Search This Blog

Wednesday, September 16, 2009

เด็ก กับ ของหวาน

เด็ก ๆ กับ " ของหวาน " นี่เป็นสองสิ่งที่แยกกันไม่ได้เลย ความหวานทำให้เกิดความสดชื่น จนบางคนถือว่า การได้กินของหวานทำให้แจ่มใส มีความสุข แต่อาจเกิดอาการติดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่น่ามีอะไรที่เป็นปัญหามาก แต่ตามหลักทางพุทธของเราอะไร ๆ ที่มากเกินพอดี ก็มักมีปัญหาทั้งนั้น

เรื่องของหวาน ๆ นี่ตามธรรมชาติ ก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สำหรับเด็ก และทุกคน เนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีรสหวาน จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมา ในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่า แม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมาก ถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว

ปัญหาก็คือ เมื่อกินของที่มีรสหวาน ก็จะเกิดความอยากบ่อยขึ้น และจะเกิดอาการติดใจ เลยกินไม่เลิก ตอนนี้แหละครับลำบาก ในเด็ก ๆ นี่เร็วมากครับ พอได้ลิ้มชิมรสหวานแล้วละก็ ไม่เอาแล้วของรสจืด เลิกกินกันไปเลย ปัญหาก็คือของที่เราป้อนไม่ว่าจะเป็นข้าว นม ก็เป็นของจืดทั้งนั้น เด็กก็เลยพาลไม่ยอมกินกันเลย จะกินแต่ของหวาน นาน ๆ เข้าก็เลยต้องใส่น้ำตาลในอาหารทุกอย่าง หรือแม้แต่นมก็ต้องมีรสหวาน

เมื่อเด็กกินของหวานเข้าไปแล้ว โดยทั่วไปผู้ใหญ่มักจะคิดว่า เด็กจะกินได้มากขึ้น แต่ในเด็กที่ผอมและกินอาหารยากกลับทำให้กินอย่างอื่นไม่ลง เนื่องจากในเด็กที่ผอมระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น จะไปทำให้ระดับฮอร์โมน อินซูลินสูงขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่สองอย่าง คือ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เนื่องจากน้ำตาลถูกนำไปใช้ และหน้าที่อีกอย่าง ก็คือไปกดความต้องการอาหารในเด็ก และในทางตรงกันข้าม ในเด็กที่อ้วนกลับกินไม่พอ ในตัวเด็กอ้วนนั้น ระดับอินซูลินไม่สามารถระงับความต้องการอาหารได้ ก็เลยกินเอา กินเอา ไม่ยอมหยุดด้วย ความเอร็ดอร่อย

ทีนี้ที่ เราคิดว่าจะแก้ปัญหาให้กินได้มากขึ้นในเด็กผอม ก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหาไป นอกจากนี้ น้ำตาลหวาน ๆ พวกนี้ก็ยังสร้างปัญหาโลกแตกให้คุณหมอฟันมาก ลองคิดดูว่า ถ้าเด็กเล็ก ๆ โดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบนี่ เวลาจะแปรงฟันทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าติดนมหวาน ขนมหวาน แถมติดขวดนมอีก แย่แน่ ๆ เพราะจะต้องฟันผุแน่นอนครับ ปัญหาเป็นปัญหาใหญ่มาก จนทำให้ที่ประเทศสิงคโปร์โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กเลิกของหวานกันเลย แถมในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่า อาจไม่ให้ขายน้ำโค้ก แสดงว่าเขาเอาจริงครับ แต่ในประเทศเราท่าทางจะยาก เนื่องจากความเข้าใจเรื่องนี้มีน้อย ขนาดนมในโรงเรียนยังเป็นนมหวานเลยครับ แต่ก็เป็นที่น่ายินดี ที่มีข่าวว่า อีกไม่นานนมโรงเรียนจะเปลี่ยนเป็นนมจืดทั้งหมดแล้ว

"ความหวาน" เคยมีคนพิสูจน์มาแล้วว่า ทำให้เด็กค่อนข้างซุกซนผิดปกติ แถมยังไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียน ถึงแม้ว่าการศึกษาระยะหลัง ๆ ไม่ค่อยสนับสนุนนัก แต่ก็มีคนที่ค่อนข้างเชื่อว่า สมาธิกับของหวานน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ก็คงต้องรองานวิจัยที่แน่ชัดต่อไป

ที่แน่ ๆ ก็คือ ความหวานมีส่วนทำให้เด็กที่อ้วนอยู่แล้ว อ้วนมากขึ้น และอ้วนง่าย เนื่องจากความหวานมีรสอร่อย เด็กก็เลยกินมากเป็นธรรมดา ยิ่งอร่อยยิ่งอยากกิน จนในที่สุดก็อ้วนฉุ

บางคนถามว่าน้ำตาลอ้วนได้ยังไง ก็ขอเล่าแจ้งแถลงไปให้ทราบกันเลยว่า "น้ำตาลนี่เปลี่ยนไปเป็นไขมันได้ " พออ้วนมาก ๆ เข้า ก็ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

มีคนมักถามว่าผลไม้หวาน ๆ ล่ะ?........ กินได้มั้ย???

คำตอบก็คือว่า ความจริง ถ้ากินผลไม้กันเป็นผล ๆ และกินไม่มากจนเกินไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะผลไม้ที่กินทั้งผลมักจะได้กากใยด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อลำไส้ และการขับถ่าย แถมทำให้การดูดซึมไม่เร็วไปนัก แต่คนเดี๋ยวนี้ขี้เกียจเคี้ยวกัน จะกินผลไม้ก็ต้องกินแต่น้ำ จะกินผักก็กินแต่น้ำผัก ผมว่าท่าทางจะขี้เกียจเคี้ยวมากไปหน่อย ก็เลยทำให้อดกินของดี ๆ อีกหลายอย่าง ที่มีในผักและผลไม้ เดี๋ยวนี้เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกากมีขายกันเกร่อ ทำให้กินกันแต่น้ำผลไม้ ไม่กินกากกันเลย ความจริงกากผลไม้นั่นแหละ คือ "ของดี" ส่วนน้ำผลไม้นั่นไม่เท่าไหร่ มีวิตามินนิดหน่อยกับน้ำตาลก็เท่านั้นเอง ถ้ากินมาก ๆ ไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะครับ บางคนกินน้ำผลไม้วันละเป็นลิตร ๆ เลยได้น้ำตาลไปมากเกินควร ก็อ้วนได้นะครับ

ความจริงถึงแม้ว่าของหวานกับเด็ก จะเป็นของคู่กันก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กกิน หรือรู้จักขนมหวานมากนัก แต่อาจให้เด็กกินผลไม้และอาหารที่มีรสหวานได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรมากหรือบ่อยเกินไป การกินอาหารที่รสไม่จัดน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อที่ว่าการกินนม ที่มีรสหวานจะทำให้เด็กสามารถกินนม ได้มากขึ้นนั้น ไม่เป็นความจริงอย่างที่คิด แถมยังมีผลเสียมากมาย และที่สำคัญ บางคนให้เด็กกินนมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้กินนมบ้าง แต่ไม่ทันคิดว่านมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ที่ขายตามท้องตลาดนั้นมีเนื้อนมแค่ประมาณครึ่งเดียว แต่มีน้ำตาลค่อนข้างสูงเด็ก ที่กินแล้วเลยพาลไม่กินข้าวไปเลย

No comments:

Post a Comment