Search This Blog

Saturday, September 5, 2009

แพ้ยา

การแพ้ยา เป็นภาวะการเกิดปฏิกิริยาของร่างกายที่มีกับยา โดยภูมิต้านทานของร่างกายแสดงการต่อต้านยา ด้วยสัญญาณว่าเป็นภัยต่อร่างกาย ทำให้เกิดการหลั่งสารหลายชนิดขึ้นในร่างกาย เช่น ฮีสตามีน (Histamine) สารที่หลั้งออกมานี้จะก่อให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ เช่น อักเสบ บวม แดง คัน ไปจนถึงการเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่รุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้

การแพ้ยา แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1. การแพ้ยาที่เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด

  • อะนาฟัยแลกซีส (Anaphylaxis) เป็นอาการแพ้ที่พบได้น้อย แต่ว่ารุนแรงถึงชีวิต เนื่องจากหลอดลมตีบ ความดันโลหิตต่ำ หมดสติ อาการที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ต้องทำการรักษาอย่างทันท่วงที มิฉะนั้น อาจเสียชีวิตได้ยาที่มีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้เช่นนี้ เช่น เพนนิซิลิน ยาฉีดทุกชนิด
  • อาการแพ้อื่น ๆ เช่น มีอาการผื่นคัน บวม มีไข้ หากหยุดยา 2 - 3 วัน ไข้ก็จะหายไป บางครั้งอาจเกิดอาการหอบหืดคัดจมูกได้

2. การแพ้ยาแบบทิ้งช่วง

ร่างกายจะแสดงอาการ หรือมีการตอบสนองต่อยา หลังจากได้รับยาไปแล้ว 1 - 2 วัน อาการที่พบได้แก่ ผื่นแดงอักเสบ เม็ดเลือดขาวลดลง โลหิตจาง แผลในกระเพาะอาหาร จนถึงไตถูกทำลาย

เมื่อแพ้ยาควรทำอย่างไร?

  • ถ้าแพ้เพียงเล็กน้อย เช่น มีผื่นแดง คัดจมูกให้หยุดยา และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ถ้ามีผื่นคันมาก อาจใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานบรรเทาอาการได้
  • ถ้าแพ้รุนแรงต้องหยุดยาทันที และรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาได้ทันท่วงที
  • เมื่อแพ้ยาใดแล้ว ต้องจดจำชื่อสามัญทางยาของยาที่แพ้นั้น หรือจดใส่สมุดบันทึก ไม่ควรจำสีหรือรูปร่างลักษณะของเม็ดยา เนื่องจากไม่อาจบ่งบอกได้แน่นอนว่าเป็นยาอะไร หากไม่มีชื่อยาบนซองหรือฉลากที่ใช้ ควรกลับไปขอชื่อสามัญทางยาจากแหล่งที่ได้รับยานั้น
  • งด ใช้ยาที่เคยแพ้ และเพื่อไปพบแพทย์หรือซื้อยา ควรแจ้งให้ทราบว่าเคยแพ้ยาอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยานั้น หรือยาที่มีส่วนผสมของยาที่เคยแพ้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงกว่าที่เคยเป็นได้
  • ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะที่ยาที่ท่านไม่ทราบเลยว่าเป็นยาอะไร เช่น ยาชุด ยาที่ไม่มีฉลาก หากเจ็บป่วยมาก ต้องได้รับการรักษาด้วยยา ควรพบแพทย์หรือขอคำแนะนำเรื่องยาจากเภสัชกรจะดีที่สุด

No comments:

Post a Comment