- ผู้ป่วยเบาหวานห้ามกิน เนื่องจากน้ำผึ้งมีปริมาณกลูโคส และฟรักโทส ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวแร็ว การหลั่งอินซูลินของตับอ่อนไม่พอ
- ห้ามกินปริมาณมาก ๆ โดยเฉลี่ยวันละ 1 - 2 ช้อน ประมาณ 20 กรัม ในกรณีพิเศษ อาจกินเพิ่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 50 กรัม/วัน
- คนที่ถ่ายเหลว หรือท้องเสีย เพราะจะทำให้ถ่ายมากขึ้น เนื่องจากน้ำผึ้งจะดูดน้ำ ทำให้ขับอุจจาระมากขึ้น
- ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน หรือมีผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากภาวะความชื้นตกค้าง
- การผสมน้ำอุ่น ประมาณไม่เกิน 40 องศา ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัด ๆ เพราะจะทำลายคุณค่าของเอนไซม์ วิตามิน และกรดอะมิโน และสารที่มีคุณค่า ๆ ในฤดูร้อนสามารถใช้น้ำเย็นชงดื่ม แต่ควรจะผสมน้ำขิงเล็กน้อย เพื่อป้องกันกระเพาะอาหารกระทบความเย็น
- ไม่ควรกินร่วมกับเต้าหู้ เนื่องจากเต้าหู้มีรสหวาน เค็ม มีคุณสมบัติเย็น สรรพคุณขับร้อนกระจายเลือด เมื่อกินร่วมกันทำให้ท้องเสียง่าย อีกเหตุผลหนึ่ง คือ เอนไซม์จากน้ำผึ้ง จะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ โปรตีน สารอินทรีย์ของเต้าหู้ จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการด้อยไป
- ไม่ควรกินพร้อมผักกุยช่าย เพราะกุยช่ายมีวิตามินซีมาก จะทำปฏิกิริยากับโลหะทองแดง และเหล็กในน้ำผึ้งเกิดออกซิเดชัน ทำให้คุณค่าด้อยลง อีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือ น้ำผึ้งทำให้ระบายกุยช่ายมีเส้นใยมาก เมื่อกินร่วมกันจะทำให้ท้องเสียง่าย
- ไม่ควรกินร่วมกับหัวหอม และกระเทียม จะทำให้ฤทธิ์ของน้ำผึ้งด้อยลง
Search This Blog
Tuesday, January 12, 2010
8 กฎเหล็ก......การทาน ‘น้ำผึ้ง’ ตามศาสตร์จีน
กินถูกหลัก ได้ครบคุณค่าสารอาหาร
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment