Search This Blog

Friday, November 27, 2009

หน้าใส ด้วยวิธีง่าย ๆ

5 ขั้นตอนกับคำแนะนำของคุณหมอ

เป็นที่นิยมในปัจจุบัน สำหรับบรรดาสาว ๆ กับการดูแลผิวหน้าให้ใสปิ๊ง โดยลงทุนเสียสตางค์มากมาย ไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า รวมทั้งเข้ารับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งที่ "การล้างหน้า" เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ถูกมองข้าม สาวๆ หลายคนอาจแย้งว่า แค่การล้างหน้าจะช่วยให้สุขภาพผิวดีอย่างไร เป็นไปไม่ได้!! ขอให้ฟังจากผู้เชี่ยวชาญก่อนแล้วจะถึงบางอ้อ!!

ข้อแนะนำ


ก่อนล้างหน้าก็ต้องรู้จักผิวหน้าของตัวเองก่อน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าทั่ว ๆ ไป ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วใช้มือสัมผัสผิว โดยรวมมัน ถึงมันมาก แสดงว่า "ผิวมัน" หากผิวมันแค่บางส่วน ก็จัดอยู่ในกลุ่มผิวผสม แต่หากหน้าไม่มันเลย ก็แสดงว่า ผิวธรรมดา ถึงผิวแห้ง

เมื่อรู้สภาพผิวกันแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนความรู้ก่อนการล้างหน้ากันแล้ว ก่อนอื่นต้องล้างมือให้สะอาด จะให้ดีล้างด้วยน้ำอุ่นประมาณ 30 วินาที เพื่อให้อุณหภูมิพอเหมาะ ที่จะทำให้เนื้อครีมล้างหน้ากระจายได้ทั่วทั้งมือ และช่วยให้ผิวหน้า สามารถตอบรับครีมล้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น และต้องให้ความสำคัญกับใบหน้าทุกส่วนเท่า ๆ กัน เพราะจะทำให้เกิดความสมดุลทั่วใบหน้า โดยเฉพาะการนวด ต้องนวดอย่างเบามือ สม่ำเสมอ จะช่วยการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ส่งผลต่อการล้างหน้าที่ล้ำลึกสู่ชั้นผิว แค่นี้ก็จะมีใบหน้าที่เรียบเนียนกระจ่างใสขึ้น

เคล็ดลับการทำความสะอาดใบหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดีตลอดไปง่าย ๆ 5 ขั้นตอน คือ
  1. มั่นใจว่ามือ ผ้าเช็ดหน้าสะอาด และผลิตภัณฑ์เหมาะกับสภาพผิว
  2. น้ำต้องมีอุณภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อน หรือเย็นเกินไป
  3. ควรออกแรงถูอย่างสม่ำเสมอ ไม่เบา หรือแรงเกินไป
  4. ล้างผลิตภัณฑ์ออกโดยเร็ว และทั่วถึงทุกส่วนบนใบหน้า
  5. เมื่อมั่นใจว่า ผิวหน้าสะอาดแล้ว ก็ต้องซับให้แห้งสนิท

แค่นี้จะได้ผิวหน้าที่สวยใส ไม่ต้องไปพึ่งการขัด หน้า นวดหน้า ไอออนโต้ หรือทำทรีตเมนต์ใด ๆ การดูแลผิวหน้าให้ใสปิ๊งง่าย ๆ ถูกวิธี ถูกสตางค์ในกระเป๋าอีกต่างหาก!!

ที่มา
พ.ญ. สุนิดา ยุทธโยธิน
แพทย์ผิวหนัง แห่ง นิดา สกิน แอนด์ รีจูวิเนชั่น เซ็นเตอร์

กิน ให้มีผิวสวย

ไม่ว่าเครืองสำอางใด ๆ ราคาแพงเท่าใด ก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าหากปราศจากโภชนาการที่ดี ความจริงเรื่องนี้พูดกันบ่อยแล้ว ชนิดหลับตาก็ท่องได้ แต่อยากให้คนรักผิว และบ่นอยากมีผิวดีลองทำตามกันดูซักเดือน ก็ไม่เสียหลายอะไร ดีกว่าเสียเงินไปขัดอบตัวเป็นไหน ๆ การที่คุณทานอาหารที่มีประโยชน์ จะเป็นการชะล้างผิวจากภายในสู่ภายนอก

เริ่มจากการเลือกทาน..
  • น้ำมันจากปลา ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นที่ผิว
  • เมล็ดธัญพืชหลายชนิด เป็นที่มาของไขมันอิ่มตัว
  • วิตามินเอ พบมากในผัก และผลไม้สีส้ม และแดงสด ได้แก่ แครอท และพืชใบเขียวหลายชนิด เช่น บรอคโคลี่ หรือผักโขม ฯลฯ
  • วิตามินอี ที่ทำให้ผิวสวยเปล่งปลั่ง มีมากในเมล็ดถั่วต่าง ๆ

ข้อควรปฏิบัติ
  • ทานอาหารทะเล อย่างน้อยสัปดาห์ละสามมื้อ
  • ทานผักผลไม้ทุกวัน เลือกทานที่แตกต่างกันไป
  • พยายามเลือกทานไขมันชนิดอิ่มตัว ที่มักได้จากเมล็ดธัญพืช
  • ดื่มน้ำให้มาก ช่วยในการขับถ่ายของเสียจากร่างกาย
  • ทาครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าวันนั้นจะมีแดด หรือฤดูกาลใดก็ตาม และสวมหมวกทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับแดด

ข้อควรเลี่ยง
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล จะทำให้ผิวขาดน้ำ และขาดความยืดหยุ่น รูขุมขนจะเปิดกว้าง เป็นที่มาของสิวเสี้ยนอีกด้วย
  • ขนมขบเคี้ยว ที่ผ่านกรรมวิธีการทอด หรืออบกรอบต่าง ๆ เป็นตัวสะกัดกั้น ไม่ให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ เพราะไขมันที่ได้จากของทอดจะสะสมแทนที่ได้ง่ายกว่า
  • งดการสูบบุหรี่ดูระยะหนึ่ง คุณจะพบว่าผิวหน้าไม่แห้ง ริ้วรอยจางลง และรูขุมขนกระชับขึ้นด้วย

Thursday, November 26, 2009

สปา คืออะไร ?

คำว่า SPA (สปา) เป็นรากศัพท์มาจากภาษาละติน “Salus Per Aqua” หมายถึง Health Through Water คือ การใช้ประโยชน์จากน้ำพุร้อน หรือน้ำแร่ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ เนื่องจากในน้ำมีแร่ธาตุหลายชนิด ทั้งความร้อน และแร่ธาตุ จะช่วยกระตุ้นระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น สปา เริ่มขึ้นในประเทศเบลเยี่ยม ที่เมือง “Spa” ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออก ของประเทศเบลเยี่ยม เป็นเมืองที่มีน้ำพุร้อน และแวดล้อมด้วยสภาพภูมิประเทศที่สวยงาม เป็นที่นิยมของบุคคลชั้นสูง ขุนนาง และทหารของยุโรปเดินทางมาแช่น้ำพุร้อนที่เมืองนี้ เพราะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย (Relax) นอกจากนี้ประชาชนชาวเบลเยี่ยมยังนิยมดื่มน้ำแร่ ซึ่งน้ำแร่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดผลิตที่เมือง Spa

ส่วนคำว่า “สปา” ตามความหมายของกองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข หมายถึง สถานบริการเพื่อสุขภาพ หรือ สถานพยาบาลที่ให้บริการลูกค้าทั่วไป ด้วยศาสตร์การนวดเพื่อสุขภาพ การปฏิบัติต่อร่างกายเพื่อสุขภาพ (Body Care & Treatment) และการใช้น้ำเพื่อสุขภาพเป็นบริการหลัก เพื่อปรับความสมดุลของร่างกาย และจิตใจ โดยให้คำแนะนำด้านบริการที่จัดไว้ตามหลักวิชาการ รวมถึงอาจจะมีการให้คำแนะนำการส่งเสริมสุขภาพ ด้วยการออกกำลังกาย โภชนาการ การปรับพฤติกรรมตามหลักการแพทย์สากล และการสร้างหลักสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์ทางเลือก ทั้งนี้ ให้มีมาตรฐานตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

องค์กรสปาระหว่างประเทศ (International Spa Association-ISPA) จัดตั้งขึ้นเพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ และเกณฑ์ต่าง ๆ ของธุรกิจสปา รวมทั้งการให้ข้อมูล การวางมาตรฐานและนโยบายสปา แนวคิดในการวางแผนบริการให้กับสปากว่า 2,000 แห่ง จากประเทศสมาชิก ISPA จำนวน 59 ประเทศ เพื่อการให้บริการเป็นมาตรฐานเดียวกัน และเพิ่มความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการด้านธุรกิจสปา

ประเภทหรือรูปแบบของสปา

ISPA แบ่งประเภทของสปาเป็น 7 ประเภท ดังนี้

  • น้ำพุร้อนสปา (Mineral Spring Spa) สปาที่มีบริการน้ำพุร้อนและบ่อน้ำแร่ เนื่องจากน้ำพุร้อนและน้ำแร่จะมีแร่ธาตุต่าง ๆ ที่สามารถลดอาการเจ็บป่วยบางชนิดได้ เช่น อาการปวดจากโรคไขข้อ เป็นต้น
  • คลับสปา (Club spa) คือ สปาขนาดเล็กที่มักจัดไว้เป็นส่วนหนึ่งของสถานบริการบริหารร่างกาย (Fitness) หรือศูนย์สุขภาพ (Health Club) ให้ผู้ที่มาออกกำลังกายได้ผ่อนคลายความตึงเครียด
  • โรงแรมและรีสอร์ทสปา (Hotel & Resort Spa) เน้นความเป็นสถานที่พักผ่อนและการนวดโดยเฉพาะ มีการจัดให้สถานที่มีบรรยากาศดี ทัศนียภาพและภูมิทัศน์ที่สวยงาม ควบคู่ไปกับปรนนิบัติร่างกาย ผิวพรรณ และบำบัดความเครียดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
  • เดสทิเนชั่นสปา (Destination Spa) มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับหรือฟื้นฟูสุขภาพของผู้ใช้บริการให้ดีขึ้น เป็นสถานบริการสปาแบบองค์รวม มีบริการครบวงจร เช่น การนวดรูปแบบต่าง ๆ การสร้างสมดุลโดยอาศัยความร้อนและความเย็นของน้ำที่เรียกว่า วารีบำบัด และความเข้มงวดเรื่องโภชนาการ และอื่น ๆ
  • เดย์สปา (Day Spa) เป็นสปาที่ไม่มีห้องพักค้างคืน ใช้ระยะเวลาสั้น ส่วนใหญ่เน้นเรื่องความสวยงามและผ่อนคลาย
  • เมดิคอลสปา (Medical Spa) คือ การนำธรรมชาติบำบัดมาผสมผสานกับวิทยาการทางการแพทย์ เป็นโปรแกรมการบำบัดรักษา และดูแลสุขภาพโดยแพทย์ และบุคคลที่เชี่ยวชาญเฉพาะ
  • โฮมสปา (Home Spa) คือ การทำสปาเองที่บ้าน โดยการซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น และการเรียกใช้บริการลักษณะ Delivery ของสถานบริการ สปาที่จะส่งพนักงานมาให้บริการถึงบ้าน
Day Spa ช่วยอะไรคุณได้บ้าง?

1 การกระตุ้นร่างกายด้วย ความร้อน โดยทำการ Aroma Steam, Herbal Steam หรือ Aauna เพื่อให้รูขุมขนในร่างกายเปิดกว้าง พร้อมที่จะขับสารพิษออกมากับเหงื่อ

2 การกระตุ้นระบบการหมุนเวียนของเลือด ด้วยการขัดผิวด้วยพืชพรรณจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์จากท้องทะเล (Marine Product) จำพวก marine salt หรือ marine scrub มาขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน
ผลที่ได้รับ : ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้น ผิวพรรณนุ่มเนียน สีผิวสวยสม่ำเสมอ

3 การห่อร่างกาย (Body Wrap) ด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ อาจจะเป็นสาหร่ายทะเล (Seaweed Mask) หรือโคลนทะเล สมุนไพร ใช้ได้หมด ส่วนจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อะไรขึ้นอยู่กับหลักของสปา นั้น ๆ ขั้นตอนนี้ช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น รูขุมขนเปิดกว้างเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย
ผลที่ได้รับ : ช่วยเรื่องการผ่อนคลายอย่างลึกล้ำ ทำให้ร่างกายสงบ

4 กระบวนการบำบัดด้วยน้ำ (Hydro Therapy) อุณหภูมิของน้ำมีทั้งร้อน และเย็น สปาบางแห่งอาจให้นอนแช่ในอ่าง Aroma Bath ที่ผสมน้ำมันหอมระเหย และเกลือแร่ต่าง ๆ ขณะที่บางแห่งให้นอนแช่ในอ่าง Floral Bath ที่หยดน้ำมันหอมระเหย และเกลือแร่ต่าง ๆ พร้อมด้วยการโรยกลีบดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย การอาบน้ำที่เรียกว่า Swiss Shower คือ ยืนอาบน้ำพุร้อนที่พุ่งออกมาจากฝักบัว 8 - 10 จุดทั่วร่างกาย เพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนโลหิต และการอาบน้ำแบบที่เรียกว่า Vichy Shower เป็นการบำบัดด้วยแรงดันน้ำคือนอนใต้แรงดันของน้ำที่พุ่งออกมากระทบร่างกาย ช่วยเปิดรูขุมขนเพื่อให้สมุนไพรต่าง ๆ ที่นำมาพอกตัวหลังการใช้น้ำซึมเข้าสู่ผิวหนังดีขึ้น
ผลที่ได้รับ : เป็นการกระตุ้นอุณหภูมิในร่างกาย ช่วยให้ผ่อนคลาย พักผ่อน ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทำให้จิตใจสงบ

5 การนวดร่างกาย (Body Massage) เป็นกระบวนการสุดท้ายของเดย์สปา ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เป็นขั้นของความสุดยอดที่จะทำให้ทุกขั้นตอนที่ทำมาตั้งแต่ต้นส่งผลดีต่อ สุขภาพสมบูรณ์ สปาแต่ละแห่งจะมีรูปแบบการนวดต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการนำเอาความโดดเด่นของการนวดแบบใดมาผสมผสานให้เป็นเอกลักษณ์ของ สปาแต่ละแห่ง
ผลที่ได้รับ : การนวดทุกแบบมีผลดีต่อสุขภาพทั้งนั้น แต่ถ้านำเอาน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการ จะช่วยให้การนวดมีประสิทธิภาพดีขึ้น กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยการนอนหลับ เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยแทรกซึมเข้าสู่ระบบประสาทสัมผัสตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย

นอนดึก เท่ากับเร่งวันตาย !?!

การนอนดึก เป็นเหตุทำให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึก ทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง

วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว)

ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึกนั้น มีปัญหาที่พบได้บ่อย คือ ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า ดังน้น ส่วนต่าง ๆ ของระบบร่างกายก็จะทำงานรวนไปด้วย

ระบบการย่อยอาหาร


ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คือ อาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้ว อุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่าง ๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า

แนวทางแก้ไข ก็คือ ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียว ๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึก แม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้น ท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วน ก็ให้ทานนมแทนไข่)

ท้องผูก นั้นก็มีอยู่มี 2 ลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น 1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง 2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้น ในวันหนึ่ง ๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่า ส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือ ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อน ๆ เช่น ที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องนอนดึก ก็ให้ออกกำลังกายหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว ทานเสร็จแล้ว อย่านอนทันที ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซอง ๆ ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมาก ๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ

ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมา จะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างใน จะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือ ปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่

แนวทางแก้ไข ก็คือ ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดพอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คือ อาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง

สรุปแล้ว การอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึก ต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือแร่ในน้ำด้วย คือ พอเราดื่มแล้วมันออกมาหมด ทั้งทางปัสสาวะ และเหงื่อ เราทานเกลือมาก ๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมาก ทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึก และกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดง ๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืด ๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อย จะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะ มันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อย ๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด

ระบบเหงื่อ

คนที่ไม่มีเหงื่อออกจะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ ร่างกายก็สบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอ และออกกำลังกายเท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

ระบบหายใจ

ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำ ให้เป็นเลือดแดงได้ ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้ง เลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ได้

แนวทางแก้ไข ก็คือ ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัด ให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวาน ๆ ตอนอยู่ดึก ๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมาก จะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้เป็นครั้งคราว ถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรง ๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลาย ๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมาก ๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้าเราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

Wednesday, November 25, 2009

ตรวจโรคให้แม่ .. แน่ใจก่อนมีลูก

ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ กันอีกแล้ว สำหรับผู้วางแผนที่จะสร้างครอบครัว โดยเฉพาะคู่ที่ต้องการมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจด้วยแล้ว ควรจะควงกันไปตรวจโรคประจำกายกันให้แน่ใจก่อนดีกว่า ว่าทั้งคู่ไม่มีภาวะพาหะนำ โรคทาลัสซีเมีย และโรคปลอกประสาทอักเสบ ที่เรียกว่า โรคมัลติเพิล สเคลอโรซิส (multiple sclerosis เรียกย่อ ๆ ว่า MS) โรคอันตรายที่จะส่งผลกระทบถึงลูกได้

แต่มีข่าวดีสำหรับผู้ที่เป็นโรคเอ็มเอส ซึ่งเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ด้านประสาทวิทยาระบุว่า หญิงที่เป็นโรคเอ็มเอสสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ต้องระวังความเสี่ยง จากการคลอดด้วยการผ่าตัด หรือมีภาวะทารกโตช้าในครรภ์ตามมา ขณะที่หญิงที่เป็นโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยง เกิดโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์สูงที่สุด

โรคมัลติเพิล สเคลอโรซิส หรือ โรคเอ็มเอส คือ
โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งประกอบด้วย สมอง ไขสันหลัง และ เส้นประสาทตา เมื่อเกิดการอักเสบร่างกายอ่อนแอลง ดังนั้น ตรวจโรคให้ดีก่อนตั้งครรภ์ จะปลอดภัยทั้งต่อแม่ และเด็ก จะไม่เสียใจทีหลังแน่นอน

"ความดันโลหิตสูง" นั่งสมาธิช่วยได้

ในสังคมตะวันออกอย่างบ้านเรา รู้กันอยู่แล้วว่า "การนั่งสมาธิ" นั้นมีคุณประโยชน์อนันต์ แต่ในสังคมตะวันตก ความนิยมนั่งสมาธิ นอกจากการแสวงหาทางจิตวิญญาณแล้ว ยังมีการพิสูจน์ประโยชน์การนั่งสมาธิ ที่มีผลต่อสุขภาพร่างกายด้วยเช่นกัน

จากการศึกษา ยืนยันถึงประโยชน์จากการทำสมาธิ แบบควบคุมจิต หรือทีเอ็ม (Transcendental Meditation) จะช่วยลดความดันโลหิตสูง และความเครียดในสถาบันการศึกษาได้ มีการพบว่า ความดันโลหิตของนักศึกษา ที่เข้าร่วมฝึกสมาธิลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อพวกเขาทำสมาธิอย่างน้อย วันละ 20 นาที ทั้งยังช่วยให้มีความกระปรี้กระเปร่า ช่วยลดความกังวล ความทุกข์ใจ ความวิตกและโรคซึมเศร้า

นักศึกษาที่เข้าร่วมการทำสมาธิ 48 ราย และอยู่ในรายชื่อรอเข้าร่วมการทดสอบอีก 64 ราย ล้วนมีความดันสูงระหว่าง 130/85 mm.Hg (มิลลิเมตรปรอท) มีความเสี่ยง ที่จะเป็นความดันสูงมากทั้งสิ้น เมื่อได้ทดลองทำสมาธิติดต่อกัน 3 เดือน ความดันลดลงมาก ขณะที่คนที่อยู่ในรายชื่อรอเข้าร่วมโครงการ กลับมีความดันโลหิตสูงขึ้น

นอกจากนี้ การนั่งสมาธิด้วยวิธีทีเอ็มในชาวแอฟริกันอเมริกัน จำนวน 201 ราย พบว่าหลังการนั่งสมาธิวันละ 2 ครั้ง อย่างน้อยครั้งละ 20 นาทีติดต่อกัน 9 ปี ลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจวาย และหัวใจล้มเหลวได้ 47%

รู้อย่างนี้แล้ว คืนนี้ก่อนนอนอย่าลืมทำสมาธิ เพื่อสุขภาพดีของตัวคุณเอง

แผลเป็น ... รอยดำหลังจากแผลหาย สามารถรักษาได้

หลายคนคงสงสัยว่า “แผลเป็น” นั้นคืออะไร

แผลเป็น คือ ร่องรอยที่เหลืออยู่จากการหายของแผล ซึ่งเป็นขบวนการซ่อมแซม ที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายตามธรรมชาติ แผลเป็นเหล่านี้อาจเกิดจากอุบัติเหตุ โรคบางชนิด เช่น สิว แผลจากการผ่าตัด โดยธรรมชาติแล้ว แผลที่มีขนาดใหญ่ และใช้เวลานานในการหาย โอกาสที่จะเป็นแผลเป็นจะมีมากขึ้น โดยทั่วไปแล้วแผลเป็นจะเห็นชัดในระยะแรก และค่อย ๆ จางลง โดยใช้ระยะเวลาเป็นเดือนหรือปี

การที่แผลเป็นจะเห็นได้ชัดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสีความเรียบความลึก ความยาว และความกว้างของแผลเป็นนั้น ๆ ในคนที่อายุน้อย การซ่อมแซมมักจะดี ทำให้แผลเป็นที่เกิดขึ้นชัดเจนกว่าแผลเป็นในคนอายุมาก

สาเหตุของแผลเป็น ที่พบได้บ่อย
  • หลังผ่าตัดต่าง ๆ
  • หลังการปลูกฝี ฉีดวัคซีน
  • หลังการเกิดสิวอักเสบ เช่น อก ไหล่ หลัง
  • หลังการเจาะหู
  • หลังการเกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม มีดบาด
  • แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
  • แผลจากรอยสัก เป็นต้น

วิธีการต่างๆ ในการรักษา "แผลเป็น" นั้นมีดังนี้
  • การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าที่แผลเป็น
  • การผ่าตัด และฉายแสง เหมาะกับแผล ที่มีความกว้างไม่มากนักพอเย็บได้
  • การขัดหน้า เทคนิคนี้ ใช้ได้ผลดีกับแผลเป็นจากสิว แผลเป็นจากอีสุกอีใส แผลเป็นจากรอยผ่าตัด กระชนิดลึก และรอยเหี่ยวย่น ผลข้างเคียงของการขัดหน้า ก็คือ บริเวณที่ทำอาจดำ และแดงได้เล็กน้อย ส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 3 เดือน ผู้ได้รับการรักษาต้องพยายามเลี่ยงแสงแดดเป็นเวลา 3-6 เดือน
  • การฉีดคอลลาเจน เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มานาน และรักษาโดยวิธีอื่นแล้ว ไม่ค่อยได้ผลข้างเคียง คือ ผู้ป่วยอาจแพ้ได้ และผู้ป่วยต้องมาฉีดทุก 6-12 เดือน เนื่องจากคอลลาเจนที่ฉีดเข้าไปจะสลายได้
  • การปิดด้วยแผ่นซิลิโคนเจลแผ่น (Silicone gel sheet) สำหรับปิดที่แผลเป็นแบบปูดนูน มีข้อดี คือ ไม่ต้องการการดูแลอะไรมากมาย และไม่เจ็บอะไร แต่ผลยังไม่แน่นอนนัก แต่ข้อเสีย คือ ราคาแพง และในบางตำแหน่งก็ใช้ค่อนข้างยาก เช่น ที่ใบหน้า เป็นต้น
  • เจลลดรอยแผลเป็น ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญจากสมุนไพรธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการสร้างคอลลาเจน ที่มากผิดจนปกติ จนทำให้เกิดรอยแผลเป็น นูน รวมทั้งยังลดการอักเสบการบวมแดง ของเนื้อเยื่อแผลเป็น ช่วยให้แผลเป็นนุ่มแล้วเรียบขึ้น

Tuesday, November 24, 2009

การใช้ยาหยอดหู

วิธีหยอดหู
  1. ล้างมือให้สะอาด และเช็ดแห้ง
  2. ถ้ามีน้ำเหลือง หรือหนอง ควรเช็ดออกด้วยสำลีพันปลายไม้ ทุกครั้งก่อนหยอดยา
  3. นอน หรือนั่งตะแคงหูข้างที่เป็นขึ้น หยดยาลงไปตามจำนวนที่ระบุ ระวังอย่าให้ปลายหลอดยาแตะถูกหู เพราะจะทำให้ปนเปื้อนฝุ่นสกปรก หรือเชื้อโรคได้
  4. อยู่ในท่านั้นประมาณ 15 นาที แล้วจึงเอนศรีษะกลับคืนปกติ ซับน้ำยาที่ไหลจากหูทิ้ง
  5. เมื่อเปิดใช้ยาหยอดหูแล้ว ไม่ควรเก็บส่วนที่เหลือไว้นานเกิน 1 เดือน

การใช้ยาหยอดตา ยาป้ายตา


วิธีหยอดตา – ป้ายตา

  1. ล้างมือให้สะอาด และเช็ดแห้ง
  2. ถ้ามีขี้ตา ให้ใช้สำลีชุบน้ำสะอาด เช็ดออกก่อนทุกครั้ง
  3. เตรียมยาก่อนใช้ โดยเขย่าขวดยาหยอดตาก่อน เปิดฝาขวด หรือเปิดฝาหลอดยาป้ายตา
  4. นอน หรือนั่งแหงนหน้าขึ้น มือข้างหนึ่งดึงหนังขอบตาล่างลงให้เป็นกระพุ้ง อีกมือหนึ่งจับหลอดยา โดยกะประมาณให้ปลายหลอดห่างจากตาเล็กน้อย ระวังไม่ให้ปลายหลอดแตะกับหนังตา หรือขนตา เพราะจะทำให้ปนเปื้อนฝุ่นสกปรก หรือเชื้อโรคได้ ซึ่งมีผลทำให้ยาเสื่อมคุณภาพ และอาจเพิ่มโรคจากที่เป็นอยู่แล้วอีกด้วย
  5. หยด ยาหยอดตาลงในกระพุ้งขอบตาล่าง ตามจำนวนที่ระบุไว้ในฉลาก ปล่อยหนังตาคืนสภาพ กระพริบตา 2-3 ครั้ง เพื่อให้ยาเข้าตาได้ทั่วถึง แล้วพักหลับตาสักครู่ หรือ
  6. บีบยาป้ายตายาวประมาณครึ่งเซนติเมตร ลงไปในกระพุ้งขอบตาล่าง หลับตาแล้วคลึงหนังตาเบา ๆ ให้ยากระจายทั่วตา ปิดฝาขวดให้สนิท
หมายเหตุ
  • ยาหยอดตา เมื่อเปิดใช้แล้ว ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 เดือน และควรเก็บในตู้เย็นชั้นธรรมดา
  • เมื่อต้องหยอดตามากกว่า 1 ชนิดในคราวเดียวกัน ควรเว้นเวลาหยอด ห่างกันประมาณ 3-15 นาที
  • เมื่อต้องหยอด และป้ายตาในเวลาเดียวกัน ให้หยอดยาก่อนสักครู่ แล้วจึงป้ายตา


ที่มา
เอกสารเผยแพร่
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

Monday, November 23, 2009

น้ำประปา

น้ำประปาดื่มได้?

น้ำ เป็นปัจจัย ที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ หรือสัตว์ ร่างกายต้องการน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ทำหน้าที่เป็นตัวทำลาย และพาสารอาหารต่าง ๆ รวมทั้งออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งควบคุมอุณหภูมิ ขับของเสีย ออกจากร่างกาย และหน้าที่อื่น ๆ อีกมากมาย

น้ำประปาผลิตมาได้อย่างไร

น้ำประปาเป็นน้ำ ที่ผ่านขบวนการต่าง ๆ หลายขั้นตอน กว่าจะเป็นน้ำประปา ซึ่งสะอาด ปราศจากเชื้อโรคต่าง ๆ และให้บริการถึงบ้านประชาชน ขั้นตอนการผลิต เริ่มด้วยการสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ มาปรับปรุงคุณภาพน้ำเบื้องต้นก่อน ด้วยการเติมสารเคมี เช่น การส้ม และปูนขาว เพื่อช่วยให้มีการจับตัวของตะกอนได้ดียิ่งขึ้น แล้วส่งผ่านไปยังถังตะกอนขนาดใหญ่น้ำหนักมาก จะตกลงสู่ก้นถัง เป็นการกำจัดสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ ที่รวมอยู่ในตะกอนออกไป ได้แก่ ความขุ่น จุลินทรีย์ ฯลฯ ส่วนน้ำใสจะส่งผ่านไปสู่กระบวนการกรอง ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อกำจัดตะกอน และจุลินทรีย์ ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ในน้ำ ทำให้น้ำมีความใสมากขึ้น และในชั้นตอนสุดท้าย น้ำจะถูกนำไปผ่านขบวนการฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน เพื่อให้น้ำสะอาด สามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย

มั่น ใจได้อย่างไรว่าน้ำประปา สะอาด ปลอดภัย??

ทุกขั้นตอนในระบบการผลิตก่อนจ่ายน้ำ สู่เส้นท่อเพื่อให้บริการแก่ประชาชนในระบบเส้นท่อ และจากบ้านเรือนผู้ใช้น้ำ จะมีนักวิทยาศาสตร์ ทำการสุ่มเก็บตัวอย่างน้ำ ตรวจวิเคราะห์คุณภาพเป็นประจำ เพื่อการควบคุมคุณภาพน้ำประปา ให้ได้ตามเกณฑ์คุณภาพน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก (WHO) และเป็นการสร้างความมั่นใจให้ประชาชน ได้ดื่มน้ำสะอาดปลอดภัย

น้ำ มีกลิ่นคลอรีนอันตรายหรือไม่??

ระบบประปาในประเทศไทย ส่วนใหญ่ใช้สารคลอรีน เพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำ และเหลือคลอรีนตกค้าง ในปริมาณที่พอเหมาะ ตามเกณฑ์คุณภาพน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลกกำหนด จึงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือทำให้เจ็บป่วย กลิ่นคลอรีนในน้ำแสดงถึงความปลอดภัย ยืนยันได้ว่า น้ำนั้นสะอาดปราศจากเชื้อโรค หากไม่ชอบกลิ่นคลอรีน ก็สามารถกำจัดได้ง่าย โดยรองน้ำใส่ภาชนะสะอาด ตั้งทิ้งไว้ 20-30 นาที แล้วจึงนำไปดื่ม หรือนำไปต้มโดยเปิดฝากว้าง กลิ่นคลอรีนก็จะระเหยหมดไปเอง

น้ำประปาปราศจากเชื้อโรคจริงหรือไม่??


น้ำประปาที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีนแล้ว จะไม่มีสิ่งมีชีวิตพวกเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ และจะมีคลอรีนเหลืออยู่ในน้ำอีกส่วนหนึ่ง ที่จะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรค ที่อาจจะปนเปื้อนระหว่างการจ่ายน้ำผ่านท่อประปา แต่ถ้าภาชนะรองรับน้ำในบ้านสกปรกมาก คลอรีนหลงเหลือก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคที่มีอยู่ได้ ดังนั้น ภาชนะที่รองรับน้ำประปาเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีความสะอาดด้วย จึงจะทำให้น้ำประปาสะอาด เมื่อนำไปดื่ม

ข้อดีของน้ำประปา

  1. มั่นใจได้เรื่องความสะอาด และความปลอดภัยต่อสุขภาพ มีนักวิทยาศาสตร์ตรวจวิเคราะห์น้ำประปาสม่ำเสมอ
  2. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งแพงกว่าน้ำประปาถึง 1,000 เท่า แต่คุณภาพดีเท่ากัน
  3. ช่วยลดปัญหาของสิ่งแวดล้อมจากขยะขวดพลาสติก ซึ่งยากแก่การทำลาย
  4. น้ำประปาส่งถึงบ้าน ไม่ต้องลำบากในการหาซื้อ อีกทั้งต้องเสียแรงงาน และเวลา
  5. น้ำประปาสะอาด และราคาถูกที่สุด


ที่มา:
คู่มือ 1675 รหัส (ไม่) ลับ ไขทุกปริศนาอนามัยใกล้ตัว

ลดน้ำหนักอย่างไรไม่โทรม

เชื่อว่า คู่รักส่วนใหญ่ต้องตั้งหน้าตั้งตาฟิตหุ่นให้สมส่วนก่อนถึงวันวิวาห์ บางคนถึงกับลดมื้ออาหารจากปกติ 3 มื้อ เหลือเพียงการรับประทาน เฉพาะมื้อกลางวันเท่านั้น ซึ่งวิธีดังกล่าว ถือว่าไม่เหมาะสมกับการลด หรือควบคุมน้ำหนัก เพราะไม่เป็นผลดีกับร่างกาย เมื่อถึงวันแต่งงานพลันจะเป็นคู่บ่าว-สาวแสนโทรม ไม่สดชื่นแจ่มใส

การไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นก่อนวันสำคัญ คุณผู้อ่านสามารถลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ที่มีอยู่ในอาหารประเภทข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง น้ำตาล เช่น จากปกติรับประทานข้าวมื้อละ 1 จานเต็ม ๆ อาจลดเหลือเพียงแค่ครึ่งจาน หรืออาจเลือกรับประทานข้าวเพียง 1 มื้อต่อวัน ส่วนมื้ออื่น ๆ ที่เหลือให้เน้นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลานึ่ง ทั้งนี้หากรับประทานข้าวแล้ว ก็ไม่ควรรับประทานก๋วยเตี๋ยว หรือขนมปังในวันเดียวกันอีก สำหรับประโยชน์จากการลดคาร์โบไฮเดรต จะช่วยให้ร่างกายที่ปกติจะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ที่รับประทานเข้าไปใหม่เป็นอันดับแรก ก็จะหันไปเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายแทน

ส่วนอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างควบคุมน้ำหนัก คือ อาหารทอดน้ำมัน เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ รวมทั้งชา กาแฟ ที่ใส่ครีมปริมาณมาก น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน

นอกจากการใส่ใจเรื่องอาหารการกินแล้ว ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าจะให้เห็นผล ควรจัดสรรเวลาออกกำลังกายก่อนวิวาห์อย่างน้อย 4-5 เดือน เช่น การยกเวต เซ็ตละ 15 ครั้ง เพื่อกระชับต้นแขน หรือซิตอัพลดหน้าท้อง เป็นต้น

Friday, November 20, 2009

การดูแลสุขภาพให้ห่างไกล โรคข้อ - ปวดคอ ปวดหลัง และการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน

ในสภาวะปกติ กระดูกคนเราจะมีทั้งการสร้าง และการทำลายเนื้อกระดูกพร้อม ๆ กันไปตลอดเวลา โดยที่อัตราการสร้าง และการทำลายนี้จะมีพอ ๆ กัน จึงอยู่ในสมดุล และในสภาวะบางอย่าง จะมีการกระตุ้นให้มีการทำลายเนื้อกระดูกมากขึ้น โดยที่การสร้างจะน้อยลง ก็จะเป็นปัจจัยให้กระดูกบาง โดยเฉพาะในคนสูงอายุ จนสุดท้ายกระดูกเปราะบาง และจะหักง่าย ๆ ทรุดง่าย ๆ จุดที่พบได้บ่อย ๆ คือ ที่ข้อมือ สะโพก และกระดูกสันหลัง

กระดูกสันหลัง


กระดูกสันหลัง ประกอบด้วย กระดูกคอ ทรวงอก เอว และก้นกบ เรียงต่อกันจากคอลงมาถึงก้น มีลักษณะแอ่น(คอ) โค้ง(ทรวงอก) แอ่น(เอว) โค้ง(ก้นกบ) ตามลำดับ หักลบกันแล้วจะเป็นเส้นตรง
  1. กระดูกคอ เคลื่อนไหวได้ทุกทิศ คือ ก้ม เงย ตะแคงซ้าย ขวา หมุนซ้าย ขวา จึงทำให้สึกหรอ และปวดได้ง่ายกว่าที่อื่น ๆ สาเหตุที่ทำให้คอสึก คือ การนั่ง นอน ทำงาน ในท่าที่ไม่ถูกต้อง
  2. กระดูกทรวงอก เคลื่อนไหวก้มไม่ได้ ได้แต่เอน กับหมุนบิดซ้ายขวา จึงไม่ค่อยเสื่อม
  3. กระดูกเอว เคลื่อนไหวได้มาก คือ ก้ม และ เงย

หมอนรองกระดูก

มีลักษณะประกบกันเฉย ๆ โดยมีตัวยึด 4 จุด ตัวที่ยึดนี้เรียกว่า ข้อ ตรงกลางหมอนรองกระดูก เป็นศูนย์รวมประสาท เส้นประสาทจะโผล่ออกมาตามข้อ เพื่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หมอนรองกระดูกจะสึกไปเรื่อย ๆ ตามอายุ ถ้าตลอดชีวิตสึก 4 ซม. ถือว่าปกติ เช่น ร่างกายสูง 170 ซม. พอแก่อายุ 70-80 ปี ความสูงลดลงเหลือ 166 ซม. ถือว่าเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าเตี้ยลงปีละ 1 ซม. ถือว่าเป็นโรคกระดูกผุ หญิงวัย 55 ปีขึ้นไป กระดูกจะทรุดลงตามธรรมชาติ ตัวก็จะเตี้ยลง และพุงยื่น

เส้นประสาทคอ

มีอยู่ 8 คู่ ถ้าเกิดกระดูกคอเสื่อม จะเป็นต้นเหตุของอาการปวดตามที่ต่าง ๆ โดยที่
  • คู่ที่ 1 จะไปที่หัว
  • คู่ที่ 2 หลังหู กระบอกตา ขมับ
  • คู่ที่ 3 ต้นคอ
  • คู่ที่ 4 สะบัก
  • คู่ที่ 5 บ่าและไหล่
  • คู่ที่ 6 ต้นแขน
  • คู่ที่ 7 ปลายแขน
  • และ คู่ที่ 8 มือ

เส้นประสาทเอว

มี 5 คู่ คือ คู่ที่ 1 เอว, คู่ที่ 2 โคนขา, คู่ที่ 3 หัวเข่า, คู่ที่ 4 น่อง, และคู่ที่ 5 เท้า

การปรับปรุงท่าทางในกิจวัตรประจำวัน

ท่านอน
ต้องเหมือนกับคนยืนตรง เวลานอนให้ใช้หมอนหนุนคอ "จงจำไว้หมอนมีไว้หนุนคอ ไม่ใช่หนุนหัว" หมอนที่ดี มีลักษณะตรงกลางบางกว่าซ้ายและขวา หากไม่มีหมอนจะใช้ผ้าขนหนูม้วนเป็นแท่ง แล้วรองหนุนคอให้พอดีก็ได้
  • ท่านอนหงาย การนอนหงายจะทำให้หลังแอ่น วิธีแก้ต้องงอสะโพก และเข่า โดยมีหมอนรองใต้โคนขา หลังจะแบบเรียบติดที่นอน
  • ท่านอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดีที่สุด หลังจะตรง นอนตะแคงข้างใดก็ได้โดยกอดหมอนข้างใบใหญ่ ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอก่ายบนหมอนข้าง
  • ท่านอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ไม่ดี ห้ามนอนท่านี้เด็ดขาด เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่น ทำให้ปวดหลังระดับเอวมากขึ้น กระดูกเอว และคอเสื่อม สำหรับเด็กถ้าต้องการให้หัวทุย ให้เด็กนอนคว่ำได้ 3 เดือน หลังจากนั้นค่อยหัดให้เด็กนอนหงาย หัวก็ยังทุยอยู่
การลุกจากที่นอนและการลงนอน

ห้ามสปริงตัวลุกขึ้นมาตรง ๆ เพราะหลังจะสึกมาก ควรปฏิบัติดังนี้
  • ถ้านอนหงายอยู่ให้งอเข่าขึ้นมาก่อน
  • ตะแคงตัวในขณะเข่ายังงออยู่
  • ใช้ข้อศอกและมือยันตัวขึ้นในขณะที่ห้อยเท้าทั้ง 2 ข้าง ลงจากเตียง
  • ดันตัวขึ้นมาในท่านั่งตรงได้ โดยให้เท้าวางราบบนพื้น
  • ในท่าลงนอนให้ทำสวนกับข้างบนนี้
การดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือ ห้ามนอนดู TV หรือนอนอ่านหนังสือ เพราะจะทำให้หมอนรองกระดูกคอสึก ควรนั่งจะดีกว่า

การนั่ง
  • ควรนั่งเข้าให้สุดที่รองก้น
  • หลังพิงสนิทกับพนักพิง หลังจะตรง
  • เท้าวางบนพื้นได้เต็มเท้า
  • ส่วนสำคัญของเก้าอี้
  • สูงพอดีเท้าวางราบบนพื้นได้
  • ที่นั่ง รองรับจากก้นถึงใต้เข่า
  • พนักพิง เริ่มจากที่นั่งสูงถึงระดับสะบัก โดยทำมุม 110 องศากับที่นั่งรองก้น
โต๊ะทำงาน ควรจะลาดเอียงเทเข้าหาตัว แบบโต๊ะสถาปนิก คอจะได้ไม่ต้องก้มอ่านหนังสือ
ท่านั่งคอมพิวเตอร์ และพิมพ์ดีด จอคอมพิวเตอร์ควรตั้งอยู่ตรงระดับหน้า เหมือนที่ตั้งโน้ตดนตรี และอยู่สูงพอดี ระดับตา จะได้มองตรง ๆ ได้ ห่างประมาณ 2-3 ฟุต มีแผ่นกรองแสง คีย์บอร์ด ควรอยู่ระดับเอว หรืออยู่เหนือตักเล็กน้อย ไม่ควรวางคีย์บอร์ดบนโต๊ะ เพราะต้องยกไหล่ ทำให้ปวดไหล่
ท่านั่งของผู้บริหาร เก้าอี้ส่วนใหญ่ของผู้บริหารจะเอนไปข้างหลังได้ จึงจำเป็นต้องก้มคออยู่เสมอ ทำให้เหมือนกับนอนหมอนสูง วิธีแก้ ควรให้พนักพิงสูงขึ้น จนสามารถรองรับศรีษะได้ และควรจะให้บริเวณต้นคอนูนกว่าส่วนอื่น เพื่อรองรับกระดูกต้นคอด้วย หรือมิฉะนั้น ให้นั่งเก้าอี้ที่เอนไม่ได้จะดีกว่า ลุกจากที่นั่ง ให้เขยิบก้นออกมาครึ่งหนึ่ง ก้าวเท้าออกไป มือยันที่ท้าวแขน แล้วลุกขึ้น
การนั่งขับรถยนต์
  • เลื่อนที่นั่งให้ใกล้พวงมาลัย เมื่อเวลาเหยียบครัชเต็มที่ เข่าควรสูงกว่าสะโพก
  • หลังควรมีหมอนรอง ถ้าหากที่นั่งลึกเกินไป และพนักพิงไม่ควรเอนเกิน 100 องศา
  • ถ้าที่นั่งนุ่ม และนั่งแล้วก้นจมลงในเบาะ ต้องมีเบาะเสริมก้นด้วย
  • การเข้านั่งรถยนต์ ให้เปิดประตู หันหลังให้เบาะนั่ง ลงนั่งตรง ๆ แล้วจึงค่อย ๆ หมุนตัวไปข้างหน้าพร้อมยกเท้าเข้ามาในรถทีละข้าง
  • การลงจากรถยนต์ ให้ทำย้อนทาง
  • การดันหรือผลักรถ หันหลังใช้ก้นดัน ตรงกันข้าม หากเป็นการฉุดลาก หันหลังให้วัตถุที่จะฉุดลาก
  • ไอจาม ห้ามก้มหลัง ขณะไอจามเด็ดขาด เพราะเวลาไอจามจะมีแรงกระแทกมาก ให้ยืดหลังให้ตรง ใช้มือหนึ่งกดหลังไว้ อีกมือหนึ่งปิดปาก แล้วค่อยไอ หรือจาม
  • การแปรงฟัน ให้นั่งแปรง ห้ามก้มหลังแปรงฟัง
  • การอาบน้ำ ให้นั่งอาบ เวลาถูขาให้ยกขาขึ้นมาถู โดยไม่ต้องก้ม
  • การยืนนาน ๆ ควรมีตั่งรองเท้า สูงประมาณครึ่งน่อง เพื่อยกเท้าขึ้นพักสลับข้างกัน ทั้งนี้เพราะเวลางอสะโพก และเข่า กระดูกสันหลังจะตั้งตรงไม่แอ่น หรืองอ ทำให้ยืนได้นานโดยไม่ปวดหลัง และช่วยพักขาเวลาเมื่อยขา เปลี่ยนสลับขาบนตั่งได้
ท่าบริหาร

เป็นการป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมเร็ว โดยมีหลักการ คือ ทำอย่างไรให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรงเท่า ๆ กัน และออกแรงอย่างไร ให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำท่าละ 10 รอบ ถ้าเกินจะทำให้กล้ามเนื้อเปลี้ย มี 6 ท่า ดังนี้

กล้ามเนื้อหน้าท้อง
  1. นอนหงาย งอเข่า 2 ข้าง มือสอดใต้คอ ยกหัวนิดนึงพร้อมเหยียดขาตรง นับ 1-5
  2. นอนหงายขาซ้ายไขว่ห้าง มือสอดใต้คอ ยกข้อศอกและลำตัวขวาเข้าหาขาซ้ายที่ไขว่ห้างอยู่ นับ 1-5 ทำทั้งซ้ายและขวา
  3. ยกขาลอยเหยียดตรง 1 ข้าง บิดสะโพก (ยักสะโพก) นับ 1-5 ทำทั้ง 2 ข้าง
  4. ขมิบก้น นอนหงายกอดอก ขมิบก้นให้ก้นสูงขึ้นเล็กน้อย หลังแนบพื้น นับ 1-5
กล้ามเนื้อหลัง นอนหงายงอเข่า 2 ข้าง มือสอดใต้เข่า ดึงเข่าชิดหน้าอก นับ 1-5
กล้ามเนื้องอสะโพก ทำแบบท่ากล้ามเนื้อหลัง แต่งอเข่าข้างเดียว นับ 1-5 ทำทั้ง 2 ข้าง
กล้ามเนื้อเหยียดสะโพก นอนหงาย งอเข่าข้างหนึ่งไว้แล้วใช้ส้นเท้าอีกข้างหนึ่งกดเข่าที่งออยู่แล้วดันเอนมา จนชิดพื้น นับ 1-5 ทำสลับกัน
กล้ามเนื้อโคนขา นั่งกับพื้นงอเข่าข้างหนึ่ง ขาอีกข้างเหยียดตรง เอามือแตะปลายเท้าที่เหยียดตรง นับ 1-5 ทำทั้ง 2 ข้าง
กล้ามเนื้อน่อง ยืนหันหน้าเข้าหาโต๊ะ เอามือยันโต๊ะ งอเข่าหน้าไปข้างหน้า ขาหลังเหยียดตรง แอ่นตัวไปข้างหน้า นับ 1-5 ทำสลับข้าง

สรุปประเด็นสำคัญช่วงคำถามคำตอบ

ที่นอน
ควรนุ่มพอควร เวลานอนไม่จมมาก จมแค่ 1-2 ซม. ควรเป็นที่นอนที่ใช้ใยกากมะพร้าวจะดีที่สุด เพราะโปร่ง อากาศผ่านได้

เก้าอี้เหล็กไฟฟ้า ตัวละแสน เป็นกระแสแม่เหล็ก มีรังสีแม่เหล็ก เบต้า หรือแกรมม่า ทำให้เกิดมะเร็ง ใช้นวดกล้ามเนื้อไม่ได้ผล และเป็นการหลอกลวง

สายไฟฟ้าแรงสูง คนที่อยู่ใต้ไฟฟ้าแรงสูงในรัศมี 60 เมตร มีสถิติเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดสูง ต้องเกิน 100 เมตร ขึ้นไปจึงจะปลอดภัย

การเล่นกอล์ฟ การบาดเจ็บจะเกิดจากการไดร์ฟ 99% อีก 1% บาดเจ็บจากสนาม การไดร์ฟกอล์ฟปกติ จะไม่มีปัญหากับกระดูกสันหลัง แต่ถ้าไดร์ฟติดต่อกันโดยไม่หยุด เช่น มีเครื่องตั้งกอล์ฟ หรือบางรายตีโดนอิฐ ดิน ไหปลาร้าหักได้ คนที่ผ่าตัดกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทสามารถเล่นกอล์ฟได้ โดยใส่เสื้อพิเศษเพื่อป้องกัน คนที่ผ่าตัดหมอนรองกระดูกที่ต้นคอ โดยเอากระดูกเชิงกรานมาต่อ ข้อกระดูกคอจะหายไป 1 ข้อ และเชื่อมกระดูกแล้ว สามารถออกกำลังกายได้

การเสื่อมของกระดูก จะเกิดขึ้นมาก ในขณะที่เราอยู่เฉย ๆ เช่น นอน นั่ง เพราะกินเวลานาน
แต่ถ้าเคลื่อนไหวการเสื่อมจะน้อยกว่า เพราะกินเวลาน้อย

โยคะ การฝึกโยคะมีผลดีต่อการฝึกลมหายใจ และได้สมาธิ แต่ไม่ถือเป็นการออกกำลังกาย และบางท่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ที่เสี่ยงอันตรายต่อกระดูก เพราะเกินกว่าธรรมชาติ เช่น การทรงตัวบนพื้นด้วยศรีษะ การแอ่นหลัง ทำให้กระดูกหลังเสื่อมมาก

ไท้เก๊ก เป็นการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ชี่กง (คือ การออกกำลังกายตามมโนภาพ เช่น วาดมโนภาพว่ายกของหนัก น้ำหนักเท่าไรก็ได้แล้วแต่จะนึก) โดยใช้คน 30 คน เป็นเวลา 3 เดือน ได้ผล คือ เหงื่อออก และกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นมาก)

เก้าอี้ไฟฟ้านวดทั้งตัว
ไม่มีประโยชน์เสียเงินเปล่า เพราะนวดทั้งตัว แต่เราต้องการเฉพาะจุด
และ ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ แต่รักษาที่ปลายเหตุ เช่นเดียวกับบริการของหมอนวด นวดวันนี้สบาย พรุ่งนี้ปวดอีกแล้ว ควรรักษาที่ต้นเหตุ ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

การดึงคอ คือ การดึงเอ็นที่ยึดอยู่ให้ห่างออก คนที่ข้อต่อกระดูกหลังยุบเข้ารักษาโดยการดึงคอได้ การดึงคอ มีข้อห้าม 3 กรณี คือ กระดูกหัก กระดูกเชื่อมต่อกันหมด หรือเป็นโรครูมาตอยด์ ทั้งนี้ต้องให้แพทย์ผู้ชำนาญวินิจฉัยก่อนว่า ไม่ได้เป็น 3 โรคที่กล่าว และควรกระทำโดยผู้ชำนาญการจึงจะปลอดภัย

การจ็อกกิ้ง และเต้นแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่หนัก และมีผลต่อกระดูกมาก ทำให้ข้อเสื่อมได้ง่ายกว่าการเดิน ยกตัวอย่าง การเดิน น้ำหนักขาที่เราวางบนพื้นเท่ากับน้ำหนักขา เช่น ขาหนัก 10 กก. เวลาเดินจะเกิดแรงกระแทกเท่ากับ 10 กก. แต่ถ้าวิ่ง น้ำหนักตัว 60 กก. วิ่ง 3 กม./ชม. ขณะวิ่งไปข้างหน้า 2 ขาจะลอยจากพื้น แรงกระแทกจะคูณ 3 เท่ากับ 180 กก. การวิ่งทำให้กระดูกเสื่อมมากกว่าการเดิน ถ้าอยากถนอมกระดูก และข้อให้เดินดีกว่า การวิ่งมีข้อดีทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง แต่มีข้อเสีย คือ ขาพัง เข่าพัง ขณะวิ่งห้ามหยุดทันที เพราะเลือดจะตกไปที่ขา ทำให้หัวใจวายได้ แม้แต่บิดาแห่งจ็อคกิ้งก็ยังหัวใจวายคาที่ ดังนั้น ในการออกกำลังกายต้องเลือกท่าบริหาร พื้นลู่วิ่ง และรองเท้าที่เหมาะสม

การออกกำลังกาย ต้องคำนึงถึงวัย และความเหมาะสมกับตัวเรา ในวัยหนุ่มสาวออกกำลังกายโดยการวิ่งได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ๆ ต้องเปลี่ยนให้เบาลง เป็นว่ายน้ำ เดิน พออายุ 80-90 ปี แค่ยืนแกว่งแขน หรือรำมวยจีนก็พอ ขอให้คำนึงถึงสายกลางเพื่อสุขภาพ

นั่งสมาธิ ไม่จำเป็นต้องนั่งพับเพียบ หรือขัดสมาธิ นั่งอย่างไรก็ได้ ที่ทำให้เกิดสมาธิดีที่สุด
ควรนั่งเก้าอี้ดีที่สุด

การรักษาโดยหมอแผนโบราณที่ดึงกระดูกปุ๊บแล้วเข้าที่ มีความเสี่ยงสูง และไม่มีใครรับรองผล ที่ดึงแล้วหายก็มี แต่ที่ดึงแล้วเป็นอัมพาต หรือกระดูกหักก็มี

ท่าออกกำลังกาย โดยการก้มเอามือแตะเท้า เป็นท่าที่อันตราย ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อม
นิ้ว ห้ามหักหรืองอ ให้ดึงได้อย่างเดียว คือ ดึงตรง ๆ จะเกิดเสียงดังเป๊าะ ในข้อนิ้วจะลดแรงกดดันทำให้สบายขึ้น

การนั่งซักผ้านาน ๆ จะทำให้ปวดหลัง ควรนั่งเก้าอี้ และวางกาละมังผ้าบนโต๊ะ หรือยืนซักจะทำให้ไม่ปวดหลัง

การหยิบของที่พื้น ห้ามก้มเด็ดขาด ให้ย่อเข่าลงแล้วหยิบ ถ้าของหนักให้ย่อเข่า แล้วหยิบของมาอุ้มไว้กับอก แล้วค่อยลุกขึ้น

ที่มา
ศาสตราจารย์ กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์
ผู้อำนวยการ ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย

วิ่ง...เลือกกิน หยุดเบาหวานได้!

"เบาหวาน" เป็นมหันตภัยเงียบ ที่คุกคามชีวิตของเราโดยทั้งรู้ตัว และไม่รู้ตัว ความเสี่ยงของโรคนี้มาจากหลายทาง ทั้งมาจากทั้งกรรมพันธุ์ การกินมากเกินไป และการออกกำลังกายน้อยเกินไป ทำให้ตัวเลขของคนไทย ที่เป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้เกินสามล้านคนเข้าไปแล้ว ส่วนทั่วโลกก็เป็นกันมากถึง 300 ล้านคน เสียชีวิตกันปีละ 3 ล้านกว่าคน

หากเมื่อใดที่คุณเป็นเบาหวานขึ้นมา ความเสี่ยงของโรคอื่น ๆ จะตามมาอีกพะเรอเกวียน โดยแต่ละโรคล้วนน่าเกรงขามทั้งนั้น
  • เสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อน ที่หลอดเลือดใหญ่ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดสมองอุดตัน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดตีบที่เท้า
  • เสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อนจากหลอดเลือดเล็ก เช่น เกิดโรคแทรกซ้อนทางตา ทำให้ประสาทการมองเห็นเสื่อมสภาพ และอาจตาบอดได้ และเกิดโรคแทรกซ้อนทางไต ทำให้ไตเสื่อม
  • เสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อน ที่ระบบปลายประสาท เช่น เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม จนอาจต้องตัดแขนขา ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา เกิดการคลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง และอันตรายต่อระบบปัสสาวะ เกิดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย
อาการ

"โรคเบาหวาน" ที่เป็นกันมาก เรียกว่า โรคเบาหวานประเภทสอง จะเกิดเซลล์ในเนื้อเยื่อ ตับอ่อนสามารถผลิตสารอินซูลินได้ แต่ปริมาณไม่เพียงพอต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในระดับปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีสมาชิกครอบครัว ที่มีประวัติของการเป็นโรคเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่ รวมทั้ง ผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

อาการที่สังเกตเห็นง่าย ๆ คือ การเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ เนื่องจากระดับกลูโคสในเลือดสูง จึงทำให้ระบบขับถ่ายของร่างกาย ขับปัสสาวะออกทางไต คอแห้ง และกระหายน้ำ เนื่องจากมีการขับปัสสาวะมาก จึงทำให้มีความต้องการดื่มน้ำมาก ร่างกายผอมลงอย่างผิดสังเกต เนื่องจาก ไขมันในร่างกายถูกนำมาเป็นแหล่งพลังงานทดแทน ไกลโคเจนในตับ และกล้าม เนื้อ ซึ่งผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถสะสมได้ และมีอาการตาพร่ามัว เนื่องจากระดับกลูโคสในเลือดสูง จึงทำให้เลนส์ตาเปลี่ยนรูป และจุดโฟกัสของเลนส์เลื่อนไป

กินเพื่อป้องกัน

เมื่อเรารู้ว่า "เบาหวาน" มีอิทธิฤทธิ์ร้ายแรงขนาดนี้ เราควรจะรีบสกัดกั้นเสียแต่เนิ่น ๆ เราเคยมีการรณรงค์ ให้รับประทานปลากัน เพราะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ปลาเป็นแหล่งโปรตีน ที่มีคุณภาพสูงกว่าเนื้อวัว และเนื้อหมู แถมยังอิ่มเร็ว ย่อยง่าย ป้องกันการเกิดโรคอ้วน และที่สำคัญ ปลาเป็นแหล่งโอเมก้า 3 สามารถป้องกันการโรคเบาหวาน หัวใจ และช่วยพัฒนาเซลล์สมองอีกด้วย

ข้อมูลของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า คนที่กินธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง เป็นปริมาณที่มากพอ จะช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้ถึง 40% ส่วนอาหารที่เพิ่มเบาหวาน ก็เป็นจำพวกเครื่องดื่มเติมน้ำตาล เนื้อ และพวกเนยเทียม

สำหรับพืชผักไทย ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน คือ มะระ ที่ความขมของมันทำให้ไม่อยากกลืนลงคอนั่นแหละ กลับมีสรรพคุณ ต้านเบาหวาน ช่วยระบาย และฆ่าเชื้อ นอกจากนี้แล้ว ยังมีการวิจัยพบว่า เปลือก และเนื้อมังคุด มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน ลดอาการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระได้ "มะเขือพวง" ก็มีฤทธิ์ในการลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และลดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดจากเบาหวานได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ ไตพิการ จอตาพิการ ประสาทพิการ และ ชาดำนอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดความดันโลหิตสูงแล้ว ยังสามารถควบคุมอาการของเบาหวานได้

การออกกำลังกาย ป้องกันโรค


หากเราวิ่งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยต้านการเป็นโรคเบาหวานได้อย่างดี เพราะ การพึ่งตัวเอง ดูแลตัวเอง ป้องกันตัวเอง ก่อนที่เข้าสู่กระบวนการรักษา ย่อมเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า การพึ่งพาหมออย่างแน่นอน

ดื่มน้ำผิดวิธี.. ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ

โปรดอย่าละเลยเรื่องการดื่มน้ำ เพราะน้ำมีความสำคัญต่อร่างกายของเราอย่างมาก โดยปกติร่างกายของมนุษย์ควรจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบ ประมาณ 70% แต่คนในปัจจุบัน มีน้ำในร่างกายเพียง 60-65% เท่านั้น

เมื่อร่ายกายมีน้ำน้อยแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา?

มันจะทำให้เชลล์ในร่างกาย อยู่ในภาพขาดน้ำ เพราะเมื่อน้ำไม่เพียงพอ ก็ไม่สามารถขับพิษได้ นั่นหมายความว่า อาจทำให้เซลล์ตาย หรือกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ และเมื่อเลือดข้นขึ้นจะทำให้ท้องผูก ผิวหนังขาดน้ำ ทำให้เกิด ฝ้า จุดด่างดำ เหี่ยวย่น แก่เร็ว หรือว่าผมร่วง รวมทั้งการดื่มบางอย่าง กลับทำให้สูญเสียน้ำในร่างกายไปด้วย

ตัวอย่าง เช่น
*ดื่มกาแฟ 1 แก้ว ทำให้สูญเสียน้ำ ที่สะสมในร่างกายถึง 3 แก้ว
*ถ้าดื่มชา 1 แก้ว ก็จะสูญเสียน้ำไป 2 แก้ว
*ดื่มน้ำอัดลม หรือไวน์แดง 1 แก้ว จะสูญเสียน้ำในร่างกายไปถึง 6 แก้วทีเดียว
ฉะนั้น ควรจะต้องรู้ว่าดื่มน้ำอย่างไรจึงจะถูกต้อง และวิธีการดื่มน้ำก็สำคัญมาก ควรจิบทีละน้อย เพื่อให้เซลล์ในร่างกาย มีเวลาเพียงพอต่อการดูดซึมน้ำ เพราะถ้าคุณดื่มทีเดียว รวดเดียวหมด เซลล์จะดูดซึมไม่ทัน น้ำทั้งหมดจะสูญไปกับการปัสสาวะออกมา

น้ำแต่ละประเภท ที่เราดื่มเข้าไปนั้นมี ข้อดี ข้อด้อยอย่างไร?

"น้ำกรอง" หรือ "น้ำประปา" ที่เราดื่มกัน ก็เป็นเพียงการกรอง เพื่อกรองโลหะหนักออกไป แต่ว่ายังมีแบคทีเรีย และสารเคมีหลงเหลืออยู่

"น้ำแร่" ที่ขายกันอยู่ มีโลหะหนัก และสารอนินทรีย์ เป็นปริมาณมาก มีข้อเสีย คือ จะไปอุดตันช่องว่างระหว่างเซลล์ ทำให้อาหารเข้าไปในเซลล์ไม่ได้ เซลล์จึงค่อย ๆ แก่ตัว และตายไป ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เรารู้สึกเพลียง่าย หรือแก่ก่อนวัย

ไม่ควรดื่มน้ำที่เป็นด่างเป็นประจำ เพราะจะทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย และขาดสารอาหาร

หากดื่ม "น้ำกลั่น" วันละ 8 แก้ว (แก้วละ 250 ซีซี) ก็จะทำให้ไตมีน้ำพอที่จะฟอกเลือดได้

นอกจากร่างกายต้องการน้ำวันละ 8 แก้วแล้ว ร่างกายของเรา ยังต้องการ "อิเล็กโทรไลต์" และ "เกลือแร่" ด้วย โดยเฉพาะเกลือแร่ที่มีอยู่ใน ผัก ผลไม้ ที่เป็นสารอนินทรีย์ ขนาดเล็ก ซึ่งเซลล์ของร่างกายสามารถดูดซึมได้ ดังนั้น จึงควรกินผักผลไม้มาก ๆ เพื่อให้ได้รับเกลือแร่ ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปเติมอาหารให้เซลล์นำไปใช้งาน

ดื่มน้ำเท่าไหรดี?
  • ปริมาณในการดื่มน้ำของแต่ละคนไม่เท่ากัน
  • คุณที่นั่งอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ ให้ดื่มน้ำวันละ 6 แก้วก็พอ
  • ถ้าคุณทำงานที่ต้องเดินไปมา ควรจะต้องดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว
  • และถ้าหากคุณทำงานตากแดดอยู่กลางแจ้ง หรือใช้แรงงานหนัก ควรดื่มน้ำวันละ 10-12 แก้ว ร่างกายจึงจะได้รับน้ำอย่างเพียงพอ

ฉะนั้น อย่าละเลยเรื่องการดื่มน้ำ หากดื่มน้ำถูกวิธี ก็จะมีผลดีต่อร่างกาย แต่ถ้าดื่มน้ำผิดวิธี มันจะสูญเปล่าไปไม่น้อย

Thursday, November 19, 2009

ปลุก "นกเขา" ให้มาขัน

การไม่ยอมแข็งตัวของอวัยวะเพศ หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอ ซึ่งเป็นปัญหา ที่พบมากถึง 30 % ในหนุ่มไทย ชายที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัว โดยมีถึงสองในสาม ที่มีปัญหาในระดับปานกลางถึงขั้นรุนแรง มีผู้กำลังเผชิญกับโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มากกว่า 3 ล้านคน

การที่อวัยวะเพศชายจะแข็งตัวขึ้นได้นั้น ต้องมีหลายระบบทำงานร่วมประสานกัน เริ่มจากการมีสิ่งเร้ามากระตุ้น ให้เกิดความรู้สึกทางเพศก่อน แล้วสมองก็จะส่งสัญญานไปยังอวัยวะเพศ ผ่านทางระบบประสาท ทำให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อควบคุมการไหลเวียนของเลือดเข้าอวัยวะเพศชาย ในขณะเดียวกัน หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศ จะขยายตัวขึ้นเป็นสองเท่า ทำให้เลือดไหลมาคั่งอยู่ภายในอวัยวะเพศ และเลือดก็ถูกกักไว้ โดยเนื้อเยื่อรอบ ๆ เป็นผลทำให้มีการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ถ้าหากมีอะไรก็ตาม ที่มาขัดขวางขบวนการเหล่านี้ ก็จะส่งผลให้เกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศทั้งสิ้น เช่น โรคของร่างกาย โรคของจิตใจ หรือแม้แต่ผลจากยาบางชนิด หมอจึงต้องถามประวัติทางการแพทย์อย่างละเอียด โดยเฉพาะประวัติ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ คำถามจะเจาะลึกมาก อาจจะต้องพาภรรยามาด้วย เพื่อช่วยตอบให้ได้รายละเอียดมาก และแม่นยำที่สุด

หลังจากการซักถามประวัติ หมอจะตรวจร่างกาย โดยจะมีการตรวจอวัยวะเพศ และตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนัก มีการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ และอุจจาระ หรืออาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมอย่างอื่น เพื่อค้นหาสาเหตุเป็นพิเศษเฉพาะรายไป

ผลจากการสำรวจ พบว่าชายที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ที่มีปัญหา (ED) การไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศ เนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บ ได้แก่ โรคเบาหวาน (Diabetes) มีโอกาสเกิด (ED) 70-75% โรคเบาหวานร่วมกับโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) มีโอกาสเกิด (ED) 80-85% โรคเบาหวานร่วมกับโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ (Cardiovascular disease) มีโอกาสเกิด (ED) 95-100%

ถ้าหากตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคทางกาย หมอจะรักษาโรคที่นั้นก่อน ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ที่คุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี การดื่มเหล้ามากเกินไป การกินยาลดความดันบางชนิด ซึ่งเมื่อหมอได้แก้ไขปัญหาเหล่านี้แล้ว ปัญหาเรื่องการแข็งตัวก็น่าจะหมดไป

แต่ถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จ ในการรักษา ก็ต้องเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป แล้วแต่การดำเนินการขั้นต่อไป จะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ ว่าวิธีใดเหมาะสม จะใช้ยาหรือวิธีการบำบัดต่างๆ การใช้ยา อาจจะจำเป็นในบางราย และไม่ควรจะวินิจฉัยด้วยตัวเอง และอย่าซื้อยามาใช้เอง

การใช้ฮอร์โมน

มีการใช้ฮอร์โมนเพศมาเสริมในผู้ที่พบว่า ปัญหานี้เกิดจากระดับฮอร์โมนเพศชายที่ต่ำเกินไป หรืออาจใช้อุปกรณ์สูญญากาศ เป็นท่อพลาสติก สำหรับใช้สวมอวัยวะเพศที่อ่อนตัว แล้วค่อย ๆ ดูดลมออก ทำให้ภายในท่อ เป็นสูญญากาศ ส่งผลให้มีเลือดไหลมายังอวัยวะเพศมากขึ้น จนอวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อแข็งได้ที่แล้ว ก็ใช้ห่วงยางรัดไว้ที่โคนของอวัยวะเพศ ไม่ให้เลือดไหลออก แล้วถอดท่อพลาสติกออก ก็เป็นอันพร้อมใช้การได้ทันที

อวัยวะเพศแบบฝัง

ถ้าวิธีข้างต้นไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ การฝังอวัยวะเพศเทียม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งแก้ปัญหาได้ แต่สำหรับรายละเอียดเจาะลึก คงต้องไปคุยกับศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ศัลยกรรมหลอดเลือด การผ่าตัดแก้ไขปัญหาของหลอดเลือดดำ และหลอดเลือดแดงที่มาเลี้ยงอวัยวะเพศ อย่างน้อยก็จะได้ผ่อนคลายความกังวล หรืออาจเป็นการแนะนำให้ผู้ป่วยฝึกอะไรบางอย่าง ซึ่งจะช่วยให้ร่วมรักได้นาน ขึ้นปัญหาสุขภาพทั่วไป

โรคทุกชนิด ไม่ว่าเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง จะทำให้ความต้องการทางเพศลดลงได้ ไม่ว่าจะเป็นเพียงไข้หวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงการป่วยหนัก ๆ เช่น เป็นโรคหัวใจ หรือมะเร็ง แต่ในทางกลับกัน ถ้าร่างกายแข็งแรงขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการออกกำลัง และกินอาหารอย่างเหมาะสม ตลอดจนกินยาอย่างถูกต้องตามเวลา (ในกรณีที่มีโรคประจำตัว) ก็ย่อมจะมีความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น ฤทธิ์ของยาไม่ว่าจะเป็นยาลดความดัน ยาคลายเครียด ยารักษาภาวะซึมเศร้า ล้วนแต่ลดความต้องการ ความเครียด ไม่ว่าจะมาจากเรื่องใด เรื่องแฟน เรื่องงาน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องเศรษฐกิจ ก็ล้วนแต่ ลดความต้องการทางเพศลงได้ทั้งสิ้น และเมื่อสามารถแก้ปัญหาที่มากวนใจเหล่านี้ได้ ความต้องการทางเพศก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม


ที่มา
นพ. ไพโรจน์ อภัยบัณฑิตกุล
ศัลยแพทย์ทั่วไป โรงพยาบาลปิยะเวท

โรคเก๊าท์

อาการปวดข้อโรคเก๊าท์นี้ ถือเป็นสัญญาณแก่ประการหนึ่ง ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องปวดข้อนี้มีอยู่ทั้งจริงมาก และจริงน้อย ถือเป็น “พงศาวดารอภินิหารข้ออักเสบ” ที่บทจะปวดก็รวดร้าวขึ้นมาชวนน้ำตาร่วง แต่ยามจะหายก็หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องราวของเก๊าท์นั้นจึงถือว่า เป็นพงศาวดารที่ไม่ใช่มีแต่วิชาการอย่างเดียว หากแต่ผสานไปกับความเชื่อพิสดารด้วย เป็นต้นว่า เป็นเก๊าท์แล้ว ห้ามกินเป็ดไก่เด็ดขาด หรือปวดข้อเข่าอย่างนี้ เป็นเก๊าท์หรือไม่??

ทำไมต้องปวดข้อนิ้วเท้า??

ถ้าหาก อยากรู้ว่าคนปวดเก๊าท์ทรมานแค่ไหน ขอให้ลองเล่นเกมเรียลลิตี้ดู โดยนึกว่า ท่านกำลังถูกเข็มเล่มแหลมเปี๊ยบมาปักอยู่ตรงข้อนิ้วเท้าอย่างแม่นยำ ลำพังเข็มเล่มเดียวก็เจ็บปวดสุด ๆ แล้ว แต่เก๊าท์เข้าข้อจะเหมือนเข็มสักร้อยพันเล่ม พร้อมใจกันมาเสียบแทงอยู่ในเนื้ออ่อน ๆ ของข้อนิ้วเท้า ยามขยับนิ้วเดินเข็มพันเล่มนี้ ก็จะช่วยกันแทงเข้าไป หรือยิ่งไปนวด ก็จะทำให้มันยิ่งตำนิ้ว จนเจ็บเข้าขั้วหัวใจเลยทีเดียว

ที่กรดเก๊าท์มักมาทักทายข้อนิ้วเท้าบ่อย ๆ เป็นเพราะเหตุผลหลัก คือ ข้อนิ้วเท้าเย็นกว่าร่างกาย ทำให้การขับกรดเก๊าท์เป็นไปอย่างเอื่อยเฉื่อย จึงคับคั่งกันอยู่ตามข้อนิ้วมากที่สุด ดังนั้น อาการเก๊าท์เริ่มแรก คือ ปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อนิ้วเท้า หรือข้อนิ้วมือก็ได้ ท่านที่เริ่มปวดจากข้อใหญ่ อย่างข้อเข่าก่อน ก็ค่อนข้างนอนใจได้มากครับ เพราะหลักของเก๊าท์ “ข้อเล็ก ๆ ใช่ แต่ข้อใหญ่ ๆ ไม่เอา”

เป็นเก๊าท์...กินเป็ดไก่ไม่ได้ จริงหรือ?

สำหรับท่านที่รู้สึกเซ็งเป็ดเซ็งไก่กับชีวิตยิ่งนัก อยากกินอะไร ก็ไม่ได้ เพราะมีเก๊าท์ค้ำคออยู่ ขอให้ใช้เทคนิกการเลือกของกินอย่างง่าย ๆ 2 ประการดังนี้ คือ
  1. เลี่ยงกินเนื้อสัตว์มาก รวมถึงน้ำต้มเนื้อสัตว์ เช่น ซุปหมู ซุปไก่
  2. อย่ากินส่วนยอด ส่วนเม็ด เช่น ถ้าจะกินแตงกวา ก็ให้คว้านเม็ดออก หรือถ้าจะกินหน่อไม้ ก็ให้ต้มนาน ๆ และต้มกับใบย่านางด้วย ก็จะยิ่งดี และถ้าดื่มแอลกอฮอล ก็ขอให้เลี่ยงชนิดที่ทำจากเมล็ด เช่น เบียร์ เป็นตัวปวดเก๊าท์อย่างดีทีเดียว

เท่ากับว่า ท่านยังคงกินเป็ดไก่ได้ เพียงแต่ให้เลือกกินในส่วนเนื้อ และไม่มากเกินวันละครึ่งฝ่ามือ (ครึ่งขีด) อย่าไปหนักซดน้ำซุปไก่ หรือซุปหมู ให้หนักจนเกินไป ถ้าวันนี้กินเนื้อสัตว์ไปมากแล้ว ก็อย่าไปเติมด้วย น้ำซุปก๋วยเตี๋ยว หรือต้มคาตั๊งอีก เพราะจะทำให้กรดเก๊าท์ท่วมท้นจนเกินไป หรือถ้าจะไปเยี่ยมผู้ใหญ่ ก็ขอให้เช็คดูสักนิดว่า ท่านไม่ได้เป็นโรคเก๊าท์ ก่อนจะเอาซุปไก่ไปฝากครับ

แก้ให้ดี ต้องจี้ที่ตัวร้าย

สำหรับวัตรปฏิบัติขจัดเก๊าท์ ตามแนวการแพทย์ทั่วไปนั้น ก็เชื่อว่าท่านได้ฟังกันจนปรุแล้ว จึงอยากขอนำวิธีบำบัดเก๊าท์ ที่มักถูกมองข้ามไป มาช่วยเสริมด้วย ตัวร้ายฝ่ายหาเรื่องปวดข้อนั้น ไม่ใช่เรื่องอาหารอย่างเดียว หากเกิดจากตัวเราเป็นหลัก เพราะอาหารที่มีธาตุเก๊าท์ ก็คือ อาหารทุกอย่างที่เรากิน แต่ที่ดันไปทำให้สะสมจนเกิดปวดข้อจนหน้าเขียวได้ ก็เพราะการกินซ้ำ ๆ ซาก ๆ กินมาก ๆ และกินแล้ว ไม่ระบายออกนั่นเอง

วิธีที่จะช่วยชำระคราบเก๊าท์ออกจากตัว ก็คือ
  1. ลดน้ำหนักตัวลง เพราะยิ่งอ้วน ยิ่งขับเก๊าท์ยาก
  2. ดื่มน้ำให้มากถึงวันละ 3 ลิตร
  3. อย่าซดน้ำซุปเนื้อสัตว์ หรือดื่มเบียร์ แต่ให้ดื่มกาแฟได้ เพราะมีงานวิจัยว่าช่วยลดกรดเก๊าท์
  4. รับประทาน เต้าหู้วันละ 1 แผ่น จะช่วยขับกรดเก๊าท์ออกได้

สำหรับท่านที่มีอาการเก๊าท์มาทักทายแบบรุนแรงเฉียบพลัน อย่าเพิ่งลุกขยับนิ้วเท้าไปไหน และไม่ต้องหาอะไรมาประคบ ไม่ต้องเอายาหม่องมาทาถู เพราะจะยิ่งปวดทรมาน แต่ขอให้อยู่เฉย ๆ และหยิบเอายาแก้ปวดธรรมดาอย่างพาราเซตามอล มากินสักสองเม็ด แล้วก็ดื่มน้ำตามให้มาก ๆ เป็นลิตร ก็จะช่วยพิชิตปลิดอาการปวดเก๊าท์ได้ชะงัดดีนักแล

Wednesday, November 18, 2009

ภาชนะเคลือบเทฟลอน

" เทฟลอน " (Teflon) เป็น ชื่อทางการค้าของสารโพลิเตตระฟลูออโรเอทิลีน (Polytetrafluoroethylene - PTFE) ที่มีคุณสมบัติเด่น คือ เป็นสารที่มีความลื่นมาก

กระทะเทฟลอน

เมื่อเทฟลอนมีความลื่นมาก ผู้ผลิตจึงใช้สารนี้ เป็นส่วนผสม หรือเคลือบลงบนผลิตภัณฑ์หลายประเภท โดยเฉพาะใช้เคลือบพื้นผิวภาชนะเครื่องครัวต่างๆ ทำให้หมดปัญหาเรื่องอาหารติดภาชนะเวลาทอด ช่วยลดปริมาณไขมันในการประกอบอาหารลงได้ และยังทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย

คุณสมบัติเด่นอีกอย่างหนึ่งของเทฟลอน คือ มีความเฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีกับสารอื่น ดังนั้น จึงไม่ทำให้เกิดอันตราย กับอาหารที่ปรุงจากภาชนะเคลือบเทฟลอน นอกจากนี้ยังทนต่อกรด และด่าง ทนอุณหภูมิทั้งสูง และต่ำมาก ๆ ได้ดี มีจุดหลอมเหลวอยู่ที่ 327 องศาเซลเซียส และไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้าอีกด้วย

การใช้ภาชนะเทฟลอนให้ถูกวิธี ควรใช้ตะหลิว หรือทัพพี ที่เป็นไม้ หรือพลาสติกกับภาชนะที่เคลือบเทฟลอนเท่านั้น การใช้ตะหลิว หรือทัพพี ที่ทำจากโลหะที่มีความคม หรือมีขอบไม่เรียบ จะทำให้เกิดรอยขูดขีด ซึ่งทำให้เทฟลอนหลุดลอกได้ หรือการใช้ฝอยขัดทำความสะอาด แม้กระทั่งการเทน้ำราดลงไปที่ภาชนะเคลือบทันที ขณะที่ยังร้อนอยู่ ก็สามารถลดอายุการใช้งานของเทฟลอนได้เช่นกัน

เทฟลอน... อันตราย??

สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา แห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ภาชนะที่เคลือบเทฟลอน เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ผ่านการล้างขัดถูมาก ๆ อาจมีอนุภาคบางส่วนลอกหลุดออกมาปะปนกับอาหารได้ อย่างไรก็ตาม อนุภาคเหล่านั้นจะผ่านออกจากร่างกายโดยไม่ถูกย่อย และดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต แต่จะถูกขับถ่ายออกมา โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย

อันตรายของเทฟลอน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ก็คือ การใช้ในอุณหภูมิสูงมาก ๆ อาจทำให้เกิดควันที่ไม่พึงประสงค์ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่า ควันที่เกิดขึ้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของ มนุษย์หรือไม่

จากการวิจัยพบว่า เมื่อเผาภาชนะเปล่าที่เคลือบด้วยเทฟลอน จนอุณหภูมิสูงเกินกว่า 400 องศาเซลเซียส อนุภาคของสารเทฟลอนจะกลายเป็นไอและหลุดออกมาสู่บรรยากาศ ซึ่งไอของมันสามารถทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการไข้จากหวัด (Polymer fume fever) แต่ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้น หากใช้ภาชนะเคลือบเทฟลอนในช่วงอุณหภูมิใช้ปกติ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย จึงควรใช้ภาชนะเหล่านี้ที่ความร้อนระดับต่ำจนถึงปานกลางเท่านั้น

แม้ว่าตัวเทฟลอนเองจะค่อนข้างใช้ได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อนำไปผ่านกระบวนการในการเคลือบเทฟลอน กลับทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่า เทฟลอนนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่

องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (United State Environmental Protection Agency - US EPA) พบว่า ในกระบวนการเคลือบสารเทฟลอนในวัสดุใด ๆ จะก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง ที่มีชื่อว่า เพอร์ฟลูออโรออคตาโนอิค แอซิด (Perfluorooctanoic Acid – PFOA)

PFOA สลายตัวได้ยาก เมื่อเข้าสู่ร่างกาย และจะอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน การกำจัดสารนี้ออกจากร่างกายราว 95-99% จะต้องใช้เวลาราว 20 ปี โดยต้องไม่รับสารตัวนี้เข้าร่างกายอีก

การที่สารนี้สลายตัวได้ยาก จึงตรวจพบว่า มีการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และผลการตรวจเลือดในกลุ่มอาสาสมัครชาวอเมริกันจำนวนหนึ่ง พบว่า ทุกคนมีสารก่อมะเร็งตัวนี้ ปนเปื้อนอยู่ในกระแสเลือด แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งยังไม่ทราบว่า สารนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม บริษัทดูปองท์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเทฟลอน ระบุว่าสาร PFOA ถูกใช้เฉพาะขณะอยู่ในกระบวนการผลิตเท่านั้น ไม่มีสารนี้อยู่ในเครื่องครัวเทฟลอน หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และจากผลการทดลองของบริษัท ก็ไม่พบว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์แต่อย่างใด

ในขณะที่ผลการศึกษาพิษของสาร PFOA ในสัตว์ทดลอง พบว่า เป็นสารก่อมะเร็ง และทำลายภูมิคุ้มกันโรค แต่ผลที่ได้ยังไม่ชี้ชัดว่า PFOA มีอันตรายต่อคน และความเสี่ยงที่จะเกิดกับมนุษย์นั้นยังมีความเป็นไปได้น้อย

อย่างไรก็ตาม บริษัท ดูปองท์ และบริษัทที่ขายสารเคมีกลุ่มเทฟลอนอีกหลายแห่ง ได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับ US EPA เพื่อช่วยกันลดสารพิษนี้จากภาชนะ และวัสดุที่ผ่านการเคลือบเทฟลอน โดยจะพัฒนาเทคโนโลยีการเคลือบภาชนะ ที่ไม่ทำให้มีสารเคมีใด ๆ เหลือตกค้างอยู่ หรือสลายตัวออกมา ขณะที่มีการปรุงอาหารได้อีก โดยมีเป้าหมายจะลดสารพิษเหล่านี้จากผลิตภัณฑ์ให้ได้ร้อยละ 95 ภายในปี พ.ศ. 2553 และคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์จะปลอดสารพิษอย่างแท้จริงในปี พ.ศ. 2558

ริดสีดวงทวาร

โรคริดสีดวงทวาร เกิดจากหลอดเลือดดำบริเวณส่วนปลายของลำไส้ตรงโป่งพอง หรือขอด ทำให้มีอาการเจ็บ ๆ คัน ๆ ในระยะแรก และอาจมีอาการเจ็บปวดในระยะหลัง อาการสำคัญ คือ มีเลือดสด ๆ ออกมาขณะถ่ายอุจจาระ เนื่องจากเกิดการเสียดสีระหว่างอุจจาระ กับเส้นเลือดที่โป่งพอง

โรคนี้พบได้บ่อยทั้งเพศหญิง และเพศชาย อาการในระยะแรกจะไม่รุนแรง และมักเป็น ๆ หาย ๆ สามารถหายได้เองในระยะแรก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะอาย และไม่กล้าไปพบแพทย์ หากทิ้งไว้นาน ๆ โดยไม่รักษา อาจทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มักใช้เวลานานหลายปีก่อนจะมีอาการรุนแรงจนต้องรักษาโดยการผ่าตัด

โรคริดสีดวงทวาร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
  1. ริดสีดวงทวารภายใน ริดสีดวงทวารชนิดนี้จะไม่ค่อยเจ็บปวด เนื่องจากบริเวณที่เป็นจะคลุมด้วยเยื่อบุของทวารหนัก ไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกปวด
  2. ริดสีดวงทวารภายนอก จะเป็นก้อนอยู่ข้างนอก มีผิวหนังคลุมอยู่ มักมีอาการคัน และเจ็บมากกว่า ริดสีดวงภายใน เนื่องจากผิวหนังรอบทวารหนักมีเส้นประสาทรับความรู้สึกปวด

ระดับความรุนแรงของโรคริดสีดวงทวาร

โรคริดสีดวงทวารยังสามารถแบ่งความรุนแรงของอาการ และการโผล่ออกมาของริดสีดวงทวารได้ดังนี้
  • ระยะที่ 1 มีเส้นเลือดดำโป่งพองในทวารหนัก เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระจะมีเลือดไหลออกมาด้วย หากท้องผูก เลือดจะยิ่งไหลออกมามากขึ้น เพราะมีการเสียดสีกับหลอดเลือด ที่โป่งพองมากขึ้น
  • ระยะที่ 2 เมื่อถ่ายอุจจาระ ก้อนริดสีดวงจะโผล่ยื่นออกมา แต่สามารถหดกลับเข้าไปข้างในเองได้ เมื่อถ่ายอุจจาระเสร็จ
  • ระยะที่ 3 ก้อนริดสีดวงจะโผล่ออกมาขณะถ่ายอุจจาระ และไม่สามารถหดกลับเข้าไปข้างในเองได้ ต้องใช้นิ้วช่วยดัน
  • ระยะที่ 4 ก้อนริดสีดวงโผล่ออกมาตลอดเวลา และไม่สามารถใช้มือดันกลับเข้าไปได้อีก

สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารมากกว่าสาเหตุอื่น ๆ ก็คือ ท้องผูกเรื้อรัง เนื่องมาจากพฤติกรรมที่ไม่ดีหลาย ๆ ประการ เช่น ไม่ค่อยได้รับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำน้อย ขับถ่ายไม่เป็นเวลา นั่งทำงานตลอดทั้งวัน ประกอบกับความเครียดในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกมากขึ้น

นอกจากท้องผูกเรื้อรังแล้ว ริดสีดวงทวารยังสามารถเกิดขึ้นได้จากภาวะท้องเสียเรื้อรัง การตั้งครรภ์ ซึ่งจะหายไปได้เองหลังการคลอดบุตร หรืออาจเกิดจากพันธุกรรม ความชรา การยกของหนัก หรือการยืนนาน ๆ

การรักษาโรคริดสีดวงทวาร

การรักษามีหลายวิธี โดยพิจารณาจากชนิด และความรุนแรงของโรคเป็นหลัก ในระยะต้น ๆ จะใช้การรักษาด้วยยา เช่น ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม หรือยาสเตียรอยด์เหน็บทวาร เพื่อลดการอักเสบ ควรใช้ยา เมื่อมีอาการเท่านั้น และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนาน ๆ

หากใช้ยาแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น อาจใช้ยางชนิดพิเศษรัดริดสีดวงทวาร ซึ่งได้ผลดี ไม่เจ็บ และสามารถทำได้บ่อย ๆ บางแห่ง อาจรักษาด้วยการจี้ริดสีดวงทวาร เช่น การจี้ด้วยอินฟราเรด แต่ไม่จำเป็นนัก

โดยทั่วไป หากอาการไม่รุนแรงจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นผ่าตัด ยกเว้นบางรายที่เป็นทั้งริดสีดวงภายนอก และภายในพร้อมกัน ซึ่งไม่สามารถใช้ยางรัดได้ เพราะจะเจ็บมาก หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน ปวดมาก หรือหัวริดสีดวงเน่าจากการขาดเลือด จึงจะรักษาด้วยการผ่าตัด

ปัจจุบันมีวิทยาการใหม่ ๆ ที่ใช้ในการผ่าตัด ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยลง ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยลง ไม่มีผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด และสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบเดิม แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้นด้วย

วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวาร
  • ระวังอย่าให้ท้องผูก ด้วยการรับประทานอาหาร ที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่น ผัก ผลไม้
  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย วันละ 6-8 แก้ว เพื่อทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น สะดวกต่อการขับถ่าย และลดการเสียดสี กับเส้นเลือด ที่โป่งพองบริเวณทวารหนัก
  • ฝึกอุปนิสัยถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น

แม้ว่า โรคริดสีดวงทวารจะไม่มีอันตรายมากนัก ส่วนใหญ่จะมีเลือดออกไม่มาก แต่ก็มีบางราย ที่มีเลือดออกจนช็อก แต่ที่ควรระวังมากกว่านั้น ก็คือ การถ่ายเป็นเลือดอาจจะไม่ใช่โรคริดสีดวงทวารก็ได้

การถ่ายเป็นเลือดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคแผลที่ทวารหนัก เนื้องอก หรือมะเร็ง ดังนั้น หากมีอาการถ่ายเป็นเลือด ไม่ควรรักษาด้วยตัวเอง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุใด

Tuesday, November 17, 2009

Metabolic Syndrome รอบเอวอันตราย

เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำทำคนไทยอ้วนลงพุง เสี่ยงโรคร้ายในกลุ่มเมตาบอลิกซินโดรม เพชรฆาตเงียบ...สาเหตุการตายมากสุดในโลก

จากสถิติคนไทยตายด้วยโรคกลุ่มเมตาบอลิกซินโดรม หรืออ้วนลงพุง ได้แก่ โรคหัวใจ และหลอดเลือด รวมถึงหลอดเลือดสมอง และเบาหวาน รวมวันละ 236 คน หรือชั่วโมงละ 10 คน นั่นคือ!! 6 นาที ต่อ 1 คน ซึ่งมีผลสำรวจว่า กลุ่มคนอ้วนลงพุง หรือชายที่มีรอบเอวมากกว่า 90 ซม. และหญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 80 ซม. มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูง เอชดีแอลต่ำ และความเครียดสูง

เนื่องจากคนอ้วนลงพุงจะมีไขมันจำนวนมาก อยู่บริเวณรอบเอว และจะเป็นแหล่งสะสม พลังงานส่วนเกิน ซึ่งอันตรายที่แฝงมานั้น มีมากกว่าการสะสมพลังงาน เพราะไขมันเหล่านั้นจะผลิตฮอร์โมนออกมาเช่นเดียวกับต่อมผลิตฮอร์โมน โดยจะมีผลต่อการเกิดเมตาบอลิกซินโดรมมากขึ้น

สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคกลุ่มนี้ จะมาพร้อมกับความเจริญ และเทคโนโลยี ที่นำไปสู่การบริโภคอาหารไม่ดี เนื่องจากคนในปัจจุบันมักจะนั่งทำงานอยู่กับที่ วันละหลายชั่วโมง อาศัยแต่สิ่งอำนวยความสะดวก โดยไม่ขยับร่างกาย และไม่ออกกำลังกาย ทั้งยังกินอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งไขมันเป็นตัวการสำคัญ ทำให้เกิดเมตาบอลิกซินโดรม หรืออ้วนลงพุง หากมีไขมันสะสมมาก จะเข้าไปในหลอดเลือดทั่วร่างกายจนเกิดการตีบตัน หากเกิดกับหัวใจจะทำให้หัวใจโต และเกิดหัวใจวาย (Heart Attack) จากสถิติพบว่าผู้ที่อ้วนลงพุงจะมีโอกาสเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดสูงกว่าคนทั่วไป การปรับเปลี่ยนความคิด และการดำเนินชีวิต ทั้งการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เครียด และออกกำลังกาย เพราะการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์สำคัญกว่าการให้ยาเสียอีก

จากการวิจัยพบว่า การลดน้ำหนักมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคอ้วนลงพุง ดังนั้น ควรดูแลพุงให้ดีอย่าให้เกินมาตรฐาน เพราะการมีรอบเอวเกิน ก็เหมือนกับมีระเบิดเวลา ที่รอการระเบิดในอนาคต

หลักการกิน


โดยทั่วไปทุกคนจะทราบกันดีว่า กินให้พอดีกับพลังงานที่ใช้ออกมา แต่โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะกินเกินกว่าที่ใช้ เพราะรอบตัวมีแต่สิ่งยั่วใจ แรงกระตุ้นจากโฆษณา วัฒนธรรมตะวันตก และการบริการที่สะดวกสบาย นอกจากนี้คนไทยจำนวนมากยังมีพฤติกรรมการกินที่ผิด ๆ เช่น งดอาหารเช้า ชอบของมัน ของทอด กินผักผลไม้น้อย นิยมอาหารที่สะดวกกินสะดวกซื้อ เป็นต้น

หลักโภชนาการใน การลดเสี่ยงอ้วนลงพุง คือ ลดคาร์โบไฮเดรต และไขมันที่ไม่ดี ซึ่งการลดที่ถูกต้อง และทำได้ง่าย เช่น ลดเครื่องดื่มหวาน น้ำอัดลม ขนมอบ ไอศครีม โดนัท เป็นต้น เน้นคาร์โบไฮเดรตที่ดี มาจากข้าว และแป้งไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ และนมไขมันต่ำ โดยกินข้าวในปริมาณวันละ 6 ทัพพี

พร้อมกันนี้ต้องลดการกินเค็ม และลดไขมันไม่ดี เน้นกินไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนลา เป็นต้น และต้องเลือกให้เหมาะกับวิธีการปรุงอาหาร อ่านฉลากก่อนซื้อ โดยดูปริมาณกรดไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานซ์ต่ำ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง (โอเมก้า 3, 6, 9) หากต้องการทอด เลือกชนิดที่จุดเดือดเป็นควันสูง เช่น น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ต้องควบคุมปริมาณไขมัน โดยกินน้อยกว่า 6-8 ช้อนชาต่อวัน เพราะน้ำมันทุกชนิดให้พลังงานเท่ากัน นอกจากนี้ ต้องดูความสมดุลของกรดไขมันด้วย เนื่องจากน้ำมันพืชที่ใช้กันทั่วไปอย่าง ถั่วเหลือง ทานตะวัน หรือข้าวโพด จะมีโอเมก้า 6 มากเกินไป ทำให้เร่งการเกิดการอักเสบในร่างกาย และเกิดปัญหากับสุขภาพ จึงต้องรับประทานโอเมก้า 3 เพิ่มขึ้นเพื่อปรับสมดุล

โอเมก้า 3 จะได้จากปลาทะเลน้ำลึก วอลนัท น้ำมันคาโนล่า เมล็ดแฟล็กซิด เป็นต้น หรือใช้น้ำมันผสม เพื่อให้ได้สัดส่วนกรดไขมันดีขึ้น เช่น น้ำมันคาโนล่าผสมทานตะวัน เพื่อความสะดวกในการใช้

ถังขยะ & แพะ แห่งวงการสุขภาพ

มีคนไข้รวมมิตรโรคมาปรึกษาว่า โรคเรื้อรังที่เป็นอยู่นี้ มันคืออะไรกันแน่?? ไปหามาหลายที่แล้วก็สรุปไม่ได้เสียที

ข้อแนะนำทริควินิจฉัยตัวเอง

ไม่ว่าโรคอะไร มันต้องมีสมุฏฐานของมัน หรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องมี “ผู้ร้ายตัวจริง” แต่ที่เรายังไม่รู้นั้น เป็นเพราะว่า ยังหาผู้ร้ายตัวจริงไม่พบต่างหาก และก็มีหลายท่านอีกเหมือนกัน ที่พาชื่อโรคแปลก ๆ เป็นต้นว่า น้ำเหลืองไม่ดี, หัวใจอ่อน, เครียดลงกระเพาะ ฯลฯ มาถามว่าเขาเป็นโรคนั้นโรคนี้จริงหรือ?? รู้สึกคิดมากกังวลราวกับถูกพิพากษา ก็ขอบอกเลยว่าตามหลักอายุรวัฒน์แล้ว ท่านอย่าให้ใครมาตราว่าป่วยเป็นโรคใด ๆ แล้วก็ต้อง “ทำตัวป่วย” ไปตามนั้น ซึ่งเป็นสิ่งไม่ควร และไม่ได้ประโยชน์เลย ไม่ว่ากับใครก็ตาม

" แพะ " แห่งวงการสุขภาพ หรือ ถังขยะใบใหญ่ ที่ชอบใช้ตีตรากันบ่อย ๆ จากประสบการณ์ตรงมาเล่าให้ท่านฟังกัน

ถังขยะที่พบบ่อย ๆ

ไม่ว่าจะถังขยะ หรือ แพะนั้น สามารถถูกจับโยน ให้เป็นได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่จะขอนำอันที่พบเห็นบ่อย ๆ มาเล่าก่อน เผื่อจะได้เป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่าน ใช้แก้ไขได้เองครับ จึงขอนำสรรพโรคที่เจอจากคนไข้มา ทำเป็นตารางไว้ให้เก็บไว้ดูง่าย ๆ ดังนี้ครับ
  • อาการปวดหัว -----> ไมเกรน
  • มึนหัวบ้านหมุน ----> น้ำในหูไม่เท่ากัน
  • ตาแดง ------------> ติดเชื้อ
  • เจ็บคอ ------------> คอติดเชื้อ
  • คัดจมูก -----------> ภูมิแพ้ ไซนัส
  • ผื่นคัน ------------> ผิวแพ้
  • นอนไม่หลับ -------> เครียด
  • ปวดท้อง ----------> โรคกระเพาะ
  • ปวดท้องน้อย -----> มดลูก
  • ท้องผูก -----------> ปัญหาที่อาหาร
  • ปวดกระดูก -------> กระดูกเสื่อม

บางทีท่านอาจไม่ได้มีอาการเหล่านี้ แต่ที่เลือกมา คือ ที่พบบ่อย ๆ และไว้เผื่อสำหรับญาติสนิทมิตรรักใกล้ตัวท่าน เชื่อว่าน่าจะมีอยู่ที่ต้องทนทุกข์จากอาการเหล่านี้ แต่ไปหาที่ใดก็ไม่หายสักที ต่อไปนี้จะให้ท่านเป็นหมอของตัวเองดู ว่าโรคที่มักคิดว่าเป็นถังขยะนั้น ที่จริงมันอาจเป็นอะไรได้บ้าง เผื่อไว้เป็นไอเดีย

เหตุอื่น ๆ ที่ถูกมองข้าม เพราะเชื่อ "ถังขยะ"
  • ปวดหัว - ตึงเครียดกล้ามเนื้อ, นั่งผิดท่า, สายตา, ปวดปลายประสาท, ความดันสูง, ปวดหัวคลัสเตอร์ ฯลฯ
  • มึนหัวบ้านหมุน - ความดันสูง, หินปูนหูส่วนใน, หูติดเชื้อ, เนื้องอก ฯลฯ
  • ตาแดง - ภูมิแพ้, อักเสบจากคอนแทกเลนส์, แผลที่กระจกตา, ตาแห้ง, ขาดวิตามิน ฯลฯ
  • เจ็บคอ - กรดไหลย้อน, เริ่ม, โรคมือเท้าปาก, โรคไข้จูบ, หนองในเข้าคอ (ออรัลเซ็กส์)
  • คัดจมูก - ริดสีดวงจมูก, เนื้องอกหลังโพรงจมูก, ไซนัสเรื้อรัง
  • ผื่นคัน - ผิวแห้ง, เชื้อรา, โรคไทรอยด์, วัยทอง, เครียด, แพ้ภูมิตัวเอง
  • นอนไม่หลับ - ถูกสารพิษ, สมองเสื่อม, แพ้ยา, วัณโรค, ยาเสพติด, เนื้องอกสมอง,หลอดเลือดอุดตัน, พิษไทรอยด์, โรคหัวใจ ฯลฯ
  • ปวดท้อง - ลำไส้แปรปรวน, ไส้ติ่งอักเสบ, ลำไส้ติดเชื้อ, นิ่วในถุงน้ำดี
  • ปวดท้องน้อย - กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, นิ่ว,อุ้งเชิงกรานอักเสบ
  • ท้องผูก - ลำไส้แปรปรวน, เนื้องอก, มะเร็ง
  • ปวดกระดูก - กล้ามเนื้ออักเสบ, ปลายประสาทถูกกดทับ, กระดูกพรุน, มะเร็งลามเข้ากระดูก ฯลฯ

ค่อย ๆ ลองคิดลองสำรวจตรวจโรค ที่เราเป็นเจ้าของอยู่ดี ๆ บางทีโรคที่ "ถอดใจ" แล้วว่ารักษาไม่หายไปมาหลายที่ อาจมีอัศจรรย์บังเกิดขึ้นก็ได้ แค่เพียงอย่าคิดง่าย ๆ ฝากโรคไว้กับ "ถังขยะ" จนเกินไป แล้ว ที่สำคัญขออย่ายอมให้ใครมาตีตราว่า เราป่วยขั้นสิ้นหวังรักษาจนจิตตกไปด้วย

ที่มา
นพ. กฤษดา ศิรามพุช พบ. (จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

Monday, November 16, 2009

อร่อย อันตราย ... ของกินปิ้งย่าง

ลมเย็นเตรียมจะมาเยือน เป็นสัญญาณของลานเบียร์ และอีกหนึ่งในเมนูของฤดูกาลนี้ เห็นจะไม่พ้น อาหารประเภทบุฟเฟต์ เนื้อกระทะ หมูกระทะ ไก่กระทะ

หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมาบ้าง ว่า ของปิ้ง ๆ ย่าง ๆ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่จะเป็นอันตรายแบบไหน และพอจะหลบเลี่ยงพิษภัย (แต่ยังลิ้มรสอร่อย) ได้อย่างไรหรือไม่? อันว่าด้วย ด้านตรงข้ามของความอร่อย จากอาหารปิ้ง-ย่าง-รมควันนั้น ก็คือ สารพิษที่ชื่อ " พีเอเอช " (polycyclic aromatic hydrocarbon) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับ ที่เกิดในควันไฟ ควันธูป ควันบุหรี่ ควันโรงงาน และควันอื่น ๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้ ที่ไม่สมบูรณ์ สารกลุ่มนี้ถูกพิสูจน์ชัดว่า ก่อให้เกิดมะเร็งได้ในสัตว์ทดลอง กล่าวได้ว่า สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ในคนเช่นกัน

สาร " พีเอเอช "
นี้เกิดจากไขมันในเนื้อสัตว์ ที่หยดติ๋ง ๆ ลงบนถ่าน ขณะที่ให้ความร้อนต่ำ และเมื่ออากาศมีจำกัด ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จึงเกิดควันที่มีสารพีเอเอชลอยฉุย ๆ ขึ้นมาเกาะที่ผิวอาหาร โดยสารนี้ จะมีมากในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้งย่างนั้น

นักวิทยาศาสตร์ด้านพิษวิทยาทางอาหาร ได้ทำการศึกษาวิธีการปิ้งย่างอาหาร ที่สามารถลดการเกิดสารพีเอเอช ดังนี้
  1. ก่อนปิ้ง ย่างเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ควรตัดส่วนที่เป็นมันออกไปก่อน เพื่อลดไขมัน ที่จะไปหยดลงบนถ่าน
  2. ถ้าเป็นไปได้ ควรนำเนื้อสัตว์ที่จะย่างไป อบ ต้ม หรือเข้าไมโครเวฟเสียก่อน เพื่อลดการเกิดสารพีเอเอช
  3. หันไปใช้เตาไฟฟ้า (ไร้ควัน) ซึ่งสามารถควบคุมระดับความร้อนได้มากกว่าการใช้เตาถ่าน
  4. ถ้าต้องปิ้ง ๆ ย่าง ๆ บนเตาถ่านธรรมดา ควรใช้ถ่านที่อัดเป็นก้อน ไม่ควรใช้ถ่านป่นละเอียด หรืออาจจะใช้ฟืน ที่เป็นไม้เนื้อแข็ง เพราะการเผาไหม้จะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ
  5. การใช้ใบตองห่ออาหาร ก่อนจะทำการปิ้งย่าง เป็นการลดปริมาณไขมันจากอาหาร ที่หยดลงไปบนถ่าน และทำให้อาหารมีกลิ่นหอมใบตองดีด้วย
  6. สำคัญสุด ก็คือ หลังปิ้งย่างเสร็จแล้ว ควรหั่นส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

อย่างไรก็ดี ถึงจะหั่นส่วนไหม้เกรียมทิ้งไป เพื่อขจัดสารพีเอเอชออกไปแล้ว แต่ก็ยังมีสารพิษอีกกลุ่มที่ชื่อ " เอชซีเอ " หรือ เฮเทอโรไซคลิกเอมีน (hetero cyclic amine) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากสารที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ ทำปฏิกริยากันเอง โดยอาศัยความร้อนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เริ่มจากน้ำตาล และกรดอะมิโนทำปฏิกิริยากัน ซึ่งจะทำให้ได้สารเคมีประเภทหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผลิตภัณฑ์เมลลาร์ด (Maillard reaction product) ซึ่งทำให้เนื้ออาหารมีสีสัน และกลิ่นหอม จากนั้นสารกลุ่มนี้ จึงไปทำปฏิกิริยากับ " ครีเอทีน " (creatine) ซึ่งเป็นสารชีวเคมี ที่มีในเนื้อสัตว์ จนเกิดเป็นสารพิษก่อให้เกิดมะเร็งชนิดเอชซีเอ

" สารเอชซีเอ " นอกจากจะเกิดในอาหารปิ้ง ๆ ย่าง ๆ แล้ว ยังเกิดกับอาหาร ที่ผ่านการปรุงแบบต้มเคี่ยวเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยการทดลองในห้องแล็บพบว่า การต้มเนื้อสัตว์นานเกิน 2 ชั่วโมง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ต่อมอาหาร และหลอดอาหาร

วิธีที่พอจะหลีกเลี่ยงการเกิดสารพิษชนิดนี้ อาจทำได้โดยนำเนื้อสัตว์ ที่แช่แข็งเข้าไมโครเวฟก่อนปรุง เพื่อให้เกิดการละลาย และน้ำเลือดไหลออกจากเนื้อสัตว์ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณของสารครีเอทีน ที่มีส่วนสำคัญในการเกิดเอชซีเอ หรืออีกวิธี คือ การเติมสารที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระลงไป เช่น ผงใบหม่อน ที่สามารถผสมกับผงหมักเนื้อ ก่อนนำไปปรุง นอกจากนี้ การต้มตุ๋นในระบบเปิด ก่อให้เกิดสารเอชซีเอน้อยกว่าระบบปิดด้วย เพราะสารเอชซีเอจะระเหยไปพร้อมกับไอน้ำ

อีกวิธีที่จะช่วยลดการก่อฤทธิ์ของสารก่อมะเร็งกลุ่มนี้ อาจทำได้โดยการกินเคียงไปกับผักบางชนิด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี และผักใบเขียวอื่น ๆ เนื่องจากสารพิษเหล่านี้ จะมีการดูดซึมในร่างกาย โดยบางส่วนจะสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน อีกส่วนถ้ามีปริมาณไม่มากเกินไป ก็จะถูกลำเลียงไปขจัดทิ้งที่ตับ การกินผักเหล่านี้ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับระบบทำลายสารพิษของร่างกาย


ที่มา
รศ. ดร. แก้ว กังสดาลอำไพ และ มลฤดี สุขประสารทรัพย์
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ความเสื่อมทาง " สายตา " ที่แฝงมากับ " โรคเบาหวาน "

ความเสื่อมทาง " สายตา " ที่แฝงมากับ " เบาหวาน "

ความเสื่อมทางสายตา เป็นภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อยมากประการหนึ่ง ในผู้ป่วยเบาหวาน ประมาณ 2% ของผู้ป่วยเบาหวาน ที่เป็นมานาน 15 ปี มีโอกาสตาบอดได้ และอีกประมาณ 10% มีความเสื่อมสภาพทางสายตาอย่างรุนแรง ผู้ที่เกิดตาบอดขึ้นมาทีหลัง มีสาเหตุจากเบาหวานประมาณ 12% อุบัติการณ์การเกิดโรคเพิ่มสูงสุด ในผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป และพบในผู้ชายมากกว่าในผู้หญิง 40%

ปัญหาทางตาที่เกี่ยวข้องกับเบาหวานที่พบได้คือ
  • ต้อกระจก (cataracts)
  • ต้อหิน (glaucoma)
  • แมคูลาร์บวม (macular edema) – แมคูลาร์ เป็นรอย หรือจุดหนึ่งบนจอรับภาพ หรือเรตินา ซึ่งถือเป็นจุดรับภาพที่ชัดที่สุด
  • พยาธิสภาพที่เรตินา (retinopathy)

การเปลี่ยนแปลงที่เรตินา และแมคูลาร์เกิดขึ้น เฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน ส่วนต้อกระจก และต้อหินเกิดขึ้นได้ ทั้งผู้ที่เป็นเบาหวาน และไม่เป็นเบาหวาน เพียงแต่ผู้ป่วยเบาหวานเกิดขึ้นได้บ่อยกว่า

การเปลี่ยนแปลงที่พบบ่อยที่สุด คือ การเกิดพยาธิสภาพ ที่เรตินาจากเบาหวาน (diabetic retinopathy) ความชุก (prevalence) ของการเกิดพยาธิสภาพที่เรตินา ในผู้ป่วยเบาหวาน ที่เป็นมามากกว่า 15 ปี พบมากกว่าผู้ที่เป็นมาน้อยกว่า 5 ปีถึง 3 เท่า ความเสี่ยงของการเกิดพยาธิสภาพ ที่เรตินาสูงขึ้น เมื่อฮีโมโกลบินเอวันซี และความดันโลหิต ขณะหัวใจบีบตัว (ความดันโลหิตซิสโตลิค หรือค่าความดันโลหิตตัวบน) สูงขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้น ให้เกิดพยาธิสภาพที่ตาได้เร็วขึ้น คือ
  • น้ำตาลในเลือดสูง นั่นหมายความว่า รักษาเบาหวานไม่ดี หรือไม่ทราบมาก่อนว่า เป็นเบาหวาน และสัมพันธ์กับค่าฮีโมโกลบินเอวันซี
  • ความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตาได้เร็วขึ้น
  • ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน ยิ่งเป็นมานาน ยิ่งมีโอกาสเกิดพยาธิสภาพ ที่เรตินามากขึ้น พยาธิสภาพ ที่เรตินาเป็นสาเหตุอาการทางสายตามากขึ้น ในผู้ที่เป็นเบาหวาน เมื่ออายุน้อย เมื่อเทียบกับผู้ที่เป็นเบาหวาน เมื่อมีอายุมาก ในขณะที่ต้อหิน ต้อกระจก และการเสื่อมที่แมคูลาร์ เป็นสาเหตุความเสื่อมทางสายตามากกว่าครึ่งของผู้ที่เป็นเบาหวาน เมื่ออายุมาก
  • การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
  • การตั้งครรภ์ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตาเร็วขึ้นได้
  • ไขมันในเลือดสูง เป็นปัจจัยกระตุ้นอีกตัวหนึ่ง
  • เชื้อชาติ พบในคนผิวดำมากกว่าคนผิวขาว

ผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพที่เรตินา ส่วนใหญ่ไม่มีอาการอะไร จนกระทั่งการเปลี่ยนแปลงได้ดำเนินไปมากแล้ว จึงมีความบกพร่องทางสายตาเกิดขึ้นได้ แม้ในผู้ที่เป็นมากแล้ว การดำเนินโรค โดยไม่ทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงทางสายตาเป็นเวลานานก็อาจพบได้ อาการไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกการเปลี่ยนแปลงของตาได้เร็ว การตรวจเช็คสายตาเป็นระยะ ๆ ในผู้ที่เป็นเบาหวาน จึงเป็นสิ่งจำเป็น

การป้องกันตาจากความเสี่ยง

ผู้ป่วยเบาหวานทุกคน คงไม่ต้องการให้ตนเองตาบอด แต่เป็นที่น่าเสียใจ ที่มีผู้ป่วยเบาหวานตาบอดทุก ๆ ปี ความรู้ความเข้าใจในโรคที่ตนเองเป็น และการปฏิบัติตนให้ถูกต้องสามารถปกป้องตาจากความเสี่ยงได้
  1. การรักษาเบาหวาน ให้ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ หรือใกล้เคียงปกติที่สุด รวมทั้งค่าฮีโมโกลบินเอวันซี ให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายที่ต้องการ
  2. วัดความดันโลหิตทุกครั้งที่พบแพทย์ ถ้ามีความดันโลหิตสูง ต้องรักษาความดันโลหิต ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตามเป้าหมาย
  3. ตรวจไขมันในเลือดเป็นระยะ ๆ และรับการรักษา ถ้าไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ที่ต้องการ
  4. ผู้ป่วยเบาหวาน ควรตรวจตาทุกปี ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงที่ตาแล้ว ต้องตรวจถี่ขึ้นตามการนัดของแพทย์
  5. ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน ควรตรวจเช็คเบาหวานเป็นระยะ ๆ เพื่อรักษาให้เร็วที่สุดตั้งแต่เริ่มแรก แม้กระทั่งในผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ก็ควรตรวจเช็คด้วย ความตื่นตัวต่อการคัดกรองโรคเบาหวาน (screening) เป็นการป้องกันทางตาดีกว่าการที่ปล่อยทิ้งไว้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตา แล้วจึงวินิจฉัยเบาหวานได้
  6. ควรมีการวางแผนครอบครัวที่ดี ผู้หญิงที่เป็นเบาหวาน ถ้าต้องการมีบุตรต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย ตรวจตา และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ต้องตรวจเช็คร่างกาย และควบคุมเบาหวานให้ดีที่สุดก่อนตั้งครรภ์

ถ้าเกิดพยาธิสภาพที่เรตินาแล้ว การรักษาที่ดีที่สุด คือ การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เพื่อทำลายเส้นเลือดที่เกิดขึ้นใหม่ การรักษาจึงเป็นการยับยั้ง ไม่ให้มีการดำเนินโรคเลวร้ายมากขึ้น การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ สามารถลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียสายตา จากโรคเบาหวานได้ ถึง 60% ในกรณีที่พยาธิสภาพที่เรตินาเป็นอย่างรุนแรง ที่เราเรียกว่า proliferative retinopathy เมื่อรักษาด้วยการยิงเลเซอร์จนดีแล้ว สามารถคงสภาพสายตาต่อไปได้ถึงมากกว่า 90% ของผู้ป่วยทั้งหมด การบวมของแมคูลาร์ก็สามารถรักษาได้ด้วยแสงเลเซอร์เช่นกัน การรักษาโดยการผ่าตัด จะทำส่วนใหญ่ในกรณีที่เป็นต้อกระจก โดยผ่าตัดเปลี่ยน เลนส์ที่ขุ่นออกไป และนำเลนส์เทียมใส่เข้าไปแทน พยาธิสภาพที่เรตินาบางราย ที่เป็นมาก ๆ อาจจำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด

เราจึงควรป้องกันตาจากความเสี่ยง ดีกว่าปล่อยให้เกิดขึ้นแล้วรักษาไม่ได้ จงอย่าลืมว่า เบาหวานทำให้ตาบอดได้ และอย่าประมาท ชะล่าใจ โลกนี้ยังมีความสวยสดงดงามอีกมากสำหรับทุกคนรวมทั้งผู้ป่วยเบาหวาน


ที่มา
ศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ
โรงพยาบาลเวชธานี

กระดาษทิชชู

" กระดาษทิชชู " มีหลายประเภท ควรใช้ให้ถูกงานถูกหน้าที่ กระดาษทิชชูซึ่งเป็นที่นิยม เพราะราคาถูก ควรถูกนำไปใช้บนโต๊ะอาหาร หรือไม่ และทำไม พบคำตอบได้ที่นี่

ถ้าพูดถึง "ทิชชู" (Tissue) หรือ " กระดาษทิชชู " ส่วนใหญ่เรามักเหมารวมว่า หมายถึง " กระดาษชำระ มีสีขาว เนื้อบางเบา " ที่มีคุณสมบัติซึมซับน้ำได้ดี เป็นสินค้าจำเป็นประจำครัวเรือน สำนักงาน ร้านอาหาร หรือเกือบในทุกสถานที่ ทุกแห่งที่มีคนอยู่ก็ว่าได้ " ทิชชู " มักถูกนึกถึงในเวลาฉุกเฉิน เอาไว้เช็ดทำความสะอาด

อย่างไรก็ตาม กระดาษทิชชู่มีอยู่หลายประเภท และสามารถแบ่งออกตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่
  1. กระดาษชำระ (Toilet tissue)
  2. กระดาษเช็ดหน้า (Facial tissue)
  3. กระดาษเช็ดปาก (Paper Napkin)
  4. กระดาษเช็ดมือ (Paper Hand towel) และ
  5. กระดาษเอนกประสงค์

แต่ดูเหมือนว่า คนไทยอย่างเรา ๆ จะใช้ทิชชู โดยไม่ได้คำถึงถึงประเภทของทิชชู เรามักเห็นกระดาษชำระ วางอยู่บนโต๊ะอาหาร หรือถูกนำไปเช็ดหน้าเช็ดตา หรือแม้กระทั่งเอาไว้ห่อ หรือวางรองอาหารด้วยซ้ำ โดยที่ไม่คิดรังเกียจใด ๆ ทั้งที่ "กระดาษชำระ" นั้นคือ กระดาษเหมาะสำหรับทำความสะอาดหลังขับถ่าย เป็นกระดาษย่น นุ่ม ดูดซึมน้ำได้ดี และยุ่ยง่ายเมื่อถูกน้ำ (มอก.214/2530)

ด้วยความที่เราใช้กระดาษชำระ ชำระกันไปเสียแทบทุกอย่าง จึงมีข้อสงสัยว่า กระดาษชำระดังกล่าว มีความสะอาด และปลอดภัยมากแค่ไหน ทั้งนี้ หลังจากพลิกอ่านคู่มือมาตรฐานอุตสาหกรรมกระดาษทิชชู ก็พบว่า ตามมาตรฐานของกระดาษชำระ จะเน้นความสำคัญไปที่การซึมซับน้ำ การย่อยสลาย ขนาด และจุดสกปรก ซึ่งเมื่อเราดูจากตาเปล่า เราไม่สามารถเห็นสิ่งปกติใด ๆ แต่ความจริงแล้ว มันมีสิ่งแปลกปลอมใด ๆ แฝงอยู่หรือไม่ ต้องตามอ่านกันต่อไป

เราได้ส่งตัวอย่างกระดาษชำระ ทั้งแบบเกรดเอ และเกรดบี 24 ตัวอย่าง ไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติกลางประเทศไทย เพื่อทดสอบหาปริมาณจุลินทรีย์ ชนิดก่อโรค ได้แก่ Bacillus cereus, Staphylococcous, Escherichis coli, Salmonella, Yeast and mold และ Total Plate Count

ผลการทดสอบพบว่า " ทุกยี่ห้อมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในปริมาณน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดโรค แต่...อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าไม่ปลอดจุลินทรีย์ " ดังนั้น จึงควรใช้กระดาษชำระให้ถูกกับงาน การนำไปใช้ผิดงาน อาจก่อให้จุลินทรีย์ปนเปื้อน และหากทิ้งไว้เป็นเวลานาน เมื่อสิ่งที่ถูกเช็ด มีสภาวะเหมาะสมต่อการเติบโตของจุลินทรีย์ จุลินทรีย์จะสามารถขยายตัวได้ จนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

Friday, November 13, 2009

สะกดจิตบำบัด (Hypnosis)

ซิกมันต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้ศึกษาการสะกดจิต และพบว่า สามารถใช้การสะกดจิตในการช่วยผู้รับการบำบัด ให้มีอาการดีขึ้นได้จากความทรงจำที่เก็บกดไว้ โดยในขณะสะกดจิตผู้รับการบำบัด จะปลดปล่อยเหตุการณ์สะเทือนใจในวัยเด็กออกมา

" สะกดจิตบำบัด " (Hypnosis)
เป็นกระบวนการบำบัดทางจิต โดยชักนำผู้รับการบำบัดให้เข้าสู่ภาวะภวังค์ จากนั้นพยายามแก้ไขปมขัดแย้ง ที่คาดว่าผู้รับการบำบัดยังยึดติดอยู่ (Fixation) เพื่อให้ผู้รับการบำบัดแก้ปมดังกล่าว ส่งผลให้มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือดำเนินชีวิตที่เป็นปกติ

ขั้นตอนการสะกดจิต

  1. พิจารณาเลือกผู้รับการบำบัด ที่จะถูกสะกดจิต ว่าสมควรใช้การสะกดจิตหรือไม่
  2. การทดสอบความสามารถของผู้รับการบำบัด ในการถูกสะกดจิต
  3. เทคนิคการสะกดจิตมีหลายวิธี ได้แก่ การใช้เสียงแบบสม่ำเสมอ เรียกว่า monotonous sound การใช้ยาร่วม เพื่อให้ผู้รับการบำบัดง่วง การใช้เสียงเคาะไม้ให้เป็นจังหวะ เสียงสวดมนต์ การใช้จ้องมองแสงไฟ ลูกแก้ว และวิธีการสัมผัส โดยลูบเบา ๆ หรือแตะตัวผู้รับการบำบัด เป็นต้น
  4. วิธีการดูกิริยาท่าทาง ที่แสดงความลึกของภวังค์ (Trance) ภายใต้การสะกดจิต และการทำให้หลับลึกขึ้น
  5. การปลุกจากการสะกดจิต เป็นการยุติการสะกดจิต ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยใช้เสียงปลุกผู้ถูกสะกดจิตเท่านั้น แต่ต้องบอกให้ผู้ถูกสะกดจิต กลับคืนสู่สภาพปกติเสียก่อน
  6. การใช้ประโยชน์จากการสะกดจิต จำเป็นต้องพิจารณาข้อบ่งใช้ และข้อห้าม
ภวังค์ (Trance) มี 4 ระดับ
  • ระดับที่ 1 ภวังค์ขั้นอ่อนที่สุด (Very light trance) ผู้ถูกสะกดจิตจะไม่รู้สึกว่าถูกสะกดจิต แต่จะรู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด (Relaxation) พบได้ร้อยละ 10
  • ระดับที่ 2 ภวังค์ขั้นอ่อน (Light trance) ผู้ถูกสะกดจิตยังไม่รู้สึกว่าถูกสะกดจิต ประสาทสัมผัสทั้งห้ายังปกติ ไม่สามารถเปิดตา แต่อาจกระพริบตาได้ พบได้ร้อยละ 25
  • ระดับที่ 3 ภวังค์ขั้นปานกลาง (Medium trance) ระดับนี้หนังตาปิดสนิท และยังรู้สัมผัส แต่ไม่เต็มที่ อาจมีอาการชาแขนขาได้ พบได้ร้อยละ 35
  • ระดับที่ 4 ภวังค์ขั้นลึกที่สุด (Deepest trance) เกิดอาการลืม (Amnesia) ร่างกายแข็งเกร็ง ไม่รับความรู้สึกเจ็บปวด หรือร้อนเย็น สามารถขักจูงให้กระทำตามได้ ทั้งขณะสะกดจิตและภายหลังจากหยุดสะกดจิตแล้ว ที่เรียกว่า Post Hypnotic Suggestion พบได้ร้อยละ 25
ข้อบ่งใช้
  1. ใช้ควบคุมผู้รับการบำบัด ที่เสพติดสารต่าง ๆ สุรา และบุหรี่
  2. ใช้แทนยาชาในการผ่าตัด สูติกรรม และทันตกรรม
  3. Psychosomatic disorder และโรคทางกายต่าง ๆ
  4. อาการ conversion, Amnesia และ Fugue
  5. นิสัยผิดปกติ ได้แก่ ปัสสาวะรดที่นอน กินจนเป็นโรคอ้วน ติดอ่าง
  6. ใช้การสะกดจิต เพื่อให้ผู้รับการบำบัดผ่อนคลายความตึงเครียด (Relaxation)
  7. ใช้ในการค้นหาข้อมูล เพื่อสร้างสมมติฐานจิตพลศาสตร์

ข้อห้าม


ผู้รับการบำบัดที่ได้การสะกดจิต จะอยู่ในภาวะที่พึ่งพิงผู้รักษา ทำให้อาจเกิด Transference อย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะ Transference ชนิดลบ อาจเกิดขึ้นในผู้รับการบำบัด ที่มีจิตเปราะบางมีปัญหาในการทดสอบความเป็นจริง (Reality Testing)

โรคเครียด

" โรคเครียด " มีสาเหตุจากจิตใจมีความเครียด ซึ่งเป็นภาวะของอารมณ์ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อคนอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหวาดหวั่น น่ากลัว หรือมีภยันตรายต่อร่างกาย หรือจิตใจ อารมณ์เครียดเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
  1. เกิดจากสภาพพื้นฐานทางจิตใจของคนแต่ละคน ซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดความเครียดได้มากน้อยไม่เหมือนกัน เด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับระบบประสาทที่อ่อนไหว ตื่นตัว และเครียดกังวลได้ง่าย บางคนจิตใจหนักแน่น ไม่ค่อยหวั่นไหว แม้มีเหตุการณ์ที่น่ากลัว ก็ไม่เกิดปฏิกิริยามาก
  2. การถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น ถ้ามีเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กเกิดความกลัว หวาดหวั่น เกิดความไม่มั่นคงในอารมณ์ ก็จะฝังใจ ทำให้เกิดความเครียดเมื่อโตขึ้นได้ง่าย
  3. การคิดที่ไม่ดี คิดในแง่ร้าย คิดกังวลล่วงหน้ามากเกินไป ถ้าถูกฝึกให้คิดเช่นนี้มากเกินไป จะติดเป็นนิสัย ทำให้เกิดอารมณ์เครียดได้ง่าย
  4. การดำเนินชีวิตที่แข่งขัน เร่งรีบ ต่อสู้กันมากเกินไป ขาดการพักผ่อน ทำให้ร่างกาย และจิตใจเกิดความเครียด
สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนทำให้เกิดโรคเครียดได้ทั้งสิ้น

อาการ


โรคเครียดไม่ใช่โรคจิต หรือโรคประสาท แต่เป็นโรคทางกาย ซึ่งเป็นผลจากความเครียด ความเครียดเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น การทำงาน การเรียน เหตุการณ์ในครอบครัว หรือลักษณะการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ แข่งขัน ต่อสู้ ทำให้เกิดความเครียดได้ทั้งสิ้น

คนปกติมีกลไกการปรับตัว เพื่อเอาชนะความเครียดได้ แต่คนบางคนมีความไวต่อความเครียดสูง คนบางคนชอบดำเนินชีวิตซึ่งทำให้เกิดความเครียด หรือคนบางคนมีวิธีคิดไม่ดี ทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย

เมื่อจิตใจเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติจะถูกกระตุ้นให้ทำงานมาก จนอาจทำงานเรรวน ทำให้อวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งถูกควบคุมโดยประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติไปด้วย เช่น มีการหลั่งกรดออกมาในกระเพาะอาหารมากเกินไป ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร กลายเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นผลจากความเครียด

ความเครียดยังอาจทำให้เกิดโรคทางกายได้อีกหลายระบบ เช่น โรคหัวใจ, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหอบหืด, โรคผิวหนัง, โรคปวดศีรษะไมเกรน, โรคปวดหลัง ปวดคอ

การรักษา

โรคเครียดเป็นโรคที่รักษาได้ โดยการหาสาเหตุ และแก้ไขตามสาเหตุนั้น วิธีการมีดังนี้
  1. การรู้จักแบ่งเวลาให้พอเหมาะ มีเวลาทำงานประมาณ 8 ชั่วโมง เวลาผ่อนคลายสนุกสนาน หย่อนใจประมาณ 8 ชั่วโมง
  2. รู้จักจังหวะการดำเนินชีวิต ให้เคร่งเครียดจริงจังน้อยลง ลดภาระการงาน-การเรียน ที่ทำ ให้เครียดลงบ้าง
  3. มีเวลาทำจิตใจให้สงบบ้าง เช่น สวดมนต์ หรือ ทำสมาธิ
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน
  5. มีคนที่สามารถพูดคุย รับฟังปัญหาต่าง ๆ ได้ ปรับทุกข์ หรือปรึกษาปัญหาที่หนักใจอยู่
  6. ใช้ยาช่วยตามอาการ เช่น ยาคลายเครียด ยานอนหลับ ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาสั่งให้
  7. การรักษาแบบจิตบำบัด เพื่อช่วยให้รู้จักตัวเอง หาวิธีเปลี่ยนแปลงตนเองบ้าง เพื่อให้รู้จักคิดได้ดี ผ่อนคลายตนเองได้ ปรับตัวให้เก่งขึ้น และมีความสนุกกับการดำเนินชีวิตต่อไปได้

Thursday, November 12, 2009

คันเรื้อรัง

ผู้ป่วยที่มีอาการคันของผิวหนัง พบว่า เป็นโรคทางกายภายใน ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาการคันร่วมด้วย การรักษาจึงต้องหาต้นตอของโรคภายใน ไม่เช่นนั้น จะรักษาไม่หายขาด แถมยังทำให้โรคภายในทรุดลงเรื่อย ๆ

ผู้ป่วยคันเรื้อรัง ร้อยละ10 – 50 พบว่ามี " โรคทางกายภายใน " ที่เป็นสาเหตุของอาการคันร่วมด้วย จึงควรได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการรักษาที่เหมาะสม การตรวจที่อาจทำ คือ การตรวจนับเม็ดเลือด สำหรับผู้ป่วนรายที่สงสัยว่า คันจากโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก อาการคันจากโรคมะเร็งเม็ดเลือด, ตรวจค่าครีอาตินีน และ BUN ในผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคไต, การตรวจหาเอ็นซัยม์ตับ, ตรวจหาระดับฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์, ตรวจหาระดับน้ำตาล เพื่อหาว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วยหรือไม่ ตรวจอุจจาระ ถ้าพบเลือดอาจเป็นมะเร็งระบบทางเดินอาหาร พบไข่พยาธิอาจคันจากการติดเชื้อพยาธิ, การตรวจหา HIV antibody ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นเอดส์ การขูดผิวหนังเพื่อหาเชื้อรา หรือหิด และการตัดชิ้นเนื้อ เพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา

ดังนั้น การรักษาอาการคันจากโรคภายใน จึงขึ้นกับสาเหตุ หากไม่รักษาสาเหตุต้นตอของโรคภายใน อาการคันก็ไม่หายขาด และโรคภายในก็จะทรุดลงเรื่อย ๆ ในผู้ป่วยที่คันจากโรคไตแพทย์อาจพิจารณาฉายแสงยูวีบี, ให้ยาทาลดอาการคันเฉพาะที่, ยากิน, การล้างไตช่วยลดอาการคันลงได้, ในรายที่คันจากโรคตับ มียาเฉพาะเช่น cholestyramine, อาการคันจากโรคเลือดจากการขาดเหล็ก แก้ไขด้วยการเสริมธาตุเหล็ก แพทย์อาจให้ยา aspirin ในผู้ป่วยโรคเลือดข้นผิดปกติ ที่มีอาการคัน, อาการคันจากต่อมไทรอยด์ ทำงานน้อยเป็นผลจากผิวแห้ง รักษาด้วยครีมให้ความชุ่มชื้น และเสริมฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์

พบบ่อยว่าผู้ที่คันเรื้อรัง อาจหาซื้อยามากินเอง เช่น ยาชุด ยาสมุนไพร ยาหม้อ ยาแผนโบราณ ยาลูกกลอน ยาพระ โดยผู้ที่ใช้ส่วนใหญ่เข้าใจว่าปลอดภัย แท้จริงแล้วอาจมีอันตรายได้เช่นกัน พบว่า ยาชุด, ยาสมุนไพรหลายขนาน มีการเจือปนสารอันตราย เช่น สเตียรอยด์ และสารหนูลงไป สเตียรอยด์ขนาดสูงทำให้หน้าบวมเป็นดวงจันทร์ คอมีหนอก ผิวแตกลาย ผิวฝ่อ เลือดออกในกระเพาะอาหาร กระดูกผุ ติดเชื้อง่ายขึ้น น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีอาการทรุดลง การใช้สเตียรอยด์อาจทำให้อาการดีขึ้นช่วงแรก แต่เมื่อไม่ได้รักษาตรงจุด ในที่สุดโรคจึงทรุดลง และยังมีข้อแทรกซ้อนจากยาอีกมาก

ผู้ป่วยที่คันเรื้อรังจึงควรรับการตรวจอย่างละเอียด เพื่อการวินิฉัย และหาสาเหตุร่วมจากโรคภายในอย่างตรงจุด ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางตามความเหมาะสม เช่น ปรึกษาแพทย์โรคผิวหนัง อายุรแพทย์ แพทย์โรคทางเดินอาหาร แพทย์โรคเลือด และโรคมะเร็ง แพทย์โรคต่อมไร้ท่อ จิตแพทย์ และศัลยแพทย์ และแม้จะตรวจไม่พบสาเหตุใด ๆ ก็อาจต้องรับการตรวจซ้ำทุก ๆ 3-6 เดือน

ที่มา
วารสาร คลินิก

Wednesday, November 11, 2009

กลิ่นปาก

ปัญหาสุขภาพช่องปากที่สำคัญอย่าง ‘กลิ่นปาก’ ที่หอบเอาลมหายใจเหม็น ๆ ออกมาจากช่องปาก ทุกยามที่คุณปริปากนั้น คงเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจไม่ใช่น้อย เพราะ ทำให้ใครหลายคนพยายามสงวนคำพูด ลดโอกาสการสนทนา ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากให้คู่สนทนาได้กลิ่น อันไม่พึงประสงค์ แถมยังบั่นทอนบุคลิกภาพที่ดีลงไป

ทว่าคุณจะเห็นเรื่องกลิ่นปากเป็นเรื่องเล็ก เพราะยามที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเมื่อไหร่ ก็หยิบลูกอม หมากฝรั่ง ยัดใส่ปาก หรือไม่ก็ขอเวลานอกไปกลั้วปากบ้วนน้ำ แปรงฟัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูก โดยวิธีดังกล่าว เป็นการขจัดปัญหากลิ่นปาก ที่อาจเกิดจากการรับประทานอาหารบางชนิด แต่ถ้าสาเหตุของกลิ่นนั้นมาจากปัญหาอื่น ไม่นานกลิ่นปากก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เข้าตำราเรื้อรัง

ปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก


ประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ที่มีปัญหากลิ่นปากเรื้อรัง มักมีสาเหตุมาจากปัญหาภายในช่องปาก ที่มีทั้งลิ้นเป็นฝ้า ร่องเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์ หรืออวัยวะรอบฟันอักเสบ แผลในช่องปาก ฟันผุ ฟันคุด ฟันซ้อนเก ฟันปลอม หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ใส่เพื่อจัดแต่งฟันไม่สะอาด มีเศษอาหารติดค้าง

ส่วนปัจจัยภายนอก ที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก คือ อาหาร แม้จะไม่ใช่ตัวการก่อกลิ่นที่เรื้อรัง คุณก็ควรรู้ไว้ว่า การรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนสูง ๆ อย่างเช่น กระเทียม เครื่องเทศ หัวหอม รวมทั้งเครื่องดื่ม ประเภทแอลกอฮอล์ จะนำพากลิ่นตุ ๆ ให้เกิดขึ้นในปาก รวมทั้งการสูบบุหรี่ด้วย

นอกจากสองปัจจัยที่กล่าวไปแล้ว " กลิ่นปาก " อาจเกิดขึ้น เพราะร่างกายส่งสัญญาณบอกความเจ็บป่วย มาจากอวัยวะภายใน เช่น ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ อาทิ การอักเสบ หรือมะเร็งในโพรงจมูก ไซนัส ทอนซิล คอหอย กล่องเสียง หรือปอด โรคของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ การอักเสบของหลอดอาหาร โรคกระเพาะ โรคลำไส้

ทั้งนี้ยังมีการวิจัย พบว่า โรคกรดไหลย้อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุผิวทางเดินหายใจ มีผลให้น้ำมูกข้นเหนียวกว่าปกติ และจะไหลลงลำคอด้านหลังจมูก (Post Nasal Drip) ซึ่งเป็นอาการเดียวกับผู้ที่ทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง

ยังมีการป่วยด้วยโรคตับ โรคไต และโรคเบาหวาน ที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้อีกด้วย โดยสามโรคตอนท้ายนี้จะมีกลิ่นเฉพาะของแต่ละโรค


ที่มา
ศูนย์ทันตกรรม Dentalis
โรงพยาบาลเวชธานี

ห้องน้ำสาธารณะ

" ห้องน้ำสาธารณะ " ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้ จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากผลสำรวจของกรมอนามัย ปี 2547 และ 2549 ได้ผลตรงกันว่า จุดอันตรายที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม ต้นเหตุโรคอุจจาระร่วง
  • จุดที่ 1 คือ บริเวณที่จับสายฉีดชำระ พบร้อยละ 85.3
  • จุดที่ 2 คือ บริเวณพื้นห้องส้วม พบร้อยละ 50
  • จุดที่ 3 คือ ที่รองนั่งส้วมแบบนั่งราบ หรือโถนั่งชักโครก พบร้อยละ 31 ซึ่งเชื้อโรคที่พบ เป็นการปนเปื้อนจากอุจจาระ
นอกจากนี้ยังมีจุดเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคอีก 4 จุด คือ
  1. ที่กดน้ำทำความสะอาด ในห้องส้วม
  2. ก๊อกน้ำ
  3. ลูกบิดประตู
  4. อ่างล้างมือ

ห้องน้ำสาธารณะ เป็นสถานที่รวมเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสปนเปื้อนจำนวนมาก เพราะเป็นที่ขับถ่ายสิ่งปฏิกูล และมีผู้ใช้ต่างหน้า และต่างถิ่นหลายคนมาใช้รวมกัน ซึ่งอาจไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้ใช้บริการก่อนหน้านี้ มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายมากน้อยแค่ไหน โดยเชื้อโรคที่ว่านี้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
  • เชื้อในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองใน เชื้อเริม เป็นต้น
  • เชื้อที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น เชื้ออุจจาระร่วง เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ เป็นต้น
เชื้อพวกนี้อาจแฝงอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของห้องน้ำ เช่น ชักโครก อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งลูกบิดประตู แต่โอกาสที่จะติดเชื้อพวกนี้ จนทำให้เกิดโรค หรือเป็นอันตรายได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่ ได้สัมผัส กับเชื้อดังกล่าวในปริมาณที่มากพอหรือไม่ ถ้ามากพอ ก็อาจทำให้เกิดโรคได้ โดยซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีแผล หรือรับเข้าทางปาก

อย่างไรก็ดี ข้อแนะนำวิธีปฏิบัติตัวแบบง่าย ๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรค จากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ มีดังนี้
  1. ใช้เวลากับการทำกิจธุระในห้องน้ำสาธารณะ ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  2. ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก เลือกที่ดูสะอาด (ถ้ามีให้เลือก) ทำความสะอาดที่รองนั่งด้วยกระดาษทิชชูสักหน่อย แล้วจึงใช้งาน ไม่ต้องถึงกับใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เพราะมันอาจจะดูลำบากไปหน่อย
  3. เมื่อเสร็จกิจธุระแล้ว ต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคติดมากับมือของเรา ซึ่งบางคนอาจจะละเลย เนื่องจาก รีบ หรือด้วยสาเหตุอื่น ๆ

ถึงกระนั้น เพื่อป้องกัน และระวังการใช้ห้องน้ำสาธารณะอย่างปลอดภัยนั้น ควรเริ่มตั้งแต่ การเปิด-ปิดประตู ซึ่งวิธีที่จะสัมผัสได้น้อยที่สุด คือ การใช้ข้อศอก หรือใช้สันหลังผลักเข้าไป ซึ่งบางห้อง ประตูอาจไม่ได้ปิดแน่น หรือปิดสนิท

จากนั้นเมื่อถึงขั้นตอนในการเข้าใช้ ให้ทำความสะอาดโถส้วมเบื้องต้น ด้วยน้ำ หรือทิชชูก่อน รวมทั้ง ไม่ควรขึ้นไปเหยียบโถส้วม (ส้วมที่เป็นชักโครก) เพราะถ้าขึ้นไปเหยียบบนโถส้วม เวลาคนใช้หลังจากเรา อาจติดเชื้อ ที่มาจากรองเท้าของเรา หรืออาจทำให้ชักโครกหัก จนเกิดอันตรายได้

ส่วนของการชำระล้าง ซึ่งในส่วนของปัสสาวะนั้น คุณผู้ชายคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นคุณผู้หญิง ที่ต้องใช้น้ำในการทำความสะอาด อาจต้องระวังเป็นพิเศษ กล่าวคือ ถ้าเป็นสายฉีดไม่ควรให้หัวฉีด เข้ามาใกล้ส่วนที่จะทำความสะอาดให้มากนัก ควรอยู่ในระยะห่างที่พอดี

แต่ถ้าเป็นน้ำ ในลักษณะตักใช้ ไม่แนะนำให้ตักน้ำในส่วน ที่มีอยู่ในถังเดิม แต่ควรให้รองจากก๊อกโดยตรง เพื่อป้องกันเชื้อโรค ที่อาจสะสมอยู่ในถังน้ำได้ เนื่องจากบางคนอาจมีนิสัยมักง่าย ชอบล้างมือ หรือเอาสิ่งของไปจุ่มทำความสะอาด จากนั้นหลังเสร็จภารกิจ ให้ราด หรือทำความสะอาดด้วยทุกครั้ง และท้ายสุด เวลาออกจากห้องน้ำทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาด โดยใช้สบู่เหลว (ถ้ามี) ทุกครั้ง

“ห้องน้ำสาธารณะ” ถือเป็นสถานที่จำเป็น สำหรับบางครอบครัว ที่ต้องออกเดินทางไกล หรือชอบเดินเที่ยวตามศูนย์การค้า ดังนั้น จึงต้องระมัดระวัง และใส่ใจในการใช้ห้องน้ำประเภทนี้เป็นพิเศษ

ที่มา
นพ. เชิดพงษ์ ชินวุฒิ
สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สาทร