ย่างเจ้าฤดูอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หรือซีซั่นเชนจ์ อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ แถมวิงเวียนศีรษะเริ่มมาเยือน พอให้รำคาญ ซึ่งความจริงไม่ถึงกับต้องไปอ้าปากปลิ้นตาให้หมดดู แค่ดื่มน้ำอุ่น พักผ่อนให้มาก เช็ดตัวเพื่อระบายความร้อนจากร่างกายก็พอ ร่างกายมนุษย์เรามีกองทัพภูมิต้านทาน คอยกำราบหวัดธรรมดาได้สบายอยู่แล้ว รำคาญมากพึ่งยาแก้หวัดก็ไม่ผิดกฎเกณฑ์ชีวิตอะไร
แต่พอมีผลวิจัย ตั้งข้อสังเกตว่า ต้นเหตุของโรคในปัจจุบัน อาจเกิดจากการบริโภคยาเคมีมากเกินไป และทำให้มีผลข้างเคียงมาก บวกกับสารพิษรอบตัวมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ร่างกายขับเอาของเสียออกไปได้ยาก จึงติดขัดตามระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เกิดภาวะตกต่ำเสียศูนย์ แถมแพทย์ปัจจุบันกลับมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะจุดเท่านั้น
เอาละ ถ้าไม่อยากกินยาให้มากความ ลอง " นวดเท้าบรรเทาอาการหวัด " ดูบ้างไหม
คุณอาจสงสัยว่าเป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหล ปวดหัวหนึบ ไอมีเสลด แต่เหตุไฉน ถึงแนะนำให้ไปนวดเท้า อวัยวะอยู่ห่างกันเป็นเมตรเลยนะนั่น แต่อาจารย์สุทัศน์ กุลสันติพงค์ เจ้าของศูนย์เสริมสุขภาพเซิ่งกู่ บอกว่า " ฝ่าเท้า " เปรียบเสมือนกระจกส่องสะท้อนสุขภาพของเรา และเป็นศูนย์รวมประสาททั้งหมดของร่างกาย
อาจารย์สุทัศน์ร่ำเรียนศาสตร์นวดฝ่าเท้าแบบจีน มาจากอาจารย์จงเชิงเวย แพทย์จีนเมืองจูไห่ ที่ตระกูลถ่ายทอด และสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เรียกว่าใครมาหาหมอ ไม่ต้องอ้าปากใช้ไฟฉายส่อง แต่ยกเท้าให้ดูก็พอ
ถ้าผู้ป่วยเพิ่งมีอาการ 1-2 สัปดาห์ เพียงแค่ตัวร้อน และไม่รุนแรงมาก เช่น ไม่ไอ หรือหอบ ก็จะลงมือทำความสะอาดเท้าก่อนเป็นอันดับแรก แล้วนวดให้ทั่วเท้าเพื่อปรับสภาพ จากนั้นหมอทางเลือกจะใช้แท่งไม้ วางลงตรงบริเวณที่จะนวดกระตุ้นจุดเชื่อมต่ออวัยวะ แล้วออกแรงกดช้า ๆ พอให้รู้สึกเจ็บ แล้วค่อย ผ่อนแรงกด แล้วนวดกระตุ้นซ้ำอีก
การลากไม้ลงที่บริเวณกลางฝ่าเท้า ก็เพื่อกระตุ้นให้ไตทำงานทันที ต่อมาลากไม้ตามขวาง ที่จุดสะท้อนบริเวณฝ่าเท้า บริเวณใต้นิ้วชี้ถึงนิ้วก้อย เพื่อกระตุ้นการทำงานของทรวงอก เช่น หัวใจ และม้าม ปอด กะบังลม ขยายไปจนถึงแผ่นหลัง ตามด้วยการจรดไม้ไปที่ข้างหัวนิ้วโป้งด้านนอก เพื่อให้สะท้อนจุดสมอง ช่วยผ่อนคลาย หลับสบาย และแก้หวัดได้เร็วขึ้นด้วย
หมอยังคอยต้องนวดกดจุดข้างนิ้วทั้งสี่ เพราะทุกนิ้วจะเกี่ยวข้องกับตับ ระบบย่อย ลำไส้ ดวงตา ตลอดจนระบบประสาท ที่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงจากหวัด เช่น ปวดหัว ไมเกรน เป็นต้น
ข้อต่อเท้าและข้อเท้า ใต้ตาตุ่ม และเหนือส้นเท้า ซึ่งถือเป็นจุดสะท้อนสมอง เพื่อบรรเทาอาการปวดหัว และสุดท้ายจบที่บริเวณหลังเท้า ซึ่งจะเชื่อมโยงกับต่อมน้ำเหลือง เพื่อขับของเสีย
อาจารย์เล่าว่า หากตรงไหนยังเจ็บอยู่ ก็จะแก้จนกว่าจะหายเจ็บ ซึ่งระยะเวลานวดแต่ละครั้งของการรักษาประมาณ 20 - 30 นาที
เมื่อใช้วิธีนวดฝ่าเท้า เพื่อปรับสมดุลแล้ว ต้องต่อด้วยศาสตร์กดจุดลมปราณ เพื่อกระตุ้นให้เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวกขึ้น ถือเป็นการเร่งปฏิกิริยาของร่างกายให้ทำงาน เป็นระบบเร็ว และดีขึ้นกว่า 7 เท่าตัว
หลังจากคนป่วยนอนคว่ำเหยียดตัวอย่างสบายแล้ว ก็สตาร์ทที่การนวดคลึงบริเวณกลางหลังใต้หัวไหล่ทั้งสองด้าน และนวดไล่จากข้างบนไล่มาข้างล่าง เพื่อวอร์มอัพ และกระตุ้นระบบหายใจให้ไหลเวียนดีขึ้น หากต้องการแก้หวัดจะเน้นนวดคลึงจุดลมปราณ บริเวณหลังช่วงบน ซึ่งจะเกี่ยวกับระบบหายใจ ได้แก่ ปอด หัวใจ
ภายหลังจากนวดฝ่าเท้า ตามด้วยการกดจุดลมปราณ เพื่อกระตุ้นเซลล์ประสาทที่หล่อเลี้ยงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วผลักดันเลือด และเซลล์ของเม็ดเลือด ที่หล่อเลี้ยงอยู่ไหลเวียนอย่างมีระเบียบ และทำงานมีประสิทธิภาพเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือ อุณหภูมิของผู้ป่วยด้วยอาการหวัดที่สูงกว่า 38-39 องศาเซลเซียสจะลดลงภายในหนึ่งวัน รวมทั้งน้ำมูกหยุดไหล และสบายตัวขึ้น
ถ้ามีอาการเรื้อรังนานนับเดือน หรือไข้หวัดใหญ่ คงต้องใช้เวลาในการนวดบำบัดต่อเนื่องกันอีก 7-10 วัน และอาจมีอาการข้างเคียง เช่น ไอ และขับเสมหะ บ้างเป็นเรื่องปกติ
นอกจากนี้ยังสามารถใช้ " วิธีการบำบัด ด้วยถ้วยสูญญากาศ " ควบคู่ ตามจุดลมปราณ บริเวณแผ่นหลัง เพื่อช่วยรักษาผู้ป่วย ที่มีสารพิษสะสมไว้ในร่างกายมาก ๆ จนสะท้อนด้วยอาการหวัด
การใช้ถ้วยสุญญากาศ จะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที และผู้เข้ารับการบำบัด ต้องอาศัยความอดทนสูง หากอวัยวะใดผิดปกติ ก็จะสะท้อนในรูปของจุดลิ่มเลือดรอบปากขวดบริเวณนั้น ซึ่งถ้วยจะทำหน้าที่ ขับสารพิษบริเวณนั้นผ่านละอองน้ำ และน้ำเหลืองออกมา
อาจารย์สุทัศน์ บอกว่า ภายหลังการบำบัดด้วยสามวิธีข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายได้รักษาตัวเองให้สมบูรณ์ตลอดเวลา
No comments:
Post a Comment