต่หากลองทำทุกอย่างแล้ว ไม่มีการตอบสนองที่ดี นั่นเป็นสัญญาณว่า คนเจ็บอาจมีกระดูกสันหลังหัก ไม่ควรเคลื่อนย้ายคนเจ็บ ยกเว้นว่า อยู่ในสถานที่ที่เสี่ยงเกินไป เช่น ไฟไหม้ ใกล้เชื้อเพลิงที่อาจระเบิด บนถนนที่อาจถูกรถทับ หรือตึกที่กำลังจะถล่ม ให้เคลื่อนย้ายคนเจ็บอย่างถูกวิธี และทำด้วยความระมัดระวังที่สุด

วิธีการเคลื่อนย้าย

สำหรับคนเจ็บ ที่สงสัยว่าอาจจะมีกระดูกสันหลัง หรือกระดูกคอหัก ก็คือ การลากไหล่ โดยยืนอยู่เหนือศีรษะของคนเจ็บ ย่อเข่าลง สอดมือทั้งสองข้างเข้าไปที่ใต้แขนของคนเจ็บ แล้วจับให้แน่น ให้ศีรษะ และคอของคนเจ็บอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้างของคุณ ค่อย ๆ เดินถอยหลังทีละก้าวช้า ๆ โดยลากไปตรง ๆ ห้ามลากไปทางซ้าย หรือขวา พยายามให้ศีรษะ คอ ลำตัว และขาของคนเจ็บ อยู่ในแนวเส้นตรงระนาบเดียวกัน สังเกตด้วยว่า เสื้อของคนเจ็บไม่รั้งที่คอ จนขาดอากาศหายใจ

ให้ออกแรงลากโดยใช้กำลังขา ย่อเข่า พยายามให้หลังเหยียดตรง จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกหลัก และช่วยให้คุณไม่ปวดหลัง

การห้ามเลือด

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดของคนเจ็บโดยตรง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้รีบล้างมือด้วยสบู่ รวมทั้งบริเวณที่เปื้อนเลือด ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

การห้ามเลือดทำได้โดย

  • -ใช้นิ้วมือกดไว้ตรงบาดแผล
  • -ใช้ผ้าสะอาดพันปิดแผลไว้ อย่าให้แน่นจนชา
  • -หากไม่มีผ้าพันแผล เราสามารถดัดแปลงสิ่งของใกล้ตัวมาใช้ได้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ชายเสื้อ ชายกระโปรง เนคไท
  • -แผลที่แขน หรือขาให้ยกสูง จะช่วยให้เลือดไหลช้าลง ปกติเลือดจะหยุดไหล ภายในเวลาประมาณ 15 นาที ถ้าเลือดไหลไม่หยุด ให้กดเส้นเลือดแดงใหญ่ ที่ไปเลี้ยงแขน ขา
  • -การกดเส้นเลือดแดงใหญ่ เพื่อห้ามเลือด ให้กดบริเวณเหนือบาดแผล ตำแหน่งที่ใช้กดเพื่อห้ามเลือด คือ ถ้าเลือดไหลที่แขนให้กดแขนด้านใน ช่วงระหว่างข้อศอกและหัวไหล่ ถ้าเลือดไหลที่ขา ให้กดที่หน้าขาบริเวณขาหนีบ **การห้ามเลือดโดยการกดเส้นเลือดแดงใหญ่นั้น ควรทำก็ต่อเมื่อ ใช้วิธีการห้ามเลือดโดยการกดบาดแผล หรือใช้ผ้าพันแผลแล้ว ไม่ได้ผล เพราะจะทำให้อวัยวะที่ต่ำกว่าจุดกดขาดเลือดไปเลี้ยง หากกดนาน ๆ กล้ามเนื้ออาจตายได้ จึงไม่ควรกดเส้นเลือดแดงใหญ่เกินกว่าครั้งละ 15 นาที
  • -ไม่ควรถอดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าของคนเจ็บ แม้ว่าจะเปื้อนเลือดจนชุ่มแล้ว เพราะอาจยิ่งทำให้เลือดไหลออกมาอีก

กระดูกหัก

  • -หากมีเลือดออก ให้ห้ามเลือดทันที
  • -หากกระดูกแทงทะลุออกมานอกผิวหนัง ห้ามจับกระดูกกลับเข้าที่เดิม
  • -สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือคนเจ็บที่กระดูกหัก ก็คือ การใส่เฝือก เพื่อยึดไม่ให้มีการเคลื่อนไหว ถ้ากระดูกหักที่แขน มือ หรือข้อศอก ให้ใส่ผ้าคล้องแขนด้วย
  • -สิ่งที่จะใช้ทำเฝือกได้ ก็คือ วัสดุที่แข็ง และไม่ยืดหยุ่น เช่น ไม้กระดาน ด้ามไม้กวาด หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร ที่นำมาม้วนให้แข็ง หากพื้นผิวของวัสดุไม่เรียบ ให้หาผ้ารองไว้ชั้นในก่อน
  • -เฝือกควรมีความยาวมากกว่าอวัยวะส่วนที่หักเล็กน้อย ผูกเฝือกด้วยเชือก เนกไท ผ้าพันคอ หรือเศษผ้าที่หาได้ โดยไม่ควรผูกให้แน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากสังเกตว่าบริเวณนั้น เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ หรือมีอาการชา ให้รีบคลายเฝือกออก

แผลถูกแทง

  • -หากวัตถุที่แทงมีขนาดยาวมาก สามารถตัดให้สั้นลงได้ โดยทำอย่างระมัดระวัง แต่ห้ามดึงออก เพราะ จะทำให้เลือดออกมากยิ่งขึ้น หรือเพิ่มอันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียง
  • -ห้ามเลือดโดยใช้ห่วงผ้ารองไม่ให้วัตถุนั้นปักลึกมากยิ่งขึ้น
  • -ไม่ควรให้กินอะไรทั้งสิ้น ให้คนเจ็บอยู่นิ่ง ๆ ให้มากที่สุด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

แผลถูกยิง

  • -ห้ามเลือดโดยใช้วิธีกดลงบนบาดแผลโดยตรง หรือกดเส้นเลือดแดงเหนือบาดแผล
  • -ถ้ามีกระดูกหักร่วมด้วยให้ดามกระดูกที่หัก ให้คนเจ็บนอนนิ่ง ๆ ห่มผ้าให้อบอุ่น เพื่อป้องกันการช็อค
  • -งดให้น้ำ หรืออาหารใด ๆ แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

 

 

 

Tuesday, March 9, 2010

หลอดเลือดสมองผิดปกติ

"สมอง" อวัยวะชิ้นสำคัญของร่างกาย หากถูกโรคหลอดเลือดในสมองคุกคาม จะแสดงอาการโดยเฉียบพลัน ซึ่งลักษณะอาการที่เกิดขึ้น สามารถระบุตำแหน่ง ที่หลอดเลือดในสมองอุดตัน หรือมีเลือดออกได้
  
เริ่มจาก ‘สมองใหญ่’ มีขนาดใหญ่ และอยู่ด้านบนสุด สามารถแยกย่อยออกเป็น 5 ส่วน ประกอบด้วย
  • -สมองใหญ่ส่วนหน้า (Front lobe) มีหน้าที่สั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว หรือที่เข้าใจกันว่า สมองข้างขวาสั่งด้านซ้าย และสมองข้างซ้ายสั่งด้านขวานั่นเอง สมองบริเวณนี้หาก เกิดโรคหลอดเลือด จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรงด้านตรงข้ามกับสมองซีกที่เกิด ความผิดปกติ รวมทั้งใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หากเป็นมาก ร่างกายอาจไม่สามารถขยับได้เลย เรียกว่า อัมพาตครึ่งซีก แต่ถ้าพอขยับได้ เรียกว่า อัมพฤกษ์ แถมยังส่งผลกระทบต่อส่วนของการสั่งให้พูด หากเกิดขึ้นกับสมองด้านซ้าย โดยผู้ป่วยจะพูดไม่ได้ พูดได้บางคำ ต่อประโยคไม่ได้
  • -สมองใหญ่ส่วนข้าง (Parietal lobe) คอยรับรู้การสัมผัส ความรู้สึกเจ็บ ร้อน เย็น จากร่างกายซีกด้านตรงข้าม หากเกิดโรคหลอดเลือดสมองขึ้น จะเกิดอาการชาด้านตรงข้ามกับสมองที่เกิดปัญหา
  • -สมองใหญ่ส่วนขมับ (Temporal lobe) มีหน้าที่ในการจดจำ และแปลเสียง ที่ได้ยินเป็นภาษาที่ใช้ ถ้ามีปัญหาจะทำให้ผู้ป่วยไม่เข้าใจ เสียงที่ได้ยิน แม้เป็นภาษาที่ใช้มาก่อนก็ตาม
  • -สมองใหญ่ส่วนท้ายทอย (Occipital lobe) ทำหน้าที่ รับภาพที่ส่งมาจากตา หากโรคดังกล่าวเกิดขึ้นกับบริเวณนี้ จะทำให้มองไม่เห็นครึ่งซีกของลานสายตา
  • -สมองใหญ่ส่วนใน (Insular lobe) คอยควบคุมประสาทอัตโนมัติ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมอง
  
นอกจากสมองใหญ่แล้ว ยังมี แกนสมอง (Brain stem) มีสายใยประสาทจากสมองลงมาที่ไขสันหลัง และจากไขสันหลังขึ้นไปยังสมอง ควบคุมการทำงานของเส้นประสาทสมอง 12 คู่ ประสานการทรงตัวกับสมองเล็ก หากผิดปกติจะมีอาการแขน ขา อ่อนแรง ชา เห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด เดินเซ กินอาหารแล้วสำลัก เวียนศีรษะ ภาพหมุน อาจหมดสติโดยไม่รู้ตัว
  
สุดท้ายเป็น สมองเล็ก (Cerebellum) อยู่ด้านหลังสุด คอยประสานสมองต่าง ๆ ให้ทำงานสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะการเคลื่อนไหว หากสมองส่วนนี้เสีย ผู้ป่วยจะเดินเซ ทรงตัวไม่ได้ พูดไม่ชัด เวียนศีรษะ แต่ไม่มีอาการอ่อนแรง

ที่มา
โรงพยาบาลพญาไท

Monday, March 8, 2010

ซีเรียล โฮลวีท

เป็นที่ทราบกันดี ถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารมื้อเช้า แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของครอบครัวในปัจจุบัน ทำให้อาหารเช้า "ซีเรียล" ได้เข้ามามีบทบาท และกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญให้แก่ครอบครัวยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก  เพราะ สะดวก ง่ายในการเตรียม  และลงตัวเหมาะกับช่วงเวลาที่เร่งรีบ

ที่สำคัญที่สุด นอกจากคุณค่าทางสารอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีปริมาณน้ำตาล และไขมันที่น้อยกว่าอาหารเช้าทั่วไปที่นิยมรับประทาน  กล่าวว่า อาหารมื้อเช้าเป็นมื้ออาหารที่มีความสำคัญที่สุด ทุกวันที่เราตื่นขึ้นมา ร่างกายต้องการพลังงานในการประกอบกิจกรรมตลอดทั้งวัน   ดังนั้น ถ้าเราไม่กินอาหารเช้า จะทำให้เกิดกรด และเป็นโรคกระเพาะได้ การกินอาหารเช้าไม่จำเป็นต้องกินอาหารหนัก แต่ควรรับประทานให้ครบ 5 หมู่

ไลฟ์สไตล์ของครอบครัวในปัจจุบัน ต้องพบกับความเร่งรีบในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา "ซีเรียล โฮลวีท" จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่สามารถตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันได้อย่างค่อนข้างลงตัว  
เนื่องจาก ธัญพืชโฮลวีทผ่านกระบวนการผลิต ที่ขัดสีน้อย มีเยื่อหุ้มเมล็ด ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งต่างจากธัญพืชที่ขัดสีออกไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเหลือเป็นคาร์โบไฮเดรต  ซีเรียล โฮลวีท มีเส้นใยอาหารสูง อีกทั้งอุดมไปด้วยวิตามิน ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และมีแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยนำออกซิเจน ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ  ของร่างกาย รวมทั้ง ใยอาหาร เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับถ่าย เมื่อรับประทานซีเรียล ที่ทำจากโฮลวีทเป็นอาหารเช้า จะทำให้ร่างกายย่อยอาหารอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ ปลดปล่อยพลังงานออกมา ช่วยให้ร่างกาย มีพลังงานต่อเนื่องจนถึงมื้อกลางวัน  ทำให้มีสมาธิ ในการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ 

ซีเรียล โฮลวีท เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะคนที่ต้องการลดน้ำหนัก   ควรกินควบคู่กับนมพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย ซึ่งจะค่อย ๆ ย่อยเป็นพลังงานออกมา ทำให้อยู่ท้องได้นานกว่า และช่วยลดการกินอาหารจุกจิกระหว่างวัน

นอกจากนี้ โฮลวีทยังสามารถช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคหัวใจ  เพราะ โฮลวีทมีไฟเบอร์สูง ทำจากข้าวสาลีอบแห้ง ซึ่งจะมีโพแทสเซียม และฟอสฟอรัสสูง  สารอาหารพวกนี้จะช่วยในการบำรุงหัวใจ โรคความดันโลหิต  เพราะ อาหารประเภทธัญพืช และโฮลวีท มีโซเดียมน้อย จะช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวานชนิดที่สอง การกินอาหารประเภทธัญพืช จะช่วยลด และรักษาระดับน้ำตาลได้ โดยการชะลอการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต เข้าสู่กระแสเลือดได้อีกด้วย  โรคท้องผูก  ด้วยการได้รับสารอาหารที่มีไฟเบอร์สูง  เนื่องจาก กากใยอาหารจะเป็นตัวช่วย ในระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี  เพราะร่างกายย่อยไม่ได้

ที่มา
ภัทรพร ลูกน้ำเพชร นักกำหนดอาหาร
โรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล พหลโยธิน

ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด

เมื่อแฟนสุดเลิฟไม่ยอมคลุม "ถุงยาง" และยังไม่พร้อมมีบุตร ผู้หญิงจึงต้องยึดหลัก "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" กินยาคุมปลอดภัยไว้ก่อน  ผู้หญิงทุกวันนี้ นิยมกินยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ไม่ใช่กินเพราะคุมกำเนิดอย่างที่ผ่านมาแล้ว แต่ต้องการผลพลอยได้จากยาคุมในอีกมุมหนึ่ง ที่ทำให้ขนาดหน้าอกเพิ่มขึ้น สิวน้อยลง
“การกินยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด เพื่อรักษาสิว เพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่กว่าปกติ เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะ หากเลือกยาไม่สัมพันธ์กับฮอร์โมนในร่างกาย ผลที่ตามมา อาจเป็นผลข้างเคียงจากยา และยังสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง  หรือเฉพาะจุดที่ร่างกายมีปัญหาจะดีกว่า” 

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงในการพิจารณาเลือกซื้อยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด คือ จุดประสงค์ของยา ซึ่งเหมาะสำหรับการป้องกันการตั้งครรภ์ ในระยะเวลา 5-10 ปี   เนื่องจาก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก แต่ผู้กินต้องเสียเงินประจำทุกเดือน และต้องรับผิดชอบต่อตัวเอง ในการกินต่อเนื่องในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน

ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดโดยทั่วไป จะประกอบด้วย ฮอร์โมนสังเคราะห์ 2 ชนิด  คือ เอสโตรเจน และโปรเจสโตเจน ออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมน ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย เพื่อที่จะป้องกันการตั้งครรภ์ คนที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยยาคุมควรปรึกษาแพทย์ก่อน

การสังเกตว่า ยาคุมที่กินอยู่มีผลข้างเคียงหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง เช่น น้ำหนักตัว หลังจากกินยาคุมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่ มีอาการปวดศีรษะ หรือไมเกรน คลื่นไส้อาเจียน เจ็บตึงคัดเต้านม หน้าเป็นฝ้า ในระยะ 2-3 เดือนแรกของการกินยา   หรือมีอาการต่อเนื่องหรือไม่ และหากพบอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อขอคำแนะนำในการกินที่ถูกต้อง

สมัยก่อน ยาเม็ดคุมกำเนิดจะมีขนาดฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงถึง 150 ไมโครกรัม ซึ่งถือว่าสูงมาก ทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ง่าย   
วิธีเลือกซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดที่ปลอดภัย ควรพิจารณายาคุมกำเนิด ชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนในปริมาณต่ำเป็นอันดับแรก  เพราะ จะมีส่วนช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องน้ำหนักตัว หลังการกินยาต่อเนื่อง 2-3 เดือน

สำหรับคนที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจน และมีอาการน้ำหนักเพิ่มมากจนผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ เพื่อขอรับคำแนะนำเช่นกัน เพื่อสามารถพิจารณา เลือกกินยาคุมชนิดเม็ดแบบอื่น ที่สอดคล้องรับกับฮอร์โมนของร่างกายเรา   เนื่องจากปัจจุบัน มียาเม็ดคุมกำเนิดวางจำหน่ายในตลาดมากมายให้เลือก

ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดมี 3 ชนิดได้แก่ ชนิดฮอร์โมนรวม ชนิดฮอร์โมนเดี่ยว หรือชนิดไร้เอสโตรเจน และยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉิน โดยยาคุมชนิดเม็ดแบบไร้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เหมาะสำหรับคนที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจน ลดอาการข้างเคียง เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม อาการบวมน้ำ ไม่ตึงคัดเต้านม หน้าเป็นฝ้า รวมถึงลดการปวดศีรษะ แต่อาจมีราคาแพงกว่ายาคุมทั่วไป
การกินยาเม็ดคุมกำเนิดที่เหมาะกับร่างกาย ไม่เพียงลดอาการข้างเคียงดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในระยะยาว มีผลงานวิจัยบ่งชี้อีกว่า มีประสิทธิภาพ ช่วยเรื่องรอบเดือนให้มาสม่ำเสมอ ลดอาการปวดประจำเดือน และประจำเดือนมามาก โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และลดอาการเครียด ก่อนมีประจำเดือนได้ รวมถึงลดอาการก่อนวัยหมดประจำเดือน  

การกินยาคุมยังช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งลำไส้ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ก้อนเนื้องอกที่เต้านม และรังไข่ชนิดไม่ร้ายแรง การอักเสบในอุ้งเชิงกราน และการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย

สำหรับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉิน มีประสิทธิภาพคุมกำเนิดเพียง 70% ส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติ และอาจมีประจำเดือนแบบกะปิดกะปอยหลายเดือนต่อเนื่อง

สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น ควรเลือกกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติจะดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
“การคุมกำเนิดทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยากินแบบที่เป็นฮอร์โมน ยาฝัง ไม่ได้ป้องกันเรื่องกามโรค หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์   หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรหาวิธีการป้องกันอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย”

อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สาวประเภทสอง ที่หันมานิยมกินยาคุม เพื่อเสริมอึ๋ม นับว่าไม่สมควรกิน  เพราะ การที่หน้าอกใหญ่ขึ้น  เป็นอาการของเซลล์ที่หน้าอก มีการบวมน้ำ เหมือนมีฟองน้ำที่มีน้ำอัดอยู่เยอะ ๆ   ปัจจุบัน ถึงแม้ยังไม่มีงานวิจัย ที่บ่งชี้ว่ามีผลข้างเคียงอย่างใดต่อสาวประเภทสอง แต่ที่น่ากลัว คือ คนที่กินในปริมาณมาก เช้า กลางวัน เย็น อาจส่งผลให้ตับทำงานหนักจนเกิดภาวะตับวายได้

ที่มา
นพ. มานพชัย ธรรมคันโธ
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

Sunday, March 7, 2010

ข้อแนะนำในการเลือกซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย



ท่านที่กำลังตัดสินใจ ที่จะเริ่มต้นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ หรือท่านที่ออกกำลังกายอยู่แล้ว ด้วยวิธีการต่าง ๆ  เช่น การเดิน การวิ่ง การเต้นแอโรบิค ถ้าหากท่านเริ่มเบื่อ หรือมีเวลาน้อยลง ที่จะต้องเดินทางไปศูนย์ออกกำลังกาย ท่านอาจพิจารณาหาซื้ออุปกรณ์ หรือเครื่องออกกำลังกาย ซึ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน โดยมีข้อพิจารณา ดังนี้
  • -ท่านมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคข้อต่อเสื่อม โรคหืดหอบ โรคถุงลมโป่งโพง หรือโรคเรื้อรังต่าง ๆ  เช่น โรคไต โรคเบาหวาน ท่านควรที่จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เกี่ยวกับวิธีการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ซึ่งจะประกอบไปด้วย ความหนัก ความนาน และความบ่อย   ดังนั้น อุปกรณ์ หรือเครื่องออกกำลังกายชนิดใดเหมาะสม ท่านควรสอบถามจากแพทย์ด้วย
  • -อุปกรณ์ หรือเครื่องออกกำลังกายแต่ละชนิด จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายส่วนต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป ท่านควรจะเลือกอุปกรณ์ชนิดที่มีประโยชน์ ตรงกับความต้องการของท่าน
  • -อุปกรณ์ หรือเครื่องออกกำลังกายแต่ละชนิด จะให้ความสะดวกสบาย มีความยากง่ายในการใช้ มีความสนุกขณะออกกำลังกาย แตกต่างกันออกไป ตามความชอบของแต่ละบุคคล   ดังนั้น ถ้าท่านยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกชนิดใดดี ท่านอาจทดสอบอุปกรณ์เหล่านั้นจากศูนย์ออกกำลังกายต่าง ๆ  ก่อน
  • -อุปกรณ์ หรือเครื่องออกกำลังกายที่เป็นที่ชื่นชอบ หรือเหมาะสมกับทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก หรือ ปู่ ย่า ตา ยาย อาจจะหาไม่ได้ แต่ถ้าท่านคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยสำหรับทุกคนไว้ ท่านอาจสอบถามจากผู้ขาย และสมาชิกในครอบครัวด้วยก่อนตัดสินใจ
  • -ข้อสุดท้าย ถือเป็นข้อที่สำคัญที่สุด คือ อุปกรณ์และเครื่องออกกำลังกาย ไม่ใช่เป็นเฟอร์นิเจอร์ หรือของประดับบ้าน เหมือนเช่นที่หลาย ๆ บ้านมีไว้  หากท่านตัดสินใจเลือกซื้อชนิดใด หรือซื้อไว้แล้ว ขอให้ท่านได้เริ่มใช้ และสุขภาพของท่านจะดีขึ้นอย่างแน่นอน

ปานแดง ปานดำ

ปานแดง ปานดำ เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดทั้ง 2 อย่าง และเป็นปัญหาที่นำมากล่าวร่วมกัน แต่ในความจริงความผิดปกติทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นคนละเรื่องกันเลย 

กล่าวคือ ปานแดง เป็นความผิดปกติของเส้นเลือด ส่วนปานดำเป็นความผิดปกติของเซลล์สร้างสีของผิวหนัง 

หลักเกณฑ์ในการรักษาก็แตกต่างกัน คือ ปานแดง หรือ Strawberry Hemargiona นั้น เป็นมาแต่กำเนิด และอาจหายเองได้หรือ ฝ่อตัวลงได้เองโดยไม่ต้องทำอะไร   โดยทั่วไป เราจะดูอาการก่อนในขวบปีแรกหลังคลอด  หลังจากนั้น มักจะฝ่อตัวลง เรามักจะเริ่มให้การรักษาหลังจากอายุ 5 ปี ในส่วนที่เหลือ  ยกเว้น ปานแดงบางตำแหน่ง  เช่น บริเวณเปลือกตา, หรือมีเลือดออก เป็นต้น การรักษาปานแดงมีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้เลเซอร์ชนิดที่เหมาะกับปานแดง, การผ่าตัด หรือการฉีดยา

สำหรับการรักษาปานดำ หรือปานสีน้ำเงิน อาจรักษาโดยใช้เลเซอร์สำหรับปานดำ, การผ่าตัด, การรักษาโดยใช้ความเย็น เป็นต้น

ข้อเสนอแนะสำหรับความผิดปกติในเรื่องนี้ คือ การรักษาเรื่องปานแดงและปานดำนี้ เป็นความพิการที่มีมาแต่กำเนิด ที่สามารถรับการปรึกษา และรักษาได้ในโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งปัจจุบันมีหลายตำแหน่ง ที่มีเครื่องมือพร้อมในการรักษาอยู่แล้ว