Search This Blog

Wednesday, January 20, 2010

เลือด คืออะไร?

เลือด คืออะไร?

"เลือด" หรือโลหิต (blood) เป็นของเหลวสีแดง ที่ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นเลือดทั่วร่างกาย โดยอาศัยการสูบฉีดของหัวใจ  และอวัยวะสำคัญที่ร่างกายมนุษย์ ใช้ในการสร้างเม็ดโลหิต คือไขกระดูก ในร่างกายของคนเรา มีโลหิตมากน้อย ตามน้ำหนักของแต่ละคน คิดโดยประมาณ 80 ซีซี ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม  ดังนั้น ถ้าท่านมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ท่านจะมีโลหิตประมาณ 4,000 ซีซี  (สำหรับผู้ใหญ่ปกติ) จะมีเลือดไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ประมาณ 5 – 6 ลิตร  

หน้าที่สำคัญของเลือด คือ
ขนส่งก๊าซออกซิเจนจากปอด ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์เนื้อเยื่อ มายังปอด เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกายต่อไป  นอกจากนี้ เลือดยังทำหน้าที่ขนส่งสารต่าง ๆ เช่น กรดอะมิโน ฮอร์โมน วิตามินไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำของเสียต่าง ๆ จากเซลล์ไปขับออกจากร่างกาย เช่น นำยูเรียไปขับออกที่ไต เป็นต้น

เลือด ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน
คือ ส่วนที่เป็นของเหลว เรียกว่า พลาสมา (plasma)  ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 55 ของปริมาณเลือดทั้งหมด และส่วนที่เป็นของแข็ง ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือด  (cellular components) ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 45 ของปริมาณเลือดทั้งหมด

เม็ดเลือด มี 3 ชนิด คือ
  1. -เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่หลักในการนำออกซิเจน และอาหารที่ย่อยแล้ว ส่งไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และรับของเสีย รวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากเซลล์
  2. -เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม มีส่วนสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 
  3. -เกล็ดเลือด มีความจำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด ในเวลาที่มีบาดแผลส่วนพลาสมา คือ ส่วนที่เป็นของเหลวสีเหลือง ทำให้เม็ดเลือดลอยตัวอยู่ได้

เม็ดเลือดแดง (red blood cells)
  1. เม็ดเลือดแดง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-8 ไมโครเมตร รูปร่างเหมือนจาน แต่บุ๋มตรงกลางทั้งสองข้าง
  2. เม็ดเลือดแดงมีอยู่ทั้งหมด ประมาณร้อยละ 40-50 ของปริมาตรเลือดทั้งหมดของร่างกาย หรือปริมาณ 4-5 ล้านเซลล์ ต่อเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
  3. เม็ดเลือดแดง มีอายุในกระแสโลหิตได้นานประมาณ 120 วัน โดยทั่วไปในวันหนึ่ง ๆ มีการสร้างเม็ดเลือดออกมาใหม่ ประมาณร้อยละ 9 ของจำนวนทั้งหมด ที่มีอยู่ในร่างกาย
  4. โครงสร้างของเม็ดเลือดแดง ประกอบด้วย สารไลโปโปรตีน (โปรตีน และไขมัน) และมีสารโปรตีนที่จับกับเหล็ก ที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญ ในการจับนำเอาออกซิเจนจากปอด ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทางเส้นเลือดแดง และนำคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียจากเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ กลับไปยังปอด เพื่อถ่ายทอดออกทิ้งไปทางเส้นเลือดดำ
  5. ในคนปกติ ผู้ชาย จะมีฮีโมโกลบิน ประมาณ 14-18 กรัมในเลือด 100 มิลลิลิตร ผู้หญิงจะมีฮีโมโกลบินประมาณ 12-14 กรัมในเลือด 100 มิลลิลิตร
  6. หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของฮีโมโกลบิน คือ รักษาดุลความเป็นกรดด่างของเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์พอดี
เม็ดเลือดขาว (white blood cells)
  1. เม็ดเลือดขาว มีอยู่ประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ ในเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
  2. ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาว 5 ชนิดต่างกัน โดยอาศัยคุณลักษณะในการติดสีที่ใช้ย้อม และลักษณะของนิวเคลียส เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
  3. นิวโตรฟิล มีหน้าที่กำจัดบัคเตรี หรือสิ่งแปลกปลอม ที่เป็นเม็ดเล็ก ๆ เมื่อมีเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกาย จะถูกนิวโตรฟิลจับเข้าไปในไซโตพลาสซึม ซึ่งมีแกรนนูลของนิวโตรฟิล คือ ไลโซโซมส์อยู่   ไลโซโซมส์เป็นถุง ซึ่งภายในบรรจุน้ำย่อยจำพวกเหล่านี้ ออกมาย่อยเชื้อจุลินทรีย์ และสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดเล็ก ๆ เหล่านี้
  4. ลิมโฟไซท์ ที่กำเนิดมาจากต่อมไธมัส ซึ่งเป็นแหล่งกลางของปฏิกิริยาทางอิมมูน เป็นตัวส่งลิมโฟไซท์ออกไป ให้กำเนิดแก่ลิมโฟไซท์ในอวัยวะน้ำเหลืองอื่น ๆ ลิมโฟไซท์ชนิดนี้ มีความจำ และจะทำลายสิ่งที่ไม่เหมือนตัวเอง
  5. ลิมโฟไซท์ ที่กำเนิดมาจากต่อมน้ำเหลืองของระบบทางเดินอาหาร ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดี้ และควบคุมภาวะไวเกินจากภูมิคุ้มกันส่วนเซลล์
  6. โมโนไซท์ มีหน้าที่ป้องร่างกาย เช่นเดียวกับนิวโตรฟิล สามารถกินเชื้อจุลินทรีย์ เช่น บัคเตรี เชื้อรา ยีสต์ หรือแม้แต่เม็ดเลือดแดง โดยที่โมโนไซท์ สามารถกินของใหญ่ ๆ ได้  บางทีจึงเรียกกันว่า แมคโครเฟจ เทียบกับนิวโตรฟิล ซึ่งเรียกว่า ไมโครเฟจ  โมโนไซท์มีชีวิตในกระแสโลหิต ที่หมุนเวียนเพียงระยะสั้นเท่านั้น ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายเข้าสู่เนื้อเยื่อ แล้วเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็น ฮิสติโอไซท์
  7. เบโซฟิล หรือ มาสท์เซลล์   ปัจจุบันเชื่อว่า มีบทบาทสำคัญยิ่งในปฏิกิริยาภูมิแพ้ จากปฏิกิริยาของแอนติเจนกับแอนติบอดี้ โดยไปทำให้เม็ดแกรนนูลของเบโซฟิลสลายตัว และปล่อยสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นสาร ที่ทำให้มีอาการแพ้ออกมา อาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไป ตามลักษณะอวัยวะที่เกิด เช่น ถ้าเป็นที่ผิวหนัง ทำให้มีอาการคัน ถ้าเป็นที่หลอดลม ทำให้หลอดลมตีบ ทำให้มีอาการเป็นหืด หรือถ้าหาก มีสารฮิสามีนจำนวนมากเข้าไปในกระแสโลหิต อาจทำให้เกิดอาการช็อคได้ เช่น ในกรณีของการแพ้เพนิซีลลิน เป็นต้น
  8. อีโอซิโนฟิล เชื่อว่ามีหน้าที่เกี่ยวกับการขจัดฤทธิ์ของฮิสตามีน และเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อปาราสิต
เกล็ดเลือด (platelet)
  1. เกล็ดเลือด มีกำเนิดมาจาก ไซโตพสาสซึมของเมกาคาริโอไซท์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  อยู่ในไขกระดูก คือ มีขนาดประมาณ 35-160 ไมโครเมตร
  2. ภายในไซโตพลาสซึม มีเม็ดแกรนนูล  นอกจากนั้นแล้ว ไซโตพลาสม์ยังมีขาเทียมเล็ก ๆ ยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก และต่อมาจะหลุดออกมา เป็นเกล็ดเลือด
  3. เกล็ดเลือด มีจำนวนประมาณ 150,000 - 450,000 เซลล์ ในจำนวนเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
  4. เกล็ดเลือดมีชีวิตอยู่ ในกระแสโลหิตได้นาน ประมาณ 8-11 วัน
  5. เกล็ดเลือดมีหน้าที่สำคัญ เกี่ยวกับการห้ามเลือดโดยตรง

ที่มา
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพฯ

No comments:

Post a Comment