เหตุเกิดเพราะความไม่สมดุล
ในร่างกายเราจะมีทั้งเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียอยู่ ซึ่งโดยปกติเชื้อรา และแบคทีเรียจะสมดุลกัน ทำให้เชื้อราสงบไม่เจริญเติบโต เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่ไปทำให้ความสมดุลของเชื้อรากับเชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งแวดล้อมในช่องคลอดเปลี่ยนแปลงไป อะไรก็ตามที่ทำให้แบคทีเรียในช่องคลอดน้อยลง เชื้อราในช่องคลอดก็มักจะเจริญมากขึ้น
การดูแลตัวเองให้ห่างไกลเชื้อรา
เชื้อราในช่องคลอดไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับคุณผู้หญิง ที่นอกจากจะส่งผลถึงสุขภาพ และอนามัยแล้ว ยังส่งผลต่อบุคลิกภาพ ที่คงจะไม่ดีแน่ ๆ ถ้าหาก คุณเกิดอาการคันในร่มผ้าในที่สาธารณะ ฉะนั้น ป้องกันไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ดังนั้น จึงมีวิธีการดูแลตัวเอง เพื่อให้คุณปลอดจากอาการคันอันไม่พึงประสงค์ ให้หงุดหงิดใจมาให้
1. ขจัดความอับชื้น
เรื่องของชุดชั้นในที่คุณผู้หญิงใส่อยู่ ก็ถือเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่จะก่อให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด โดยเฉพาะกางเกงในที่ระบายอากาศไม่ค่อยดี มีความอับชื้น และชุ่มเหงื่อ ยิ่งในหน้าฝน ที่เสื้อผ้ามักจะแห้งไม่สนิท ก็อาจมีสปอร์เชื้อราอยู่ ดังนั้น ควรดูแลชุดชั้นในของคุณให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ และควรตรวจตราคอยเคลียร์ชั้นในตัวเก่า ที่ซุกอยู่ก้นตู้ เพราะอาจมีสปอร์ติด อยู่ด้วยเช่นกัน2. ความสะอาดแต่พอดี
นอกจากนี้ การใส่ผ้าอนามัยระหว่างมีประจำเดือน ก็ควรต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ และหากไม่ได้อยู่ในช่วงรอบเดือน ก็ไม่ควรต้องใส่ผ้าอนามัย เพราะจะทำให้เกิดการอับชื้นมากกว่า
สำหรับผู้ที่ชอบใช้น้ำยา เพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ถ้าใช้นาน ๆ ก็อาจทำให้ความเป็นกรดด่างในช่องคลอดเปลี่ยนแปลง และเป็นสาเหตุทำให้มีเชื้อราขึ้นได้ และบางคนอาจแพ้สารเคมีในน้ำยาอีกด้วย ซึ่งการทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นนั้น เพียงใช้สบู่ และน้ำธรรมดาก็เพียงพอแล้ว3. ลดของหวาน
การกินของหวาน หมายถึง การที่คุณจะมีปริมาณน้ำตาลในเซลล์ต่าง ๆ เยอะขึ้น ซึ่งพบว่า เป็นอาหารโปรดของเชื้อรา ทำให้เจริญเติบโตได้ดี คนไข้ที่เป็นเชื้อราในช่องคลอดบ่อย ๆ คุณหมอก็จะให้หลีกเลี่ยงน้ำตาล และของหวาน4. ระวังการกินยา
เพราะสำหรับคนที่กินยาแก้อักเสบ กินยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ หรือได้รับยาประเภทกดภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเลือด หรือการทำเคมีบำบัดนั้น จะส่งผลให้แบคทีเรียในช่องคลอดลดลง ทำให้ความสมดุลกรดด่างในช่องคลอดเปลี่ยนไป เชื้อราก็จะเจริญเติบโตขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยง ในการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ง่ายขึ้นเป็นแล้วรักษาอย่างไร?
สำหรับการรักษาเชื้อราในช่องคลอดนั้น ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ให้ยารับประทาน และการรักษาในช่องคลอด ซึ่งเป็นสอดยาฆ่าเชื้อราเข้าไปในช่องคลอด มีทั้งในรูปของยาเม็ด และยาทา
การดูแลสุขภาพ และอนามัยของตนเอง ให้ตัวเราปลอดจากเจ้าเชื้อราตัวร้าย ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะหากเป็นเชื้อรานาน ๆ เข้า แม้จะไม่มีอันตรายร้ายแรง นอกจากจะมีอาการคันร่มผ้าที่ทำให้เสียบุคลิก ยังจะมีอาการคันใจเข้ามาด้วย
เรื่องควรรู้ของแม่ท้อง กับเชื้อรา
- การเกิดเชื้อราในช่องคลอด ที่พบมากที่สุดเลย คือ เมื่อตั้งครรภ์ เพราะเมื่อแม่ท้องจะมีฮอร์โมนออกมามาก ซึ่งไปกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดด่างในช่องคลอด ทำให้เชื้อรามีอาหารที่จะเจริญเติบโตมากขึ้น ทำให้มีระดูขาวมากขึ้น และอาจมีการอักเสบของปากช่องคลอด
- เชื้อราในช่องคลอดนั้น จะไม่ผ่านไปสู่ลูก แต่หากแม่ท้องเป็นเชื้อราในช่องคลอดแล้ว ไม่ได้รักษาให้หาย และเป็นเชื้อราในช่องคลอด ขณะที่คลอดลูกผ่านทางช่องคลอด จะทำให้เด็กอาจมีเชื้อราในลิ้น ในปาก และก้นได้
- การรักษาอาการนี้สำหรับแม่ท้อง แพทย์มักจะให้ยาทาหรือยาสอด แต่ไม่ให้ยา เพราะกลัวจะมีผลถึงเด็กในครรภ์
- เมื่อคุณแม่ท้อง มีอาการคันที่อวัยวะเพศ หรือมีระดูขาวมาผิดปกติ ก็ควรบอกคุณหมอ เพื่อจะได้ทำการตรวจ และรักษาต่อไป ซึ่งอาการนี้อาจจะไม่ได้เกิดในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่ก็ต้องคอยสังเกตตัวเองอยู่เป็นระยะ
อาการของผู้ที่มีปัญหาเชื้อราในช่องคลอด จะมีอาการคันบริเวณแถว ๆ ปากช่องคลอด หรืออาจจะมีระดูขาวที่มากผิดปกติ มีลักษณะคล้ายแหวะนมเด็ก เป็นเม็ดขาว ๆ ถ้าเป็นมาก ๆ ก็จะคันบริเวณปากช่องคลอด หากเกามาก ๆ ก็จะเกิดการอักเสบต่อไปได้ ซึ่งเมื่อมีอาการเช่นนี้ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการรักษาต่อไป
แต่หากคุณเป็นซ้ำเกินปีละ 4 ครั้ง ถือว่าเป็นอาการเรื้อรัง อาจต้องรักษายาวด้วยการให้ยาถึง 6 อาทิตย์ ซึ่งอาการเรื้อรังเช่นนี้ อาจเป็นอาการแอบแฝงของโรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ได้อีกด้วย
No comments:
Post a Comment