เลือด คืออะไร?
"เลือด" หรือโลหิต (blood) เป็นของเหลวสีแดง ที่ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นเลือดทั่วร่างกาย โดยอาศัยการสูบฉีดของหัวใจ และอวัยวะสำคัญที่ร่างกายมนุษย์ ใช้ในการสร้างเม็ดโลหิต คือไขกระดูก ในร่างกายของคนเรา มีโลหิตมากน้อย ตามน้ำหนักของแต่ละคน คิดโดยประมาณ 80 ซีซี ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ดังนั้น ถ้าท่านมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ท่านจะมีโลหิตประมาณ 4,000 ซีซี (สำหรับผู้ใหญ่ปกติ) จะมีเลือดไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ประมาณ 5 – 6 ลิตร
หน้าที่สำคัญของเลือด คือ ขนส่งก๊าซออกซิเจนจากปอด ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์เนื้อเยื่อ มายังปอด เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกายต่อไป นอกจากนี้ เลือดยังทำหน้าที่ขนส่งสารต่าง ๆ เช่น กรดอะมิโน ฮอร์โมน วิตามินไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำของเสียต่าง ๆ จากเซลล์ไปขับออกจากร่างกาย เช่น นำยูเรียไปขับออกที่ไต เป็นต้น
เลือด ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นของเหลว เรียกว่า พลาสมา (plasma) ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 55 ของปริมาณเลือดทั้งหมด และส่วนที่เป็นของแข็ง ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือด (cellular components) ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 45 ของปริมาณเลือดทั้งหมด
เม็ดเลือด มี 3 ชนิด คือ
"เลือด" หรือโลหิต (blood) เป็นของเหลวสีแดง ที่ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นเลือดทั่วร่างกาย โดยอาศัยการสูบฉีดของหัวใจ และอวัยวะสำคัญที่ร่างกายมนุษย์ ใช้ในการสร้างเม็ดโลหิต คือไขกระดูก ในร่างกายของคนเรา มีโลหิตมากน้อย ตามน้ำหนักของแต่ละคน คิดโดยประมาณ 80 ซีซี ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ดังนั้น ถ้าท่านมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ท่านจะมีโลหิตประมาณ 4,000 ซีซี (สำหรับผู้ใหญ่ปกติ) จะมีเลือดไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ประมาณ 5 – 6 ลิตร
หน้าที่สำคัญของเลือด คือ ขนส่งก๊าซออกซิเจนจากปอด ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์เนื้อเยื่อ มายังปอด เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกายต่อไป นอกจากนี้ เลือดยังทำหน้าที่ขนส่งสารต่าง ๆ เช่น กรดอะมิโน ฮอร์โมน วิตามินไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำของเสียต่าง ๆ จากเซลล์ไปขับออกจากร่างกาย เช่น นำยูเรียไปขับออกที่ไต เป็นต้น
เลือด ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นของเหลว เรียกว่า พลาสมา (plasma) ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 55 ของปริมาณเลือดทั้งหมด และส่วนที่เป็นของแข็ง ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือด (cellular components) ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 45 ของปริมาณเลือดทั้งหมด
เม็ดเลือด มี 3 ชนิด คือ
- -เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่หลักในการนำออกซิเจน และอาหารที่ย่อยแล้ว ส่งไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และรับของเสีย รวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากเซลล์
- -เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม มีส่วนสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- -เกล็ดเลือด มีความจำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด ในเวลาที่มีบาดแผลส่วนพลาสมา คือ ส่วนที่เป็นของเหลวสีเหลือง ทำให้เม็ดเลือดลอยตัวอยู่ได้
เม็ดเลือดแดง (red blood cells)
- เม็ดเลือดแดง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-8 ไมโครเมตร รูปร่างเหมือนจาน แต่บุ๋มตรงกลางทั้งสองข้าง
- เม็ดเลือดแดงมีอยู่ทั้งหมด ประมาณร้อยละ 40-50 ของปริมาตรเลือดทั้งหมดของร่างกาย หรือปริมาณ 4-5 ล้านเซลล์ ต่อเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
- เม็ดเลือดแดง มีอายุในกระแสโลหิตได้นานประมาณ 120 วัน โดยทั่วไปในวันหนึ่ง ๆ มีการสร้างเม็ดเลือดออกมาใหม่ ประมาณร้อยละ 9 ของจำนวนทั้งหมด ที่มีอยู่ในร่างกาย
- โครงสร้างของเม็ดเลือดแดง ประกอบด้วย สารไลโปโปรตีน (โปรตีน และไขมัน) และมีสารโปรตีนที่จับกับเหล็ก ที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญ ในการจับนำเอาออกซิเจนจากปอด ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทางเส้นเลือดแดง และนำคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียจากเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ กลับไปยังปอด เพื่อถ่ายทอดออกทิ้งไปทางเส้นเลือดดำ
- ในคนปกติ ผู้ชาย จะมีฮีโมโกลบิน ประมาณ 14-18 กรัมในเลือด 100 มิลลิลิตร ผู้หญิงจะมีฮีโมโกลบินประมาณ 12-14 กรัมในเลือด 100 มิลลิลิตร
- หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของฮีโมโกลบิน คือ รักษาดุลความเป็นกรดด่างของเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์พอดี
เม็ดเลือดขาว (white blood cells)
- เม็ดเลือดขาว มีอยู่ประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ ในเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
- ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาว 5 ชนิดต่างกัน โดยอาศัยคุณลักษณะในการติดสีที่ใช้ย้อม และลักษณะของนิวเคลียส เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
- นิวโตรฟิล มีหน้าที่กำจัดบัคเตรี หรือสิ่งแปลกปลอม ที่เป็นเม็ดเล็ก ๆ เมื่อมีเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกาย จะถูกนิวโตรฟิลจับเข้าไปในไซโตพลาสซึม ซึ่งมีแกรนนูลของนิวโตรฟิล คือ ไลโซโซมส์อยู่ ไลโซโซมส์เป็นถุง ซึ่งภายในบรรจุน้ำย่อยจำพวกเหล่านี้ ออกมาย่อยเชื้อจุลินทรีย์ และสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดเล็ก ๆ เหล่านี้
- ลิมโฟไซท์ ที่กำเนิดมาจากต่อมไธมัส ซึ่งเป็นแหล่งกลางของปฏิกิริยาทางอิมมูน เป็นตัวส่งลิมโฟไซท์ออกไป ให้กำเนิดแก่ลิมโฟไซท์ในอวัยวะน้ำเหลืองอื่น ๆ ลิมโฟไซท์ชนิดนี้ มีความจำ และจะทำลายสิ่งที่ไม่เหมือนตัวเอง
- ลิมโฟไซท์ ที่กำเนิดมาจากต่อมน้ำเหลืองของระบบทางเดินอาหาร ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดี้ และควบคุมภาวะไวเกินจากภูมิคุ้มกันส่วนเซลล์
- โมโนไซท์ มีหน้าที่ป้องร่างกาย เช่นเดียวกับนิวโตรฟิล สามารถกินเชื้อจุลินทรีย์ เช่น บัคเตรี เชื้อรา ยีสต์ หรือแม้แต่เม็ดเลือดแดง โดยที่โมโนไซท์ สามารถกินของใหญ่ ๆ ได้ บางทีจึงเรียกกันว่า แมคโครเฟจ เทียบกับนิวโตรฟิล ซึ่งเรียกว่า ไมโครเฟจ โมโนไซท์มีชีวิตในกระแสโลหิต ที่หมุนเวียนเพียงระยะสั้นเท่านั้น ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายเข้าสู่เนื้อเยื่อ แล้วเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็น ฮิสติโอไซท์
- เบโซฟิล หรือ มาสท์เซลล์ ปัจจุบันเชื่อว่า มีบทบาทสำคัญยิ่งในปฏิกิริยาภูมิแพ้ จากปฏิกิริยาของแอนติเจนกับแอนติบอดี้ โดยไปทำให้เม็ดแกรนนูลของเบโซฟิลสลายตัว และปล่อยสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นสาร ที่ทำให้มีอาการแพ้ออกมา อาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไป ตามลักษณะอวัยวะที่เกิด เช่น ถ้าเป็นที่ผิวหนัง ทำให้มีอาการคัน ถ้าเป็นที่หลอดลม ทำให้หลอดลมตีบ ทำให้มีอาการเป็นหืด หรือถ้าหาก มีสารฮิสามีนจำนวนมากเข้าไปในกระแสโลหิต อาจทำให้เกิดอาการช็อคได้ เช่น ในกรณีของการแพ้เพนิซีลลิน เป็นต้น
- อีโอซิโนฟิล เชื่อว่ามีหน้าที่เกี่ยวกับการขจัดฤทธิ์ของฮิสตามีน และเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อปาราสิต
เกล็ดเลือด (platelet)
- เกล็ดเลือด มีกำเนิดมาจาก ไซโตพสาสซึมของเมกาคาริโอไซท์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ในไขกระดูก คือ มีขนาดประมาณ 35-160 ไมโครเมตร
- ภายในไซโตพลาสซึม มีเม็ดแกรนนูล นอกจากนั้นแล้ว ไซโตพลาสม์ยังมีขาเทียมเล็ก ๆ ยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก และต่อมาจะหลุดออกมา เป็นเกล็ดเลือด
- เกล็ดเลือด มีจำนวนประมาณ 150,000 - 450,000 เซลล์ ในจำนวนเลือดหนึ่งมิลลิลิตร
- เกล็ดเลือดมีชีวิตอยู่ ในกระแสโลหิตได้นาน ประมาณ 8-11 วัน
- เกล็ดเลือดมีหน้าที่สำคัญ เกี่ยวกับการห้ามเลือดโดยตรง
ที่มา
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพฯ
No comments:
Post a Comment