Search This Blog

Wednesday, September 30, 2009

อาการ "ไอ"

อาการ " ไอ " เป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด แต่ใช่ว่าต้องป่วยด้วยโรคร้ายดังกล่าวนี้เท่านั้น จึงจะมีอาการไอ หากเป็นแค่โรคหวัดก็ยังทำให้คุณไอได้

วิธีบรรเทาอาการไอ โดยไม่ต้องใช้ยา

ก่อนอื่นเราควรรู้ว่า อาการไอ นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
  • ไอฉับพลัน จะมีอาการไอไม่เกิน 3 สัปดาห์ และส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อ ในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หวัด หลอดลมอักเสบ หรือสูดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหลอดลม เช่น ควันบุหรี่ แก๊ส หรือสีสเปรย์
  • ไอเรื้อรัง อาการไอชนิดนี้จะยาวนาน มากกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป อาจเกิดจากโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง การใช้ยาความดันโลหิตสูงบางชนิดอย่างต่อเนื่อง โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือโรควัณโรค เป็นต้น
หากเริ่มมีอาการไอ คุณสามารถบรรเทาอาการ ที่ปฏิบัติตามแล้วอาจหายขาด หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความทรมาน จากความเจ็บปวดช่วงลำคอ หรือทรวงอกก่อนที่จะไปพบแพทย์

ยาสามัญแสนจะบริสุทธิ์หาง่ายใกล้ตัว คือ น้ำเปล่าไม่เย็น หรืออุ่น ๆ แต่ไม่ควรร้อน ให้ดื่มบ่อย ๆ ทำให้ชุ่มคอ หรือน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว จิบบ่อย ๆ ช่วยลดอาการไอ

ระหว่างที่มีอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิต่ำ หรืออากาศเย็น หากเลี่ยงไม่ได้ให้ทำร่างกายให้อบอุ่น เช่น สวมเสื้อหนา ๆ หรือสวมถุงเท้า งดรับประทานไอศกรีม เลี่ยงการดื่มและอาบน้ำเย็น งดสูบบุหรี่ หรือสูดดมควันบุหรี่ งดอาหารทอดน้ำมัน

แต่ถ้ามีอาการไอเรื้อรังไม่หาย หรือไม่ทุเลาลงสักที ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคที่แท้จริง เพราะหากอาการไอ ทวีความรุนแรงขึ้น อาจกระทบกับบุคลิภาพ รบกวนการทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวัน ในทางสุขภาพร่างกาย อาจทำให้กระดูกซี่โครงหัก ถุงลม หรือเส้นเลือดฝอยในปอดแตก และยังส่งผลกระทบไปที่ดวงตา และหูได้

Tuesday, September 29, 2009

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

เนื่องจาก การลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ทำได้ด้วยความยากลำบาก คนที่มีน้ำหนักเกินยังไม่เห็นผลร้าย ที่เกิดกับตนเองในระยะสั้น ๆ ดังนั้นคนทั่วไปจึงมักไม่ค่อยมีความตั้งใจจริง ที่จะลดน้ำหนัก และเมื่อมีความต้องการจะลดน้ำหนัก ก็จะต้องการให้ลดลงไปอย่างรวดเร็ว จึงมีความเชื่อผิด ๆ หรือการโฆณณาชวนเชื่อต่าง ๆ ออกมาอยู่เป็นประจำ ความเชื่อผิด ๆ เหล่านี้ได้แก่
  • ความเชื่อที่ว่าท่านสามารถลด น้ำหนักได้สัปดาห์ละหลาย ๆ กิโลกรัม โดยการรับประทานยา หรืออาหารสำหรับลดน้ำหนัก ซึ่งการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่จะเป็นการขับน้ำออกจากร่างกาย ไม่ใช่ไขมันส่วนเกิน
  • ความเชื่อที่ว่า ท่านจะลดน้ำหนักโดยการอดอาหาร เป็นมื้อ ๆ ไป ถ้าหากหิวก็ให้อดทนเอา วิธีนี้ คงจะเป็นวิธีที่ทรมานที่สุด เพราะท่านอาจจะเป็นโรคกระเพาะเสียก่อน และเมื่อถึงเวลารับประทานมื้อถัดไป ท่านอาจจะรับประทานมากกว่าเดิม
  • ความเชื่อที่ว่า ท่านไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะอ้วนกันทั้งครอบครัว ความอ้วนเป็นกรรมพันธุ์ ความเชื่อเหล่านี้ จะยิ่งทำให้อ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะจริง ๆ แล้วโรคอ้วน ไม่ใช่กรรมพันธุ์ แต่การสร้างเซลล์ไขมันส่วนเกินได้ง่าย ในครอบครัวของคนอ้วนเป็นกรรมพันธุ์ แต่ก็ป้องกันได้โดยการเลือกอาหารด้วยความระมัดระวัง และการออกกำลังกาย

การลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือ การลดน้ำหนักที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการรับประทานอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกายเท่านั้น ที่เป็นหัวใจของการลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุด

Monday, September 28, 2009

ท่านอน


ทราบหรือไม่ว่า "ท่านอน" แต่ละท่ามีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกัน อย่างไร???

ท่านอนหงาย

ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตรฐาน แต่การนอนหงายในท่าราบสำหรับคนที่มีอาการปวดหลังนั้น จะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น เวลานอนควรใช้หมอนหนุนรองใต้โคนขา หรือวางพาดขาทั้งสองไว้บนเตียงนอน รวมทั้งควรออกกำลังกายเป็นประจำ วันละ 10 - 15 นาที เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังลดการเกร็งตัว และบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

ท่านอนตะแคง

"ท่านอนตะแคงขวา" เป็นท่านอนที่ดีที่สุด ถ้าเทียบกับการนอนหลับในท่าอื่น ๆ เพราะหัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี และเป็นท่านอน ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี อีกทั้งท่านอนตะแคง ทั้งตะแคงซ้าย และขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน

ท่านอนคว่ำ

ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่ สำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำ อาจทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้ ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก

ออฟฟิศซินโดรม โรคร้ายที่บรรเทาได้


ใครที่เข้าข่ายเป็น "ออฟฟิสซินโดรม" ไม่ต้องตกใจ เพราะมั่นใจได้ว่า เกินครึ่งคนทำงานออฟฟิศเป็นโรคนี้แทบทุกคน เพียงแต่จะแสดงอาการถึงขั้นไหน อย่างที่ทราบว่า ไม่ตายในทันที แต่แสนทรมาน เพราะฉะนั้น เราควรรู้วิธีบำบัดและบรรเทา เพื่อให้รางวัลกับร่างกายตัวเองจากการทำงานหนักบ้าง

อาการแรกที่หลายคนเป็น คือ ปวดร้าวตั้งแต่คอไปจนถึงเอว หรือผู้หญิงบางคนที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ หิ้วกระเป๋า หรือโน้ตบุ๊คหนักเกินไป จะมีอาการปวดขา และไหล่ร่วมด้วย แพทย์อายุรเวทบอกเคล็ดลับให้นำไปปฏิบัติคือ
  1. ยืดกล้ามเนื้อประมาณ 10 นาที เมื่อใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง
  2. วางแขนแนบโต๊ะทำงานตั้งแต่ศอกไปจนถึงข้อมือ เวลาใช้คีย์บอร์ด
  3. ใช้หมอนรองบริเวณหลังเวลานั่งเก้าอี้สำนักงาน เพื่อป้องกันการปวดหลัง
  4. เมื่ออาการปวดเมื่อยเริ่มสำแดง งดออกกำลังกายที่หนักเกินไป แต่ควรใช้วิธีบริหาร หรือคลายกล้ามเนื้อแทน เช่น การว่ายน้ำ หรือเล่นโยคะ

อาการ "ตาแห้ง" สายตาพล่ามัว ปวดกล้ามเนื้อตา ใต้ตาคล้ำ อาการยอดฮิตอีกอย่าง แนะนำให้เมื่อกลับมาจากทำงาน นำแตงกวาหรือถุงชามาแปะไว้บนเปลือกตา หลับตาพักประมาณ 15 นาที หากใครรักสวยรักงามขึ้นมาอีกนิด แนะนำให้ฝานมันฝรั่งสดแปะใต้ดวงตาเป็นประจำจะช่วยลดอาการบวมและดำได้ชะงัด และที่สำคัญ อย่าลืมรับประทานผัก ที่มีวิตามินเอควบคู่ไปด้วย ใครที่ยังเข้าใจผิดคิดว่าผักบุ้งมีวิตามินเอมากที่สุด รู้ข้อมูลใหม่โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขจัด 5 อันดับที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ นำลิ่วมาก่อนใคร คือ
(1) ตำลึง
(2) ผักหวาน
(3) แครอท
(4) ฟักทอง และ
(5) มะเขือเทศ

ส่วนใครที่มีอาการขั้นรุนแรง เกินกว่าปวดเมื่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ คงต้องรีบปรึกษาแพทย์ อย่ารีรอให้โรคลุกลามไปสู่อาการหนัก แต่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันก่อนเกิด เพราะนอกจากเสียสุขภาพใจแล้ว ยังต้องมาเสียสุขภาพจิตตอนจ่ายเงินค่ารักษาอีกด้วย

มะเร็งปอด



ไอเรื้อรังส่อแวว 'มะเร็งปอด'

กล่าวถึง "มะเร็งปอด" ทีไร เป็นต้องนึกพ่วงภาพบุหรี่ขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ก็บุหรี่ตัวร้ายนี่เอง เป็นสาเหตุทำให้ป่วยเป็นมะเร็งปอด เพราะผู้ป่วยด้วยโรคนี้ ร้อยละ 80 - 90 เป็นสิงห์อมควันกัน ที่ไม่ค่อยจะสนใจว่า บุหรี่แต่ละมวนจุสารพิษก่อมะเร็งไว้มากมาย อาทิ นิโคติน ตะกั่ว ทาร์ ในขณะที่ร้อย 10 - 15 ไม่สูบบุหรี่ แต่ถูกมะเร็งปอดเล่นงาน เพราะว่าสูดดมควันบุหรี่ หรือสูดดมสารเคมี เช่น แอสเบสตอส เป็นแร่ที่พบในโรงงานอุตสาหกรรมก่อสร้าง ยานยนต์ สิ่งทอ แร่เรดอน ที่เกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียมในใยหิน พบมากในเหมืองแร่

เมื่อหยอดกระปุกสะสมสารก่อมะเร็งจนกินปอดไป นานวันเข้า ก็จะมีอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ไอจับหืด หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เสียงแหบแห้ง เหล่านี้เป็น สัญญาณของมะเร็งปอด ที่มักจะพบในคนวัย 50 - 75 ปี ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือ มะเร็งปอด เป็นมะเร็งชนิดที่จะตรวจพบในระยะลุกลาม หรือแพร่กระจาย ลดความสามารถในการรักษาให้หายได้ทันท่วงที ดังนั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักเสียชีวิตลงในเวลา 1-2 ปี

สำหรับการป้องกัน และลดความเสี่ยงที่ดีที่สุด คือ ไม่สูบบุหรี่ เลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ รวมทั้งสารเคมีต่าง ๆ ไม่สัมผัสแร่เรดอน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานผัก และผลไม้ให้เพียงพอ ส่วนผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ควรเอ็กซเรย์ทรวงอก เพื่อตรวจหามะเร็งปอดเป็นประจำทุกปี

ด้านการรักษามะเร็งปอดมีทั้งการผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด และการรักษาแบบประคับประคอง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

Sunday, September 27, 2009

วิตามินดี กับ แสงแดด

ผู้หญิงจะรู้สึกเกรงกลัวแสงแดด เพราะรู้ดีว่าแสงแดดเป็นตัวการทำลายความงาม แถวหน้า ทำให้ผิว หมองคล้ำ เหี่ยวย่น รวมไปถึง ฝ้า กระ อีกสารพัน หากแต่หารู้ไม่ว่า การหลีกเลี่ยงแสงแดดมากเกินไป มีผลให้ร่างกายเกิดสภาวะโรคกระดูกพรุนได้ ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่ไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก กว่าจะรู้กระดูกก็เปราะบางไปเสียแล้ว

จึงอยากให้คิดใหม่ กลับมาตระหนักถึงประโยชน์ของแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้า ที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินดี ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพ ในการทำงานของแคลเซียม ทำให้กระดูกและฟันสมบูรณ์แข็งแรง

การสัมผัสแสงแดดอ่อน ๆ ในช่วงเช้า เพียง 10 -15 นาทีต่อวัน ก็เพียงพอ ที่จะช่วยให้ไม่เป็นโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนนั้น สาวๆ รุ่นใหม่ มีอัตราเป็นโรคนี้กันมากขึ้น ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมีพฤติกรรมความเป็นอยู่ ที่เสี่ยงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การบริโภคอาหารไม่ครบถ้วน หรือละเลยการออกกำลังกาย ส่งผลให้ร่างกายไม่มีการสะสมแคลเซียมเพิ่มเติม แคลเซียมในกระดูกที่มีอยู่ ก็เสื่อมสลายตัวไปเรื่อย ๆ จนทำให้โครงสร้างกระดูกเปราะบาง และแตกหักได้ง่าย

ผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยง ที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนสูงกว่าผู้ชายหลายเท่า เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่แตกต่างกัน

ภาวะที่เนื้อกระดูกบางลง ทำให้ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน มักมีอาการปวดหลัง หลังค่อมโก่ง ปวดตามข้อ อาจมีอาการปวดบริเวณ ที่กระดูกยุบตัวลง กระดูกเปราะ และหักง่าย ผู้สูงอายุจึงต้องระวังการหกล้ม ตำแหน่งที่มักจะเกิดภาวะกระดูกพรุน และหักง่ายคือ กระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก

กระดูกสันหลังของผู้หญิงอายุ 55 – 75 ปี จะเกิดการยุบตัวมากกว่าในผู้ชาย ทำให้ผู้สูงอายุเตี้ยลงกว่าตอนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงพบว่า เมื่ออายุมากกว่า 60 ปี พบอัตราการเกิดกระดูกสันหลังหักยุบถึงร้อยละ 30

กระดูกสะโพกหักมักต้องผ่าตัดรักษา กระดูกสะโพกหักอาจทำให้เดินไม่ได้หรือเสียชีวิตได้ โรคนี้เปรียบเหมือนภัยมืด ค่อยเป็นไปอย่างช้า ๆ โดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ กว่าจะรู้ตัวก็กระดูกหักเสียแล้ว

วิธีที่ดีที่สุดคือ "ต้องสะสมกระดูกไว้ให้มากที่สุด ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยรับประทานอาหาร ที่มีคุณค่าให้แคลเซียมสูง และออกกำลังกายสม่ำเสมอ"

การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การสะสมแคลเซียมให้กับกระดูกอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นจากการรับประทานอาหาร ที่มีแคลเซียมสูง อาทิ ถั่วเหลือง ผักใบเขียว ปลาเล็กปลาน้อยต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อรับแสงแดดอ่อน ๆ ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีไปช่วยเสริมสร้างแคลเซียม

นอกจากนี้ ไม่ควรห่วงอ้วนมากจนเกินไป ต้องรับประทานไขมันบ้าง จำพวกไขมันชนิดดี ที่พบในปลาทะเล หรือน้ำมันจากเมล็ดพืช เพราะวิตามินดีจะละลายได้ดีในไขมัน เหล่านี้นอกจากจะช่วยละลายวิตามินดีแล้ว ยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น ไม่หยาบกระด้างอีกด้วย

ถ้าต้องการความสะดวก การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ช่วยเสริมแคลเซียมให้กับกระดูกก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

ในปัจจุบัน ถ้าใครต้องการรู้ว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุนหรือ ไม่ ต้องอาศัยเครื่องตรวจความหนาแน่นกระดูกเข้ามาช่วย โดยการทำงานของเครื่องจะเอ็กซ์เรย์มวลกระดูกบริเวณ ข้อมือ หรือ ข้อเท้า แล้วประมวลผลออกมาเป็นกราฟ ชึ้ให้เห็นสภาวะของกระดูกได้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่จะมีบริการอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ และมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

อาการ "ปวดหัว" ที่ไม่ควรมองข้าม


5 อาการปวดหัวที่ต้องเจอหมอ!


ข้อควรระวังอย่างมองข้ามอาการปวดศีรษะที่หาสาเหตุไม่ได้ ควรรีบไปแพทย์ทันทีถ้าอาการปวดศีรษะในลักษณะต่อไปนี้...
  • เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในทันที
  • เกิดพร้อมอาการไข้ คอแข็ง เป็นผื่น สับสน ชัก เห็นภาพซ้อน อ่อนเพลีย ชา หรือพูดลำบาก
  • เกิดจากการเจ็บคอ หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  • รุนแรงขึ้นหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หกล้ม หรือถูกกระแทก
  • ไม่เคยเป็นมาก่อน และผู้ป่วยอายุมากว่า 55 ปี
ไม่อยากปวดศีรษะ

การกิน การดื่ม หรือการทำกิจกรรมบางอย่างมีส่วนทำให้คุณปวดศีรษะหรือเปล่า คนที่ไม่อยากปวดศีรษะควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเร้าเหล่านี้ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน ที่พบบ่อย คือ
  • แอลกอฮอล์ ไวน์แดง
  • การสูบบุหรี่
  • ความเครียด หรืออาการอ่อนเพลีย
  • สายตาล้า
  • การมีกิจกรรมทางเพศ หรือการออกกำลังกายต่าง ๆ
  • การวางท่าทางของร่างกายที่ไม่ถูกต้อง
  • เปลี่ยนเวลานอน หรือเปลี่ยนเวลาอาหาร
  • อาหารบางชนิด เช่น อาหารหมักดอง กล้วย กาเฟอีน เนยแข็งที่ทิ้งไว้นาน ช็อกโกแลต ผลไม้ประเภทส้มและมะนาว สารปรุงแต่งอาหาร (โซเดียมไนไตรต์ในฮ็อตด็อก ไส้กรอก เนื้อวัว ผงชูรสในอาหารสำเร็จรูป) และเครื่องปรุงรสอื่น ๆ ถั่วและเนยถั่ว พิซซ่า ลูกเกด ขนมปังที่ใส่เชื้อหมักให้ฟู
  • สภาพภูมิอากาศ ระดับความสูงของภูมิประเทศ หรือการเดินทางข้ามเขตเวลาที่ต่างกันมาก ๆ
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในรอบประจำเดือนหรือการหมดประจำเดือน การกินยาเม็ดคุมกำเนิด หรือการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน
  • แสงจ้าหรือแสงกะพริบ
  • กลิ่นจากน้ำหอม ดอกไม้ หรือน้ำมันรถ
  • มลภาวะในอากาศ หรือห้องที่อยู่กันอย่างแออัด
  • เสียงที่ดังมากเกินไป


ที่มา
โรงพยาบาลวิภาวดี

Friday, September 25, 2009

ฟ้าทะลายโจร


" ฟ้าทะลายโจร " กับไข้หวัด ฟ้าทะลายโจรเป็นยาที่มีความหมายในตัวเองไม่น้อย เพราะแม้แต่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ฟ้าประทานมาให้ปราบโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนเหล่าโจรร้าย ส่วนในภาษาจีนกลาง ยาตัวนี้มีชื่อว่า "ชวนซิเหลียน" แปลว่า "ดอกบัวอยู่ในหัวใจ" ซึ่งมีความหมายสูงส่งมาก วงการแพทย์จีนได้ยกฟ้าทะลายโจรขึ้นทำเนียบ เป็นยาตำราหลวง ที่มีสรรพคุณโดดเด่นมากตัวหนึ่ง ที่สำคัญ คือ สามารถใช้เป็นยาเดี่ยวเพียงตัวเดียวก็มีฤทธิ์แรงพอที่จะรักษาโรคได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในสมุนไพรตัวอื่น ชื่ออื่น ๆ ของฟ้าทะลายโจร ได้แก่ หญ้ากันงู (สงขลา) น้ำลายพังพอน ฟ้าสาง (พนัสนิคม) เขยตายยายคลุม สามสิบดี (ร้อยเอ็ด) เมฆทะลาย (ยะลา) ฟ้าสะท้าน (พัทลุง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ฟ้าทะลายโจรเป็นไม้ล้มลุก สูง 30 - 70 ซม. ทุกส่วนมีรสขม กิ่งเป็นใบสี่เหลี่ยม ใบ เดี่ยว แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ช่อ ออกที่ปลายกิ่ง และซอกใบ ดอกย่อย กลีบดอกสีขาว โคนกลีบติดกัน ปลายแยก 2 ปาก ปากบนมี 3 กลีบ มีเส้นสีม่วงแดงพาดอยู่ ปากล่างมี 2 กลีบ ผล เป็นฝัก เมื่อแก่เป็นสีน้ำตาล แตกได้ ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก ส่วนที่ใช้เป็นยา ได้แก่ ทั้งต้น ใบสด ใบแห้ง ใบจะเก็บมาใช้ เมื่อต้นมีอายุได้ 3 - 5 เดือน

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

ใบฟ้าทะลายโจร มีสารเคมีประกอบอยู่หลายประเภท แต่ที่เป็นสาระสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ สารกลุ่ม Lactone คือ สารแอดโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neo-andrographolide) 14-ดีอ๊อกซี่แอนโดรกราโฟไลด์ (14-deoxy-andrographolide)
ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเก่าแก่ของประเทศจีน ใช้ในการรักษาฝี แก้อักเสบ และรักษาโรคบิด การวิจัยด้านเภสัชวิทยาพบว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้ง เชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเป็นหนองได้ และมีการศึกษาวิจัยของโรงพยาบาลบำราศนราดูร ถึงฤทธิ์ในการรักษาโรคอุจจาระร่วงและบิด แบคทีเรีย เปรียบเทียบกับ เตตราซัยคลิน ในผู้ป่วย 200 ราย อายุระหว่าง 16 - 55 ปี ได้มีการเปรียบเทียบ ระยะเวลาที่ถ่ายอุจจาระเหลว จำนวนอุจจาระเหลว น้ำเกลือที่ให้ทดแทนระหว่างฟ้าทะลายโจร กับเตตราซันคลิน พบว่า สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ลดจำนวนอุจจาระร่วงและจำนวนน้ำเกลือ ที่ให้ทดแทนอย่างน่าพอใจ แม้ว่าจากการทดสอบทางสถิติ จะไม่มีความแตกต่างทางนัยสำคัญก็ตาม

ส่วนการลดเชื้ออหิวาตกโรคในอุจจาระ ฟ้าทะลายโจรไม่ได้ผลดีเท่าเตตราซัยคลิน นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลชุมชนบางแห่ง ได้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาอาการเจ็บคอได้ผลดีอีกด้วย มีฤทธิ์เช่นเดียวกับเพนนิซิลิน เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน เท่ากับเป็นการช่วยให้มีผู้สนใจทดลองใช้ยานี้รักษาโรคต่าง ๆ มากขึ้น

ฟ้าทะลายโจรมีกลไกการออกฤทธิ์ 3 ประการ ได้แก่ ฤทธิ์ลดไข้ ต้านการอักเสบ และลดอาการจากการหวัด พบว่ามีฤทธิ์ลดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส และทำให้ความสามารถของเชื้อไวรัสในการเกาะติดกับผนังเซลล์ลดลง ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ยากขึ้น นอกจานี้ฟ้าทะลายโจรยังมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้มีร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้น

ฟ้าทะลายโจรเป็นยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ของประเทศไทย โดยมีข้อบ่งใช้ในการบรรเทาอาการของโรคหวัด (common cold) เช่น อาการเจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำมูกไหล และบรรเทาอาการท้องเสียชนิดไม่ติดเชื้อ

ความปลอดภัย

ฟ้าทะลายโจรมีการทดสอบความเป็นพิษ ที่ครบถ้วนทั้ง 3 ระยะ ได้แก่ พิษเฉียบพลัน พิษกึ่งเรื้อรัง และพิษเรื้อรัง พบว่า ฟ้าทะลายโจรมีความปลอดภัยในการรับประทานในระยะยาว ข้อควรรู้เกี่ยวกับตำรับยา สารแอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) สารในต้นฟ้าทะลายโจร ละลายในแอลกอฮอร์ได้ดีมาก ละลายในน้ำได้น้อย ดังนั้นยาทิงเจอร์ หรือยาดองเหล้าฟ้าทะลายโจร จึงมีฤทธิ์แรงที่สุด ยาชงมีฤทธิ์แรงรองลงมา ยาเม็ดมีฤทธิ์อ่อนที่สุด

ตามทฤษฏีการแพทย์แผนไทย และแผนจีนจัดฟ้าทะลายโจรเป็น "ยารสเย็น" หมายถึง เมื่อรับประทานฟ้าทะลายโจรแล้ว ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง จึงนำมาใช้เป็นยาลดไข้ ซึ่งเมื่อรับประทานยาเย็นติดต่อกันนาน ๆ แต่นานเท่าใด ในทางการแพทย์ไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากขึ้นกับธาตุพื้นฐานของร่างกาย ถ้าร่างกายมีความเย็นมากก็อาจเกิดได้เร็ว แต่ถ้าร่างกายมีความร้อนสะสมมากก็อาจจะเกิดช้า ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ แขนขาชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือความเข้มข้นของเลือดลดลง อาการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถกลับมาสู่ปกติได้ เมื่อหยุดรับประทานยารสเย็น ซึ่งจากรายงานการวิจัยต่าง ๆ ของฟ้าทะลายโจร ก็ไม่พบผลข้างเคียงดังกล่าว

ข้อบ่งใช้
  • ฟ้าทะลายโจรควรใช้ เมื่อมีอาการของหวัดอาการใดอาการหนึ่ง เช่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือมีน้ำมูก โดยอาการเจ็บคอรับประทานครั้งละ 3 - 6 กรัม วันละ 4 ครั้ง ส่วนการบรรเทาอาการหวัดให้รับประทานครั้งละ 1.5 - 3 กรัมวันละ 4 ครั้ง โดยแนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
  • ระงับอาการอักเสบ หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ
  • รักษาอาการปวดท้อง ท้องเสีย บิด และกระเพาะลำไส้อักเสบ
  • เป็นยาขมเจริญอาหาร
ข้อห้ามใช้
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากติดเชื้อ Streptococcus group A ซึ่งการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มนี้ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น ไข้รูห์มาติค โรคหัวใจรูห์มาติค และไตอักเสบ
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคไตอักเสบเนื่องจากเคยติดเชื้อ Streptococcus group A
  • ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจรูห์มาติค
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย และมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น
ข้อควรระวัง
  • ฟ้าทะลายโจรอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเดิน ปวดเอว หรือวิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ในผู้ป่วยบางราย หากมีอาการดังกล่าว ควรหยุดใช้ฟ้าทะลายโจร
  • หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้แขนขามีอาการชา หรืออ่อนแรง
  • หากใช้ฟ้าทะลายโจรติดต่อกัน 3 วัน แล้วไม่หาย หรือมีอาการรุนแรงขึ้นระหว่างใช้ยา ควรหยุดใช้ และไปพบแพทย์
  • สตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจร การที่ห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์ และให้นมบุตร เนื่องจากมีการศึกษาในหนูทดลอง พบว่า น้ำต้มฟ้าทะลายโจรมีผลทำให้หนูแท้งได้
  • แม้ว่าฟ้าทะลายโจรจะมีประโยชน์ในการรักษาโรคอย่างกว้างขวาง และดูเหมือนจะมีพิษน้อย แต่เนื่องจากเป็นยาเย็นจัด การกินฟ้าทะลายโจรรักษาโรคนาน ๆ ติดต่อกันหลายปี อาจจะเกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย แขนขาไม่มีแรง เป็นต้น
การปลูกฟ้าทะลายโจร

การปลูกฟ้าทะลายโจรทำได้หลายวิธี ได้แก่ แบบหว่าน ซึ่งสิ้นเปลืองเมล็ด และให้ผลผลิตน้อย แบบโรยเมล็ดเป็นแถว ประมาณ 50-100 เมล็ดต่อความยาวร่อง 1 เมตร แบบหยอดหลุม ระยะระหว่างต้น 20-30 ซม. ระหว่างแถว 40 ซม. หยอดเมล็ดหลุมละ 5-10 เมล็ด หรืออาจปลูกโดยใช้กล้า จะให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าการปลูกโดยสามวิธีแรก สำหรับการเก็บเกี่ยว ช่วงที่พืชออกดอกนับตั้งแต่เริ่มออกดอกจนถึงดอกบาน 50% เพื่อให้มีปริมาณสารสำคัญสูง ซึ่งพืชจะมีอายุประมาณ 110-150 วัน

การทำความสะอาด ให้นำฟ้าทะลายโจรมาล้างน้ำให้สะอาด ตัดให้มีความยาว 3-5 ซม. ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำมาเกลี่ยบนกระด้ง หรือถาดที่สะอาด การทำให้แห้ง อบที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสใน 8 ชั่วโมงแรก ต่อไปใช้อุณหภูมิ 40 - 50 องศาเซลเซียส อบจนแห้งสนิท หรือตากแดดจนแห้งสนิท ทั้งนี้ควรคลุมภาชนะด้วยผ้าขาวบาง


ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

Thursday, September 24, 2009

แค่เป็นหวัด หรือ ไซนัสอักเสบ ....… ?


ในบรรดาโรคทางเดินหายใจ นอกจากโรคหวัดแล้ว "ไซนัสอักเสบ" ก็เป็นปัญหา ที่พบบ่อยเช่นกัน และมีอาการหลายอย่างเหมือนโรคหวัด เช่น คัดจมูก มีน้ำมูก ไอ จาม ปวดบริเวณใบหน้า ทำให้ไม่แน่ใจว่าเป็นโรคไซนัสอักเสบหรือไม่? ซึ่งหากวินิจฉัยผิดแต่แรกเริ่ม ก็อาจทำให้พลาดการรักษาที่ถูกต้อง จนอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายตามมาได้

โรคไซนัสอักเสบเป็นการอักเสบของ "โพรงอากาศด้านข้างจมูก" หรือเรียกว่า "โพรงไซนัส" ซึ่งปกติจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ตำแหน่ง เป็นคู่ ๆ ได้แก่ โพรงอากาศบริเวณหน้าผาก โพรงอากาศบริเวณหัวตา โพรงอากาศบริเวณแก้ม และโพรงอากาศบริเวณฐานกะโหลก ซึ่งภาวะไซนัสอักเสบ สามารถแบ่งตามระยะของโรคได้ 2 ชนิด คือ
  1. ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน คือ ไซนัสอักเสบที่มีอาการน้อยกว่า 12 สัปดาห์ และอาการต่าง ๆ จะหายสนิทได้
  2. ไซนัสอักเสบเรื้อรัง คือ ไซนัสอักเสบที่เป็นนานกว่า 12 สัปดาห์ และในช่วงที่เป็นนั้น อาการต่าง ๆ ไม่มีช่วงที่หายสนิท
สำหรับผู้ที่มีโอกาส มีปัญหาเกี่ยวกับไซนัสนั้น ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นไซนัสอักเสบได้ แม้แต่เด็กแรกเกิด แต่บุคคลที่มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ได้แก่ กลุ่มผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก มีความผิดปกติของช่องจมูก การติดเชื้อจากการรักษา ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ การสูบบุหรี่ และผู้ที่อยู่ในเขตมลภาวะเป็นพิษ ทั้งนี้ ปัจจัยเสริมให้เกิดไซนัสอักเสบทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบว่า มักเกิดหลังการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจส่วนบน ประมาณร้อยละ 0.5 ถึง 2 จะเกิดการอักเสบของโพรงอากาศข้างจมูกจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลันตามมา ดังนั้น ในช่วงต้นของอาการประมาณ 3 ถึง 4 วันแรก จึงแยกภาวะนี้ออกจากไข้หวัดได้ยากเนื่องจากมีอาการคล้ายคลึงกัน

รู้ได้อย่างไรว่า “ไข้หวัด” หรือ “ไซนัสอักเสบ” ?

ธรรมชาติของไข้หวัดนั้น ผู้ป่วยมักมีอาการใดอาการหนึ่ง หรือหลายอาการดังต่อไปนี้ คือ จาม น้ำมูกไหล คัดแน่นจมูก ความสามารถในการรับกลิ่นลดลง ปวดหน่วงบริเวณใบหน้า เสมหะไหลลงคอ เจ็บคอ ไอ หูอื้อ มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยที่อาการไข้ ปวดเมื่อย และเจ็บคอมักจะดีขึ้น หรือหายไปภายในไม่เกิน 7 - 10 วัน ส่วนอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล แลไอ อาจเป็นนานถึงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 แต่ก็จะลดความรุนแรงลงเรื่อย ๆ แต่หากอาการต่าง ๆ ของไข้หวัดไม่ดีขึ้นเลยภายใน 10 วัน หรือดีขึ้นระยะหนึ่ง แล้วกลับเป็นซ้ำ ให้พึงระวังไว้ก่อนว่าอาจเกิดภาวะไซนัสอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลันได้ (Acute bacterial rhinosinusitis)

สำหรับการวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยต้องมีอาการอย่างน้อยสองอาการ หรือมากกว่าโดยที่หนึ่งในนั้น ต้องมีอาการคัดแน่นจมูก หรือ น้ำมูกไหล ทางรูจมูก หรือไหลลงคอ ซึ่งในบางรายอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดตื้อบริเวณด้านข้างจมูก ใบหน้า และ/หรือ มีการรับกลิ่นผิดปกติไป

การตรวจบริเวณโพรงจมูก และไซนัสเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยอาการแสดงจำเพาะของการเกิดไซนัสอักเสบ คือ พบมูกหนองที่บริเวณช่องข้างจมูกชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางระบายมูกจากโพรงไซนัสเข้ามาสู่ช่องจมูก โดยต้องอาศัยเครื่องมือตรวจพิเศษ ได้แก่ กล้อง Endoscope หรือ Otoscope ที่มีเลนส์ขยาย จึงจะสามารถมองเห็นบริเวณนี้ได้อย่างชัดเจน และยังสามารถเก็บมูกหนอง เพื่อทำการเพาะเชื้อตรวจในผู้ป่วยบางราย อย่างไรก็ตาม ในบางรายแพทย์อาจพิจารณาตรวจทางรังสีวิทยาร่วมด้วย โดยการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เป็นการตรวจที่ดี สำหรับโรคไซนัสอักเสบ เนื่องจากสามารถบอกรายละเอียดของโรค และโครงสร้างทางกายวิภาคในโพรงจมูก และไซนัสได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังใช้วินิจฉัยแยกจากโรคอื่นที่มีลักษณะอาการคล้ายกับไซนัสอักเสบได้ด้วย

การรักษาไซนัสอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน

รักษาด้วยยา
  1. ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยควรได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 10-14 วัน
  2. ยาพ่นจมูกชนิดสเตียรอยด์ ยาชนิดนี้มีผลลดการอักเสบบวมของเยื่อบุจมูกและโพรงไซนัส ช่วยให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นเร็วหากใช้ควบคู่ไปกับยาปฏิชีวนะ
  3. ยาลดการบวม มีทั้งชนิดรับประทานและชนิดพ่นหรือหยอดจมูก ช่วยบรรเทาอาการคัดแน่นจมูกได้ดี แต่มีข้อจำกัดว่ายาชนิดพ่นหรือหยอดจมูกนี้ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 3-5 วันเนื่องจากมีผลข้างเคียงทำให้เยื่อบุจมูกกลับบวมมากขึ้น
  4. ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ทั้งที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการง่วงและไม่ง่วง
  5. การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เป็นการรักษาอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่าย และช่วยให้อาการทางไซนัสดีขึ้น ลดความหนืดของน้ำมูกและช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ชนิดมีขนอ่อนไว้พัดโบกในโพรงจมูกและไซนัส
  6. การสูดดมไอน้ำร้อน
รักษาด้วยการผ่าตัด

เป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง endoscope ผ่านทางรูจมูก เพื่อระบายมูกหนอง และช่วยปรับอากาศของโพรงไซนัส ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่เป็นมาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วและเสียเลือดไม่มาก โดยแพทย์จะพิจารณาให้การผ่าตัดในกลุ่มผู้ป่วยไซนัสอักเสบ ที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบเป็นซ้ำหลาย ๆ ครั้ง รวมถึงรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการอักเสบเฉียบพลันทั้งต่อทางตา, สมอง และกระดูกที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

แม้ในปัจจุบันจะมีการใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคไซนัสอักเสบอย่างแพร่หลาย แต่หากได้รับการดูแลรักษา ที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ต่อเนื่อง ก็มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรง เช่น ลูกตาอักเสบ ฝีหนองในเบ้าตา เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเป็นฝีหนองในเนื้อสมองได้

ที่มา
พญ.วรรนธนี อภิวัฒนเสวี
โสต ศอ นาสิกแพทย์ สาขาโรคไซนัสอักเสบและภูมิแพ้
โรงพยาบาลเวชธานี

Wednesday, September 23, 2009

ริดสีดวงทวารหนัก


ไม่กินผักผลไม้ ดื่มน้ำน้อย เครียดในชีวิตประจำวัน มีโอกาสเสี่ยงที่จะท้องผูก และถ่ายผิดปกติ หรือมีเลือดปนออกมา จนถึงขั้นเสี่ยงต่อริดสีดวง

ปัจจุบัน คนไทยเริ่มมีพฤติกรรมในการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไปเพิ่มมากขึ้น โดยหลาย ๆ คนไม่รับประทานผัก ผลไม้ หรือบางคนดื่มน้ำน้อยมากในแต่ละวัน ประกอบกับการเกิดความเครียดจากการทำงาน ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว และสังคม ส่งผลให้คนไทยมีโอกาสเสี่ยง ที่จะเกิดอาการท้องผูก และถ่ายผิดปกติ หรือมีเลือดปนออกมา จนถึงขั้นเป็นโรคโลหิตจางจนต้องให้เลือดทดแทน

ทั้งนี้ "อาการถ่ายเป็นเลือด" เป็นอาการหนึ่งจากสภาวะท้องผูก หรือการถ่ายอุจจาระ ที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ซึ่งมาจากพฤติกรรมในผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานผัก และผลไม้ หรือดื่มน้ำน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน รวมถึงภาวะความเครียดในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ ตามผู้ป่วยควรจะพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และตำแหน่งที่เลือดออกว่ามาจากส่วนใด ซึ่งอาจจะเป็นเนื้องอก มะเร็ง หรือริดสีดวงทวารหนัก คือ ถ้ามีเลือดออกจากลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง หรือบริเวณทวารหนัก ผู้ที่มีอาการจะเห็นเป็นเลือดสีแดงสดไหล หรือหยด หรือผสมกับอุจจาระที่ออกมา อาการเหล่านี้ หากทิ้งไว้ในระยะยาว โดยไม่ทำการรักษา อาจนำไปสู่การเป็นโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 ได้

โรคริดสีดวงทวารหนักภายในระยะที่ 1 และ 2 ไม่ถือว่าเป็นอันตรายแก่ชีวิต แต่จะเป็นความลำบาก สำหรับผู้ป่วยเอง ในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะการที่ผู้ป่วยปล่อยให้โรคริดสีดวงทวารหนักเรื้อรัง จนลุกลามไปถึงระยะ ที่ 3 และ 4 เป็น เพราะผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักบางราย ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะไปพบ และปรึกษาแพทย์ มักจะเก็บความทุกข์ทรมานจากโรคนี้ไว้ตามลำพัง เนื่องจากเกิดความอาย และกลัวกับวิธีการผ่าตัด

แต่ปัจจุบัน วิทยาการทางการแพทย์ เกี่ยวกับการรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 สามารถเลือกที่จะเข้ารับการผ่าตัดรักษาโรค ด้วยเครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ (Stapled hemorrhoidectomy) หรือที่เรียกว่า PPH (Procedure for prolapsed and hemorrhoid) ในกรณีที่ ผู้ป่วยมีก้อนเนื้อยื่นออกมาในปริมาณมาก

การรักษาด้วยเครื่องมือดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยลง และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อย ไม่มีผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด รวมถึงผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ไวกว่าการผ่าตัดแบบเดิม

การใช้เครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ หรือ PPH กับผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 เป็น วิธีแก้ไขกลไกที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารหนักโดยตรง ซึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญในการผ่าตัดรักษาประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เครื่องมือสอดและถ่างทวารหนัก เครื่องมือช่วยเย็บ และเครื่องมือตัดเย็บหัวริดสีดวง โดยการตัด และเย็บนี้ จะกระทำตามแนวเส้นรอบวงโดยตลอด จึงสามารถตัดหัวริดสีดวงออกได้ทุกหัว และไม่ทำให้รูทวารหนักแคบลง

อีกทั้งแนวการเย็บอยู่สูงกว่า เส้นเด็นเต็ท (dentate line) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดมาเลี้ยง จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดน้อยลง

โดยทฤษฏีแล้ว โรคริดสีดวงทวารหนักเกิดจากการเลื่อนตัวของเบาะรอง (cushion) ที่อยู่ภายในทวารหนักออกมาภายนอก วิธีการผ่าตัดนี้จะดันเบาะรองกลับไปสู่ตำแหน่งเดิม และตัดเฉพาะส่วนเกินที่ยื่นออกมาเท่านั้น ไม่ตัดเบาะรองออกทั้งหมด ในความเป็นจริงแล้ว เบาะรองมีประโยชน์ ในการทำให้ทวารหนักของคนเราปิดสนิท ไม่มีน้ำอุจจาระเล็ดออกมาได้ในระหว่างที่ไม่ได้ถ่ายอุจจาระ

เพื่อป้องกันการเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก หากผู้ป่วยพบว่า มีอาการถ่ายเป็นเลือด ถ่ายลำบาก อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่องการรับประทานอาหาร เน้นผัก และผลไม้ให้มากขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอุปนิสัยเบ่งอุจจาระเวลาขับถ่าย ไม่ใช้ยาสวนอุจจาระพร่ำเพรื่อ

หากหลีกเลี่ยงพฤติกรรม ที่เป็นความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ป่วยจะมีโอกาสห่างไกลจากโรคริดสีดวงทวารหนัก และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยที่ไม่ต้องพบแพทย์

ที่มา
นพ.ทรงศักดิ์ กรสุทธิโสภณ
ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมทั่วไป โรงพยาบาลเจ้าพระยา

สูตรแก้เมาค้าง


กระแสทีวีรายการหนึ่งทำให้ผู้คนหันมาตื่นตัวกันเรื่องเมา ๆ มากขึ้น แต่ไม่ได้ตื่นตัวในเรื่องเลิก แต่เป็นเมาอย่างไรไม่ให้จับได้มากกว่า เมื่อดูอาหารชนิดที่ว่ากันว่า กินแล้วทำให้ตำรวจตรวจแอลกอฮอล์ไม่พบนั้น ดูไปก็เหมือนกับการเอาพลาสติกใส ไปเคลือบปากลิ้นไว้ ไม่ให้แอลกอฮอล์ที่มันตกค้างอยู่ในกาย ระเหยออกมาข้างนอกมากกว่า โดยรวมความก็คือ ยังเมาแประอยู่นั่นเอง ก็ไม่รู้ว่าเป็นนวัตกรรมที่น่ากลัวขึ้นหรือเปล่า

แต่ถ้าไม่อยากเมา แต่จำเป็นต้องไปงานสังคม หรือเผลอใจไปเมาโดยไม่ตั้งใจแล้ว ต้องมานั่งทนทุกข์ทรมาน กับ "อาการแฮงค์โอเวอร์" หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “เมาค้าง” ก็มีวิธีที่จะช่วยดับได้ไม่ยากนัก แถมเป็นมรรควิธีที่เสริมสุขภาพดีแบบยั่งยืนด้วย เพราะบางทีแค่การจิบเครื่องดื่มแก้เมาค้าง อาจไม่ได้ช่วยไล่อาการได้เสมอไปครับ

ใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้เมาค้าง

สิ่งที่เป็นอมตธรรม สำหรับเรื่องเมา ก็คือ ถ้าไม่อยากเมาค้างก็จงอย่าดื่มเหล้า ฟังดูง่ายแต่ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป เพราะในชีวิตที่ต้องว่ายวนอยู่ในสังคม เราก็คงต้องไปงานชุมนุมศิษย์เก่า งานแต่ง งานเลี้ยงรับปริญญา และงานสมาคมอะไรต่อมิอะไรมากมายสุด แล้วแต่จะจินตนาการขึ้นมาได้

การเลี่ยงดื่มในงานเหล่านี้ ถ้าใครทำได้ ก็ดุจจะมีคุณอันวิเศษในตัวทีเดียว ดังนั้นจึงอยากให้เคล็ดสำหรับเตรียมตัวไว้ สำหรับท่านที่ไม่อยากดื่ม แต่คิดว่าอาจเลี่ยงไม่ได้ ดังนี้คือ
  1. นอนพักให้พอ และอย่าออกกำลังหนักก่อนเข้างาน จะทำให้ไม่กระหายแอลกอฮอล์มากนัก
  2. กินโปรตีนสักนิดรองท้องไว้ เช่น แซนวิชทูน่า หรือแม้แต่ปลาเส้นสักกำมือหนึ่ง จะช่วยไม่ให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเร็วนัก
  3. ระหว่างดื่มให้กินกับไปด้วย จะทำให้ไม่เปลืองเหล้า แต่อาจเปลืองกับแทน
  4. ดื่มน้ำให้เยอะ ๆ แล้วปัสสาวะบ่อย ๆ ตรงไปตรงมา เพราะว่าแอลกอฮอล์จะได้ถูกขับออกมาโดยเร็ว

สี่ข้อนี้จะช่วยให้ท่านป้องกันตัวเอง และตับไว้ไม่ให้ต้องทำงานโอทีโดยไม่จำเป็น เพราะงานเลี้ยงถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งของร่างกาย คงจะไม่ค่อยดีนัก ถ้าเราได้พักแล้วยังปล่อยให้ตับต้องทำงานหนักอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เมนูลับดับเมาค้าง

นับแต่เริ่มมีเมรัยมา อาการเมาค้าง ถือเป็นสิ่งที่คู่กัน แม้คนที่ถือว่าคอเหล็กคอแป๊บที่สุด ก็ยังต้องเคยมีประสบการณ์เมาค้างให้รำคาญใจ โดยเฉพาะในวันจันทร์ที่เริ่มทำงานนั้น เป็นเรื่องไม่สนุกเลย ที่จะต้องเดินเพลียเข้าที่ทำงาน จึงอยากนำเมนูแก้เมาค้างง่าย ๆ และเติมสุขภาพให้ตัวท่านได้มาฝากไว้ ดังนี้ครับ

ไข่ตุ๋นและซุปไก่
ในไข่ตุ๋นกับซุปไก่นั้น จะมีกรดอะมิโน ชื่อ “ซิสเทอีน" (Cysteine) อยู่ช่วยลดระคายคอ และพบว่าช่วยบรรเทาอาการเมาค้างได้ด้วย ขอให้กินร้อน ๆ ด้วยได้ก็จะยิ่งดี
น้ำส้ม มะนาว กระเจี๊ยบ เกรปฟรุต
ส่วนน้ำผลไม้รสเปรี้ยวจับใจนั้น ใช้ได้ดีมากทีเดียว เพราะวิตามินซี มีผลในการช่วยลดเมาค้างได้ดีมาก ถ้าหาน้ำผลไม้ไม่ได้จริง ๆ อาจไปหลังครัวหยิบมะขามเปียกมาสักสิบฝัก ต้มน้ำเติมน้ำตาลสักนิดก็ดีไม่น้อย ดังนั้น ข้างโถยาดองที่ท่านวางจานมะขามเปียกกับมะยมไว้ให้จิ้มเกลือเม็ด ให้น้ำลายพุ่งออกจากกระพุ้งแก้มเล่นนั้น มันช่วยตัดเหล้าได้จริงทีเดียว
ชารางจืด
รางจืด นั้นเป็นว่านหน้าตาคล้ายใบพลูที่เลี้อยเกาะระแนงไม้ เอาใบรางจืดมาตากแดดไว้แล้วชงดื่มสักหน่อย รับรองว่าเมาค้างจะหายเป็นปลิดทิ้ง
กล้วยหอมน้ำผึ้งเชค
อย่างกล้วยหอมน้ำผึ้งปั่นนั้นช่วยได้มาก ตรงที่กล้วยหอมมีธาตุร่าเริงอยู่ในเนื้อมัน กินไปมาก ๆ จะช่วยให้สมองสดชื่นมีพลัง และคนที่ความดันสูงก็จะลดลงได้ด้วย ฤทธิ์ธาตุโพแทสเซียมที่มีอยู่ด้วย พอผนวกเข้าไปกับน้ำผึ้ง ซึ่งมีน้ำตาลฟรุกโตสแล้ว ก็ยิ่งช่วยให้กะปรี้กะเปร่ามากขึ้น

แต่มีข้อแม้ว่าตอนทำเช้คต้องใส่น้ำให้เยอะสักหน่อยครับ อย่าให้หวานจัดเกินไป ประเดี๋ยวหายเมา แต่พาลง่วงนอนหลับต่อเจ้านายไม่ปลื้มอีก

สูตรที่ดีสุดจริง ๆ คือ “อดใจ” เสียไม่ให้ความอยากเหล้าเข้ามาครองได้ ไม่ว่าจะเข้าหรือออกพรรษาก็ตามที เพราะเหล้านั้นเป็นของ ที่ผลิตมาไว้ให้มันกินเราโดยแท้ทีเดียวครับ แม้ว่าเราอาจถูกมันล้างสมองไปบ้างแล้ว แต่อยากขอให้ “ล้างสมอง” ใหม่อีกทีท่องไว้ว่าไม่มีใครในโลกบังคับจับกรอกปาก ให้เรากินได้ถ้าไม่ใช่ “ความอ่อน” ของตัวเราเอง

ที่มา
นพ.กฤษดา ศิรามพุช พบ. (จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

Tuesday, September 22, 2009

เคล็ดลับก่อนฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยการล้างพิษ


อาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น มีหลายชนิดที่เป็นตัวการทำให้สารพิษก่อตัว และเป็นผลร้ายต่อลำไส้ใหญ่ เช่น อาหารจำพวกแป้ง ฟาสต์ฟู้ด

อาหารทำจากนม เช่น เนย นม ชีส ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า การเน่าบูดของอาหารเหล่านี้อาจก่อให้เกิดปริมาณสารพิษจำนวนมากมายมหาศาลสะสมในลำไส้ใหญ่ และเมื่อสารพิษสะสมไม่มีที่ไปมากจนถึงขั้นวิกฤต ในที่สุดก็จะกระจายเข้าระบบโลหิต ระบบน้ำเหลือง และแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เปรียบเสมือนถังขยะ ที่เต็มจนล้นออกมา สร้างความสกปรกเน่าบูดเหม็นคลุ้งไปทั่วบ้าน

อาการง่าย ๆ ที่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าสารพิษล้นจนร่างกายเริ่มรับไม่ไหว ได้แก่
  • เหนื่อยง่าย
  • ปวดหัว
  • เวียนศีรษะ
  • ไม่มีอารมณ์ทางเพศ
  • ความจำสั้น
  • น้ำหนักเกิน
  • เงียบซึม ไม่กระปรี้กระเปร่า.

ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้อาจบรรเทาได้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่คุณหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพลำไส้ใหญ่ และระบบขับถ่ายให้ทำงานตามปกติ หนึ่งวิธีที่คุณอาจทำได้ง่าย และได้ผล คือ การล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสะอาด หรือที่เรียกว่า Colon Hydrotherapy (โคโลนิค) ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีให้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตามโรงพยาบาล หรือคลินิกเฉพาะทาง ที่ได้มาตรฐานสากลและผ่านการรับรอง การทำโคโลนิค เป็นการใช้น้ำสะอาดในเกรดสูง แล้วปล่อยอย่างนุ่มนวลเข้าไปชะล้างสารพิษ และสิ่งสกปรกที่เกาะสะสมในลำไส้ใหญ่ ช่วยฟื้นฟูระบบขับถ่าย และสุขภาพโดยรวม จากการที่สารพิษถูกกำจัดก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าไปทำร้ายระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะล้างพิษด้วยวิธีไหน เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ 5 ข้อ มาแนะนำเพื่อช่วยให้การล้างพิษมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1.ก่อนการล้างพิษ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า คุณมีความจำเป็นแค่ไหนในการล้างสารพิษ และร่างกายคุณพร้อมสำหรับการล้างพิษหรือเปล่า โรคประจำตัว เช่น หัวใจ ความดัน หรืออายุ อาจเป็นอุปสรรคในการล้างพิษได้ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

2.เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะล้างพิษ ระดับหรือประเภทในการล้างพิษ ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา เช่น ถ้าคุณยังอายุน้อย และไม่มีอาการระบุจากสารพิษสะสมข้างต้น คุณอาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการรับประทานเพื่อการล้างพิษแทน แต่หากคุณมีปัญหาระบบขับถ่าย และต้องการฟื้นฟูการเคลื่อนตัวของลำไส้ใหญ่ การทำโคโลนิค หรือการใช้น้ำสะอาดสวนล้างลำไส้ใหญ่ก็อาจเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคุณ

3.เตรียมพร้อมก่อนการล้างสัก 3 - 5 วัน ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ รับประทานผัก ผลไม้ ให้ได้สักครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร และพยายามงดอาหารกลุ่ม ที่ทำจากนม เนื้อสัตว์ และแป้งขัดสี จะช่วยทำให้การล้างพิษเป็นไปได้อย่างง่ายดายขึ้น

4.ขอให้ใช้ความพยายาม มุ่งมั่น และความอดทน เพราะคุณคงไม่คิดว่าของเสียที่สะสมมาทั้งชีวิต หรืออาการป่วยเรื้อรังที่คุณเป็น จะสามารถรักษาให้หายได้ด้วย การล้างพิษเพียงแค่ครั้งเดียว คุณอาจต้องล้างพิษมากกว่าหนึ่งครั้ง และอาจไปจนกว่าที่จะรู้สึกว่าอาการของคุณดีขึ้น

5.เตรียมตัวเปลี่ยนพฤติกรรมที่ผ่านมาได้เลย หลังจากที่คุณรู้สึกดีขึ้น พยายามเลิกพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเก่า ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานแต่เนื้อสัตว์ ไม่ออกกำลังกาย ไม่เข้าห้องน้ำเมื่อปวดถ่าย นอนดึก พักผ่อนน้อย หากคุณอยากจะให้สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับคุณไปนาน ๆ

ที่มา
MedMD.com

ต้อกระจก


อาการตามัวในผู้สูงอายุดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนหลาย ๆ คนไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งนี้เท่าใดนัก เพราะคิดไปว่า “แก่แล้ว หูตาก็ฝ้าฟางเป็นเรื่องธรรมดา” แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันสามารถช่วยรักษาอาการตามัวในผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้ ดังนั้น อย่าได้นิ่งนอนใจ ถ้าคุณหรือญาติผู้ใหญ่ของคุณตามัวลง

ต้อกระจก (Cataract) คือ ภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่น แสงจึงผ่านเลนส์เข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง หรือบางครั้งการขุ่นนั้น จะก่อให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติไป โฟกัสผิดที่ ทำให้จอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจึงตามัวลง โดยไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใด ๆ ยิ่งเลนส์แก้วตาขุ่นขึ้น การมองเห็นก็จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ต้อกระจกเป็นสาเหตุ ที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุตามัวลง

อาการของต้อกระจก

ตามัวลงช้า ๆ เหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง โดยไม่มีอาการปวดตา
เห็นภาพซ้อน สายตาพร่า สู้แสงไม่ได้ เห็นดวงไฟแตกกระจายโดยเฉพาะในเวลากลางคืน
ในบางรายอาการระยะแรกของต้อกระจก คือ จะมีสายตาสั้นมากขึ้น ๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย ๆ เมื่อต้อกระจกขุ่นมาก แว่นตาจะช่วยไม่ได้
และถ้าปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่รักษาอาจจะเกิดอาการแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น มีอาการปวดตาอย่างรุนแรง และตาแดงมาก เนื่องจากโรคลุกลามกลายเป็นโรคต้อหินเฉียบพลัน และม่านตาอักเสบ จนกระทั่งตาบอดได้ในที่สุด

วิธีการรักษาต้อกระจก

เมื่อต้อกระจกเป็นมากจนทำให้สายตาขุ่นมัว การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ หรือเทคนิค “เฟโค” (Phacoemulsification) พร้อมทั้งใส่เลนส์แก้วตาเทียม เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้สายตาของผู้ป่วยดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์ เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย และได้ผลดีมาก ไม่จำเป็นต้องให้ยาสลบ นอกจากนี้ แผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาวิธีนี้ จะมีขนาดเล็กมากเพียง 3 ม.ม. จึงสมานตัวได้เป็นปกติอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความสะอาด และระวังไม่ให้มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกต่อดวงตา

ข้อจำกัดของการสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์

ในกรณีที่ต้อกระจกสุกมาก หรือแข็งตัวมาก หรือในผู้ป่วยที่มีการเลื่อนหลุดของเลนส์แก้วตาจากเส้นใยที่ยึดเลนส์ที่เป็นต้อกระจกฉีกขาด ซึ่งพบได้ในรายที่ต้อกระจกสุกมากเกินไป หรือมีโรคทางตาบางชนิด หรือเคยได้รับอุบัติเหตุกระทบกระแทกบริเวณดวงตามาก่อน กรณีดังกล่าวข้างต้น ไม่เหมาะสมสำหรับการสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวด์ จักษุแพทย์อาจพิจารณาทำการรักษาต้อกระจก ด้วยวิธีดั้งเดิม ซึ่งจะต้องเปิดแผลกว้างประมาณ 10 - 12 ม.ม. เพื่อนำตัวเลนส์แก้วตา ที่เป็นต้อกระจกออก แล้วจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปในถุงของเยื่อหุ้มเลนส์เดิม หลังจากนั้น จึงเย็บปิดแผลด้วยไหมเย็บชนิดบางเล็กพิเศษ

ทั้งนี้ การเลือกวิธีการรักษาต้อกระจกว่าสมควรใช้วิธีใดนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของจักษุแพทย์ผู้ทำการรักษา โดยที่แพทย์จะสามารถให้ข้อมูลแก่คุณได้ หลังจากทำการตรวจวินิจฉัยดวงตาของคุณโดยละเอียดแล้ว

ที่มา:
ศูนย์จักษุกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ

Monday, September 21, 2009

ไส้ติ่ง


" ไส้ติ่ง "
คือส่วนของลำไส้ใหญ่ที่ยื่นออกมาเป็นติ่ง อยู่ตรงบริเวณด้านขวาล่าง มีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ยาวตั้งแต่ 2 - 20 เซนติเมตร มีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ แต่เดิมนั้นเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าไส้ติ่งทำหน้าที่อะไร มีประโยชน์หรือไม่ หลายคนคิดว่า ไส้ติ่งเป็นส่วนเกินของร่างกาย เมื่อมีเหตุให้ต้องผ่าตัดช่องท้อง จึงผ่าไส้ติ่งทิ้งไปด้วย เพราะเกรงว่าไส้ติ่งจะสร้างปัญหาหากกลายเป็นไส้ติ่งอักเสบขึ้นมา แต่มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า "ไส้ติ่งนั้นมีประโยชน์"

ไส้ติ่งมีไว้ทำอะไร

นักวิทยาศาสตร์อเมริกันจากมหาวิทยาลัย Duke ค้นพบว่า " ไส้ติ่ง " มีหน้าที่สร้างและปกป้องเชื้อจุลินทรีย์ในช่องท้องของคนเรา จุลินทรีย์ที่ว่านี้ ช่วยในระบบการย่อยอาหาร นอกจากนี้ " ไส้ติ่ง " ยังทำหน้าที่กระตุ้นระบบย่อยอาหาร ให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ถูกเชื้อโรคอหิวาต์หรือเชื้อโรคบิดเล่นงาน

ศาสตราจารย์ Bill Parker แห่งมหาวิทยาลัย Duke อธิบายว่า ไส้ติ่ง ทำหน้าที่เป็นเสมือนที่หลบภัยและโรงงานผลิตแบคทีเรียที่มีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของไส้ติ่งจะลดน้อยลงมากในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากมีโอกาสเกิดโรคอหิวาต์หรือโรคบิดน้อยมาก แต่สำหรับในประเทศด้อยพัฒนา ไส้ติ่งยังคงมีประโยชน์ กับประชากรในประเทศเหล่านั้นอยู่ รายงานบอกด้วยว่า ในประเทศด้อยพัฒนานั้นมีอัตราการเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบน้อย มากเมื่อเทียบกับในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า แม้ไส้ติ่งจะมีประโยชน์ แต่เมื่อติดเชื้อจนมีอาการไส้ติ่งอักเสบ ก็จำเป็นต้องผ่าตัดออก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้ ในแต่ละปี มีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 300-400 คน

ไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคปวดท้องแบบเฉียบพลัน ที่พบมากที่สุด มักพบในวัยหนุ่มสาวอายุไม่เกิน 30 ปี สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง

สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ

เกิดจากการอุดตันของไส้ติ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเม็ดฝรั่งตามความเชื่อแต่โบราณ ส่วนใหญ่พบว่า เกิดจากเศษอุจจาระที่แข็งตัว มีบ้างที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอม พยาธิ หรือก้อนเนื้องอก ทำให้ไส้ติ่งเกิดการอุดตัน และติดเชื้ออักเสบขึ้น

อาการของไส้ติ่งอักเสบ

โดยทั่วไป จะมีอาการปวดท้อง บอกตำแหน่งแน่นอนไม่ได้ อาจปวดรอบสะดือก่อน อาจปวดเป็นพัก ๆ หรือตลอดเวลาก็ได้ แต่โดยทั่วไปมักปวดตลอดเวลา หลังจากนั้นอาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ท้องน้อยด้านขวา และปวดตลอดเวลาเช่นกัน อาจมีไข้ต่ำ ๆ มักไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการไม่เหมือนดังที่กล่าวมา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้ติ่ง เช่น อาจปวดท้องด้านขวาบนหรือตรงกลางก็ได้ ถ้าปลายของไส้ติ่งยาวไปถึงบริเวณนั้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หากยังไม่ได้รับการรักษา อาการอาจเพิ่มมากขึ้น ไข้อาจสูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส อาจมีอาการปวดมากทั้งด้านซ้ายและขวา กดเจ็บบริเวณที่ปวด และปวดมากเวลาเคลื่อนไหวจนต้องนอนนิ่ง ๆ ซึ่งนั่นหมายถึง ไส้ติ่งเริ่มติดเชื้อรุนแรง เน่า และแตก หรือกลายเป็นฝี โดยทั่วไประยะเวลาตั้งแต่เริ่มปวดจนไส้ติ่งแตก มักไม่เกิน 3 วัน

การรักษาไส้ติ่งอักเสบ

โรคไส้ติ่งอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ไส้ติ่งกลายเป็นฝีในท้องต้องผ่าตัดออก หรือไส้ติ่งแตกมีหนองออกมาภายในช่องท้อง ทำให้เสียชีวิตได้

การรักษาไส้ติ่งอักเสบไม่ว่าไส้ติ่งจะแตกหรือไม่ ทำได้โดยการผ่าตัด ในรายที่ไส้ติ่งแตก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

อาการปวดท้องในระยะแรกไม่ว่า จะเป็นไส้ติ่งอักเสบ หรือโรคอื่น ๆ ก็ตาม จะแยกโรคได้ยาก ต้องใช้การสังเกตอาการ ดังนั้น ในกรณีที่เริ่มปวดท้องโดยที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร อย่าเพิ่งกินยาแก้ปวด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะการกินยาแก้ปวดจะทำให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคลำบาก เนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด โดยเฉพาะหากปวดท้องมากติดต่อกันนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ก็มักเป็นอาการร้ายแรงอื่น ๆ เสมอ


ที่มา
นิตยสาร Scientific

กาแฟ มีประโยชน์??

ที่ผ่านมา เชื่อกันว่ากาแฟมีผลต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน ทำให้เป็นหมัน ทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้ง หรือทารกน้ำหนักน้อย เป็นต้น แต่การวิจัยในระยะหลังระบุว่า "การดื่มกาแฟ" เพียงวันละ 1 - 2 ถ้วย ไม่น่าจะมีปัญหา และอาจให้ผลดี หากดื่มให้เป็น แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดี

*กาแฟกับโรคหัวใจ
ผลการศึกษากับคน มากกว่า 400,000 คน ไม่พบว่าการดื่มกาแฟทั้งชนิดที่มีกาเฟอีน และชนิดสกัดกาเฟอีนออก เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่ติดตามดู กลุ่มผู้หญิง 27,000 คน เป็นระยะเวลา 15 ปี พบว่า การดื่มกาแฟปริมาณน้อย ๆ ประมาณวันละ 1 - 3 ถ้วย ลดความเสี่ยงโรคหัวใจให้น้อยลง 26% อย่างไรก็ตาม หากดื่มกาแฟปริมาณมากกว่านี้ จะไม่ได้ผลดีในการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

*กาแฟกับความดันโลหิต
เว็บไซต์มูลนิธิโรคหัวใจ และสโตรคแคนาดา ระบุว่า คนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำ มีแนวโน้มว่าคาเฟอีนจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นชั่วคราว ส่วนคนที่ดื่มในปริมาณมากเป็นประจำ เช่น กาแฟวันละ 5 ถ้วย มีส่วนทำให้ความดันโลหิตตัวบนเพิ่มขึ้น 2.4 มิลลิเมตรปรอท และความดันโลหิตตัวล่างเพิ่มขึ้น 1.2 มิลลิเมตรปรอท แต่ถ้าดื่มเป็นประจำในปริมาณน้อย ๆ ผลกระทบยังไม่แน่นอน มีการศึกษาที่ติดตามกลุ่มพยาบาล 155,000 คน ที่ดื่มกาแฟมานาน 10 ปี พบว่าทั้ง กาแฟชนิดที่มีกาเฟอีน และชนิดที่สกัดกาเฟอีนออก ไม่ทำให้ความดันเลือดเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ คณะวิจัยจาก John Hopkins ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน ติดตามไป 33 ปี ก็พบเช่นกันว่า กาเฟอีนมีผลต่อความดันเลือดน้อยมาก ในทางกลับกัน การศึกษาจาก VA Medical Center ใน Oklahoma City สหรัฐอเมริกา พบว่า คนที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ยิ่งดื่มกาแฟ ก็จะยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

การศึกษาทำกับผู้ชาย ที่มีระดับความดันโลหิตต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือสูงเล็กน้อย ไปจนถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูง จำนวนผู้เข้าศึกษาไม่มากนัก ประมาณกลุ่มละ 18-73 คน

ผลการศึกษาพบว่า กาเฟอีน 250 มิลลิกรัม ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นทั้งตัวบนและตัวล่าง ในทุกกลุ่ม แต่จะสูงขึ้นอย่างมากในผู้ป่วย ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่ก่อนแล้ว มากกว่า 1.5 เท่าของกลุ่มที่ความดันปกติ

มีคำแนะนำให้ผู้ที่ความดันโลหิตสูงหลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ที่มีกาเฟอีนในปริมาณสูง สำหรับผู้ที่ความดันเป็นปกติ ยังไม่พบผลเสียร้ายแรงจากการดื่มกาแฟ

*กาแฟกับมะเร็ง
เมื่อปี 2524 คณะนักวิจัยจาก John Hopkins ระบุว่า กาแฟเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน อย่างไรก็ตาม การศึกษาต่อมาพบว่า กาแฟไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับอ่อน คือ บุหรี่

การศึกษากับผู้หญิงสวีเดน 59,000 คน ยังพบว่ากาเฟอีนไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม และยังมีรายงานด้วยว่า การดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีรายงานจาก World Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

*กาแฟกับกระดูกพรุน
จากการศึกษาพบว่า กาแฟทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลงเล็กน้อย ประมาณ 27 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับนม 1 - 2 ช้อนโต๊ะ และไม่ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ปริมาณแคลเซียมเท่านี้ ไม่น่าจะทำให้คนที่กินแคลเซียมมากพอเป็นโรคกระดูกพรุน หากกังวลก็สามารถเติมนมไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมันลงไปในกาแฟเพื่อชดเชย หรือดื่มนมเพิ่มสำหรับ ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 ถ้วยขึ้นไป

*กาแฟกับเบาหวาน
จากการศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่ม ขึ้น 15% กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนอะดรีนาลีนเพิ่มขึ้น ทำให้หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วย ที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว

แต่ก็มีการวิจัยจากฟินแลนด์ และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่พบว่า คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟ

*กาแฟกับการตั้งครรภ์และการเป็นหมัน
ก่อนหน้านี้ มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐาน ยังไม่พบผลเสียดังกล่าว นักวิจัยแนะนำว่า การดื่มกาแฟปริมาณน้อย ๆ ขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย แต่หากงดได้ก็น่าจะงด ส่วนการเป็นหมันนั้น พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 1 แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันมากขึ้น

*กาแฟกับการขาดน้ำ
จากการศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟไม่เกิน 550 มิลลิกรัม หรือประมาณ 5 ถ้วยครึ่ง ไม่ออกฤทธิ์ขับปัสสาวะ การดื่มกาแฟทำให้ปัสสาวะมากขึ้น เทียบเท่ากับการดื่มน้ำในปริมาณเท่า ๆ กัน อย่างไรก็ตาม กาเฟอีนจะมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ หากดื่มเกินครั้งละ 575 มิลลิกรัม หรือประมาณ 6 ถ้วย ดังนั้นขณะออกกำลังกาย หรือหลังออกกำลังกายไม่ควรดื่มกาแฟในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

*กาแฟกับน้ำหนักตัว
คาเฟอีน 100 มิลลิกรัมเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ ประมาณวันละ 75 - 100 กิโลแคลอรี แต่ไม่มีการศึกษาใดที่พบว่า กาแฟช่วยให้ลดน้ำหนักได้ในระยะยาว

ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาจากชาวอเมริกัน 58,000 คน ติดตามไป 12 ปี พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งผู้หญิง และผู้ชายที่ดื่มกาแฟมากขึ้น กลับมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุอาจมาจากน้ำตาล นม และครีมเทียมที่ใส่ลงไปในกาแฟ

*กาแฟกับสมรรถภาพของร่างกาย
คาเฟอีนเพิ่มความสามารถในการออกแรง ออกกำลัง หรือเล่นกีฬา โดยเพิ่มความอดทนหรือความสามารถในการออกแรงได้นานขึ้น กลไกที่คาเฟอีนทำให้สมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น น่าจะมาจาก การออกฤทธิ์ทำให้อาการปวดลดลง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเอ็น กลไกอีกอย่างหนึ่งของคาเฟอีน คือ การทำให้ร่างกายเปลี่ยนระบบเผาผลาญ โดยลดการเผาผลาญแป้งและน้ำตาล และเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ทำให้เราออกแรง ออกกำลังได้มากขึ้น

*กาแฟกับอารมณ์
การศึกษาพบว่า กาแฟปริมาณน้อย ๆ ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม เทียบเท่ากาแฟสด 480 มิลลิลิตร หรือเกือบครึ่งลิตร ทำให้สดชื่น มีพลัง และรู้สึกอยากเข้าสังคมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากดื่มกาแฟมากกว่านี้ อาจทำให้เครียดง่าย และทำให้ปวดท้องหรือไม่สบายท้องได้

การศึกษาในคนที่อดนอนพบว่า กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ไม่ง่วง ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเร็วขึ้น ความจำดีขึ้น สมาธิดีขึ้น และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น แต่ไม่ช่วยเพิ่มความสามารถในคนที่นอนมากพออยู่แล้ว

กาแฟยังช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ลดอาการปวดเมื่อย เนื่องจากไข้หวัด ลดอาการซึมเศร้า และคลายความวิตกกังวล และช่วยให้ผู้สูงอายุกระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวยกว่าคนในวัยเดียวกัน ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ

กาแฟกับโรคอื่น ๆ
การศึกษาพบว่า กาแฟชนิดที่มีกาเฟอีนลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์คินสันได้ ประมาณ 30% แต่กาแฟชนิดสกัดกาเฟอีนออก จะไม่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้

การดื่มกาแฟเป็นประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี และนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว จะช่วยบรรเทาอาการหอบหืด

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่า การศึกษาเหล่านี้ยังเป็นการศึกษาแรกเริ่ม จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านต่อไป คอกาแฟอาจจะดื่มกาแฟได้อย่างคล่องคอมากขึ้น แต่ก็อย่าโหมดื่มกาแฟ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรค ควรปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจก่อนดื่ม

กิน-ดื่ม (น้ำ) ผลไม้ ตอนท้องว่างดีหรือไม่ดี ???

เกาะที่กระแสเฮลตี้กำลังครองเมืองเช่นนี้ ต้องบอกว่า ผัก-ผลไม้ก็ขึ้นแท่นติดอันดับของอาหารและเครื่องดื่ม ที่อยู่ในใจของคนที่รักสุขภาพเช่นกัน

ผู้ประกอบการหลายราย จึงพยายามสร้างสรรค์ทำให้การดื่ม-กินผักผลไม้เหล่านี้ง่ายขึ้น ด้วยการทำเป็นสำเร็จรูป หรือกึ่งสำเร็จรูป ไปจนถึงการสรรหากรรมวิธี หรือสูตรเด็ดเคล็ดลับต่าง ๆ มาป้อนให้กับผู้บริโภค

ปัจจุบันมีน้ำผลไม้สำเร็จรูปออกมา ในรูปแบบที่มีคำเรียกต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ควรรู้

  • ′น้ำผลไม้สด′ หมายถึง น้ำที่คั้นมาสด ๆ ไม่ได้ปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น
  • ′น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ′ หมายถึง ได้นำผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธีถนอมอาหารเพื่อยืดอายุโดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่จะเห็นได้อยู่ทั่วไปในรูปของศัพท์ต่าง ๆ
  • ′ น้ำผลไม้ชนิด 100%′ คือ น้ำผลไม้ ที่มีรสชาติใกล้เคียงกับของสดมากที่สุด เพราะไม่มีการปรุงแต่งรสชาติ
  • ′น้ำผลไม้ผสม′ ประเภทนี้จะมีการผสมน้ำผลไม้อื่น ๆ ลงไปด้วย และมักเติมน้ำตาล สารปรุงแต่งรสต่าง ๆ และกลิ่น รวมถึงสารกันบูด โดยจะมีส่วนประกอบหลักอยู่ที่ 40%- 60%
  • ′น้ำผลไม้ยูเอชที′ จะเหมือนน้ำผลไม้ผสม โดยจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% - 100% และมีการบรรจุแบบสุญญากาศเพื่อยืดอายุ
แม้จะมีของสำเร็จรูปให้เลือกสรร อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยของทุกสถาบัน จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การกิน-ดื่มผลไม้แท้ ๆ ต่างหากที่จะมีประโยชน์สูงสุด แต่การจะรับประโยชน์ให้ได้สูงสุดนั้น ก็ต้องกินให้ถูกวิธี นั่นคือ ให้กินตอนที่ ′ท้องว่าง′ เรียกว่า พฤติกรรมในการกินผลไม้ตบท้ายหลังมื้ออาหารอย่างที่ทำ ๆ กันอยู่นั้นผิดทาง

นั่นเป็นเพราะว่า ในเรื่องของการย่อยนั้น ผลไม้จะถูกย่อยได้เร็วกว่าอาหารอื่น ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้ เพราะถูกอาหารที่ยังไม่ย่อยขวางเอาไว้ แล้วเมื่อผลไม้ไปรวมตัวกับอาหารอื่น ๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ทำให้แน่นท้อง

นอกจากนั้นแล้ว การกินผลไม้ตอนท้องว่าง จะไปช่วยล้างพิษที่สะสมอยู่ และสำหรับผู้กำลังลดน้ำหนัก ผลไม้เหล่านี้ ยังจะเป็นพลังงานให้กับร่างกายด้วย

ส่วนคนที่ชอบดื่มน้ำผลไม้นั้น ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้สด เลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้กระป๋อง หรือที่ผ่านความร้อนมาแล้ว เพราะจะไม่หลงเหลือวิตามินอยู่เลย และการดื่มที่จะได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ควรดื่มอย่างช้า ๆ ทีละคำ เพื่อให้น้ำผลไม้ไปรวมกับน้ำลายเสียก่อน

Saturday, September 19, 2009

นอนไม่หลับ ทำไงดี?

การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาเข้าหลับนอน ยามหัวถึงหมอนเมื่อไรแล้ว หลับทันทีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา น่าอิจฉาคนที่นอนหลับได้อย่างง่ายดาย เมื่อเข้านอนบางคนการนอนให้หลับเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อ ทรมานทุกทีเมื่อล้มตัวลงนอน แม้จะนอนบนที่นอนนุ่ม ๆ สบาย ๆ แต่ก็ยังพลิกตัวแล้วพลิกตัวอีก ก็ไม่หลับสักที บางคนอาจจะใช้หลาย ๆ วิธีแบบโบราณอย่างเช่น นับหนึ่งถึงร้อย หรือนับแกะจนแกะแทบจะหมดฟาร์มก็ยังนอนไม่หลับ สุดท้ายบางคนต้องพึ่งยานอนหลับจากร้านค้า ยานอนหลับอาจจะทำให้หลับได้จริง แต่นั่น ไม่ใช่เป็นวิธีที่ดีที่สุด มันส่งผลบั่นทอนสุขภาพอีกด้วย มีวิธีที่จะทำให้นอนหลับง่าย ๆ ดังนี้
  • เข้านอนเป็นเวลา การเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาเดียวกันทุกวันเป็นประจำ จะเป็นการจัดระบบแบบแผนการนอนหลับที่ดีให้แก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายได้หลับพักผ่อนเต็มที่ในเวลาที่ต้องการ
  • เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง เมื่อรู้สึกง่วงนอนควรหยุดทำทุกอย่าง แล้วเข้านอนพักผ่อน แต่ถ้าเมื่อเข้านอนแล้วยังไม่หลับ ควรหากิจกรรมเบา ๆ ทำ เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์เมื่อรู้สึกง่วงแล้วค่อยเข้านอน จะช่วยให้หลับสบายได้ง่ายขึ้น
  • เลือกเสียงเพลงขับกล่อม การสร้างบรรยากาศที่ดี เลือกด้วยการเสียงเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจทำให้จิตสงบ ผ่อนคลายบรรเลงเบา ๆ ขณะเข้านอน เสียงเพลงนั้นจะขับกล่อมให้คุณเคลิ้มหลับได้ไม่ยาก และยังช่วยเร่งการนอนหลับให้เร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เพราะสิ่งเหล่านี้ มันจะไปรบกวนระบบการนอนปรกติของคุณสามารถปลุกให้ตื่นกลางดึกได้ สิ่งที่ควรทำหลังรับประทานอาหารมื้อเที่ยง คือ งดมันทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเย็น
  • ปรับม่านรับแสง การจัดสิ่งแวดล้อมก่อนเข้านอนมีผลต่อการหลับอย่างหนึ่งได้เช่นกัน โดยทั่วไป แสงสว่างจะปลุกให้ตื่นโดยอัตโนมัติ ถ้าคุณเป็นคนทำงานกลางคืนต้องนอนกลางวัน ควรปรับม่านรับแสงให้แสงสว่างเล็ดลอดเจ้าห้องนอนน้อยที่สุด จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สบายขึ้น
  • ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน ตามหลักกายภาพอธิบายว่า เครื่องดื่มอุ่น ๆ จะสามารถเข้าไปปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สูงขึ้น ทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้อย่างรวดเร็ว หากคุณนอนไม่หลับจริง ๆ นมอุ่น ๆ หรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟ สักแก้ว อาจจะช่วยให้หลับสบายขึ้น
  • ตรวจสอบยาที่รับประทานก่อนนอน ยาหลายชนิด เป็นสาเหตุสำคัญของการนอนไม่หลับ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ทุกครั้งเมื่อคุณได้รับยา ที่ต้องรับประทานก่อนนอน
  • อย่าซื้อยานอนหลับมารับประทานเอง แม้ว่ายานอนหลับจะช่วยให้คุณหลับได้จริง แต่มันส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว ยานอนหลับมีฤทธิ์เป็นสารเสพติดอย่างอ่อน และทำให้ง่วงเหงาหาวนอนในระหว่างวันด้วย ทางที่ดีแทนที่คุณจะใช้ยานอนหลับ คุณควรหากิจกรรมทำในช่วงเย็น เช่น ออกกำลังกายให้ร่างกายได้ใช้แรงบ้าง น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

การนอนไม่หลับไม่ได้เกิดกับทุกคน แต่หลายคนที่ต้องเผชิญกับอาการนอนไม่หลับที่แสนจะทรมาน ย่อมไม่ปรารถนาที่จะเจอ เพราะเมื่อนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกเฉื่อยชา ไม่อยากจะทำอะไร อารมณ์ก็พลอยหงุดหงิดไปด้วย บั่นทอนสุขภาพกายและสุขภาพจิต คิดอะไรสมองก็ไม่ปลอดโปร่ง วิธีง่าย ๆ 8 วิธี ดังกล่าวมาแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับพักผ่อนฝันหวาน การนอนหลับจะช่วยให้ร่างกายที่ทำงานล้ามาตลอดทั้งวันได้พักผ่อน พร้อมทั้งจิตใจและสมองที่คุณใช้ความคิดมาทั้งวันก็จะได้พักด้วย เรียกได้ว่านอนหลับฝันหวานสบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไร ตื่นขึ้นมาก็จะพบกับความสดชื่น สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดี ร่างกายพร้อมจะทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานก็ดีตามมา ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับคนอื่นก็เป็นไปอย่างมีความสุข


ที่มา
โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์

Friday, September 18, 2009

อาหารพิชิตหวัด

ช่วงนี้คนใกล้ตัว ไอ จาม เป็นหวัดกันระนาว จะหลีกหนีให้ไกล หรือใส่ผ้าปิดจมูกกันตลอดเวลาคงไม่สะดวก จึงขอป้องกันตัวเองง่าย ๆ ด้วยการเลือกกิน สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายกันดีกว่า

บรรดาโรค และอาการ ที่มาเยือนร่างกายเราบ่อย ก็เห็นจะเป็นปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหวัดนี่ล่ะ เวลาเป็นที ก็รู้สึกอ่อนเปลี้ย เรี่ยวแรงหดหาย สมองไม่ปรู๊ดปร๊าดอย่างเคย อาการเหล่านี้มีโอกาสเกิดได้ง่าย ถ้าร่างกายคุณอ่อนแอ ขณะที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย กินอาหารไม่ถึง และถ้าบวกเข้ากับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ วันหนึ่งแทบจะ 3 ฤดู อย่างเช่นทุกวันนี้ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นหวัดกันได้ง่าย ๆ

ดังนั้น เราเลยนำเกร็ดความรู้เรื่องอาหาร ที่จะช่วยทั้งป้องกัน และบำบัดอาการหวัดมาบอก

1 ซุปไก่น้ำแกงชั้นยอด

อาหารง่าย ๆ ที่เรียกได้ว่าเป็น "เพนนิซิลินธรรมชาติ" และถือเป็นท็อปลิสต์ในบรรดาอาหารพิชิตหวัดทั้งหมด ในแง่ที่สามารถบำบัดอาการได้ดีที่สุด ซุปไก่ร้อน ๆ ช่วยให้ทางเดินหายใจสะดวกขึ้น ให้พลังงาน และถ้าเพิ่มผักเข้าไปด้วย โดยเฉพาะหอมใหญ่ กระเทียม ก็จะยิ่งเพิ่มสรรพคุณในการบำบัดอาการมากยิ่งขึ้นค่ะ

2 อาหารเผ็ดซี้ด


อาหารจัดจ้านแบบนี้หล่ะ ช่วยให้จมูกโล่งหายใจสะดวกดีนัก เมนูแนะนำต้องนี่เลย ต้มยำ เพราะมีนานาสมุนไพร ที่นอกจากแก้หวัดแล้ว ยังช่วยขับลม และย่อยอาหาร หรือจะเป็นเปปเปอร์มินต์ซุป หรือจริง ๆ ก็ต้มจืดใบสาระแหน่ สูตรนี้ไม่ยาก เหมือนแกงจืดตำลึงทุกอย่างค่ะ แค่เปลี่ยนจากใบตำลึงเป็นสาระแหน่เท่านั้น เหมาะกับคนที่มีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวกมาก ๆ

3 กระเทียมไร้เทียมทาน

ช่วยขับเสมหะ และมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบ และในกระเทียมมีสารตัวหนึ่ง ชื่อ alliin เชื่อกันว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่จะมาทำร้ายเซลล์ ช่วงนี้คุณอาจเพิ่มปริมาณกระเทียม ที่ใส่ในอาหารให้มากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย แต่มีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรกินกระเทียมขณะที่ท้องว่าง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะได้

4 น้ำ

เป็นช่วงที่คุณต้องเติมน้ำให้กับร่างกายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์ น้ำผลไม้สด ๆ 100% น้ำอัดลม หรือจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้สด ได้ทั้งนั้น แต่ที่ดีที่สุดก็ต้องน้ำเปล่า สำหรับบางคนการได้ดื่มอะไรร้อน ๆ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ก็อาจเลือกเป็น ชาสมุนไพร เช่น ชาคาร์โมมายล์ ชาเปปเปอร์มินต์ หรือจะจิบน้ำอุ่น ๆ โรยด้วยมะนาวฝานก็ช่วยได้ดีทีเดียวค่ะ

5 ขุนพลตระกูลส้ม

ช่วงเป็นหวัดร่างกายจะต้องการวิตามินซีมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นคนที่สูบบุหรี่ ซึ่งมีโอกาสเป็นหวัดง่ายกว่าคนไม่สูบ ร่างกายก็จะต้องการวิตามินป้องกันมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น พยายามกินส้มหรือผลไม้ตระกูลส้มให้มาก ไม่ว่าจะกินผลสดเป็นของหวานปิดท้ายมื้ออาหาร หรือจะเป็นน้ำส้มคั้นในมื้อเช้า ก็แล้วแต่ความชอบความสะดวก แต่ผลไม้ยิ่งสดเท่าไหร่ยิ่งเป็นวิตามินซีคุณภาพกับร่างกายมากเท่านั้น

6 นานาวิตามินซี

ไม่ใช่แค่ผลไม้ตระกูลส้มเท่านั้น ที่มีวิตามินซีสูง ผลไม้ชนิดอื่นก็สามารถร่วมด้วยช่วยกันเป็นกองกำลังช่วยร่างกายต่อสู้กับ อาการจากหวัดได้ เช่น สับปะรด สตรอว์เบอรี่ ฝรั่ง หรือแม้แต่มันฝรั่ง พริกไทยสด ก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน

7 ขิงแก่แต่สด

ขิงสด ๆ ช่วยรักษาอาการไอและไข้ได้ แต่คุณอาจเลือกกิน เป็นน้ำเต้าฮวยร้อน ๆ น้ำขิงชงสำเร็จรูป หรือจะลองทำชาขิงดื่มง่าย ๆ แค่รินน้ำร้อน 1 ถ้วยลงบนขิงสดทุบ 2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 5 - 10 นาที

การปฏิบัติตัวให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดของตัวเอง

คนเรามีกรุ๊ปเลือด ที่แตกตางกัน ดังนั้น กรุ๊ปเลือดของแต่ละคน ก็จะสามารถที่จะบ่งบอกถึงพฤติกรรม และการปฏิบัติตัวได้อีกทางหนึ่ง

กรุ๊ปเลือด A สิ่งที่ควรทำฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง

สิ่งที่ควรทำ

  1. ฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง
  2. วางแผนการ ที่จะทำในแต่ละวัน
  3. หาเวลาพักระหว่างวัน ทำงานอย่างน้อย 2 ช่วง ๆ ละ 20 นาที ใช้เวลานั่งคิดไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ
  4. รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ
  5. บริโภคโปรตีนเพิ่มมากขึ้นในมื้อเช้า และลดปริมาณลงในมื้อเย็น
  6. ไม่ควรกิน เมื่อรู้สึกหงุดหงิด
  7. เปลี่ยนมารับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ 6 มื้อ ต่อวัน แทน 3 มื้ออย่างเคย เพราะจำนวนครั้ง ที่ถี่มากขึ้นช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานดีขึ้น
  8. หาเวลาสักครึ่งชั่วโมง ฝึกจิตใจให้สงบสัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  9. หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ
  10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

กินอย่างไร

คนที่มีกรุ๊ปเลือด A ควรงดนมสด รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยและชีส เพราะจะทำให้รู้สึกแน่นท้อง เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หันมารับประทานผักใบเขียว และใบเหลืองอย่างฟักทอง แครอท ผักขม บร็อคโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูง และช่วยป้องกันโรคมะเร็งด้วย

ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้ จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรด ในกระเพาะอาหาร ที่จำเป็นต่อการย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์

ดื่มชาเขียวเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ ควรจำกัดน้ำตาล คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

อาหารเช้าควรอุดมด้วยโปรตีน สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A อาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญที่สุด และไม่ควรอดอาหาร เพราะจะก่อให้เกิดความเครียดได้ ออกกำลังกาย

คนกรุ๊ปเลือด A จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดสูงมาก เนื่องจากร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาในปริมาณสูง แต่ฮอร์โมนดังกล่าวสามารถลดลง ถ้าได้ทำกิจกรรมที่ร่างกายต้องจดจ่ออยู่กับ สิ่ง ๆ หนึ่ง อย่างโยคะ ไทชิ หรือฝึกสมาธิกำหนดลมหายใจ

จัดการกับอารมณ์
  • ระบายความรู้สึกออกมา ถ้าต้องการอย่าเก็บกดเอาไว้
  • ก่อนจะเริ่มกิจกรรมหรืองานอื่น ต้องจัดการสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จ
  • เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ การผัดวันประกันพรุ่งจะทำให้เกิดความเครียดได้
  • ใน 1 เดือน หาเวลา 1 วัน อยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง
  • หากออกกำลังกาย อย่าหักโหม ต้องหยุดพักก่อนถึงขีดจำกัดของร่างกาย

กรุ๊ปเลือด B

สิ่งที่ควรทำ
  1. สำหรับคนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้จิตนาการเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ที่จะพาไปสู่ความสำเร็จได้ในยามว่าง ควรฝึกใช้จินตนาการเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย
  2. สังสรรค์สมาคมกับเพื่อน ๆ คนรอบข้าง หรือร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น สิ่งนี้จะเป็นโอกาสช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในกลุ่มให้กับคุณ
  3. จงทำตัวให้เป็นธรรมชาติ

กินอย่างไร

ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด B ควรบริโภคเนื้อสัตว์ ที่ปลอดสารปรุงแต่งเจือปนและไม่ติดมัน หลาย ๆ ครั้งใน 1 สัปดาห์ เพราะคนหมู่เลือดนี้สามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดี

ไม่ควรบริโภคอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่ แต่นมและผลิตภัณฑ์จากนม กลับเหมาะสำหรับคนกรุ๊ปเลือด B เป็นอย่างมาก ออกกำลังกาย ผู้มีกรุ๊ปเลือด B ควรออกกำลังกายประเภทท้าทายร่างกายและจิตใจ

กิจกรรมที่เหมาะต้องเป็นประเภทที่ใช้สมาธิควบคู่กับการออกแรงมาก เช่น เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล และกอล์ฟ

จัดการกับอารมณ์

คนกรุ๊ปเลือด B เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ก็จะสามารถขจัดความเครียด และความวิตกกังวลลงได้ แต่เมื่อใดที่ไม่อยู่ในสภาวะสมดุล ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้น และทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัส เกิดอาการเหนื่อยล้าเป็นเวลานาน จิตใจมัวหมอง และภูมิคุ้มกันบกพร่อง สิ่งที่ต้องทำ คือ ลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่ร่างกายหลั่งออกมา เพื่อตอบสนองต่อสภาวะเครียด ด้วยการทำสมาธิและการใช้จินตนาการ หากิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดสมาธิ ซึ่งไทชิจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นอกจากช่วยลดความเครียดแล้ว ยังลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกผ่อนคลายช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น และอาจฟังดนตรี แนวที่ช่วยลดความเครียด หรือเพลงที่ทำให้เกิดจินตนาการ


กรุ๊ปเลือด AB

สิ่งที่ควรทำ
  1. ฝึกฝนนิสัยเป็นมิตรของคุณ โดยเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ ที่มีการแข่งขันสูง
  2. เลิกหมกมุ่นกับปัญหา ที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่ได้มีผลกระทบต่อคุณ
  3. ฝึกใช้จินตนาการเป็นประจำทุกวัน
  4. มีแผนการที่ชัดเจน เกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน สัปดาห์ หรือต่อวัน
  5. ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต อย่าพยายามจัดการกับทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน

กินอย่างไร

ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์สีแดง และไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ เนื่องจากร่างกายมีกรดไฮโดรคลอริก ในกระเพาะอาหาร และน้ำย่อยในลำไส้มีปริมาณน้อย ทำให้ย่อยอาหารได้ยาก เปลี่ยนมาบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทน

อาหารที่ควรเลี่ยง สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A และ B ก็ควรจะเลี่ยงในผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ด้วยกัน เช่น ไม่ควรบริโภค คาเฟอีน และแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ร่างกาย หลั่งสารอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน ซึ่งคนกรุ๊ปเลือด AB มีมากอยู่แล้ว ไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

ออกกำลังกาย

ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ควรทำกิจกรรมทั้งประเภท ที่ก่อให้เกิดความสงบนิ่ง และใช้แรงมาก เช่น โยคะและ การเต้นแอโรบิค

จัดการกับอารมณ์
  1. วางแผนล่วงหน้า ว่าจะทำอะไรเพื่อช่วยลดเหตุการณ์ ที่ไม่คาดฝัน และไม่ให้เกิดความเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก
  2. หยุดพักในวันทำงาน ด้วยการทำกิจกรรม ที่มีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะถ้างานของคุณ ต้องนั่งอยู่กับที่ เพราะจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
  3. ปลีกเวลาไปตอบแทนสังคมบ้าง เพราะคนกรุ๊ปเลือดนี้มีพื้นฐาน เป็นคนใจบุญสุนทาน และเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก ซึ่งอาจใช้วิธีบริจาคเงิน หรือสิ่งของให้แก่ผู้ยากไร้

กรุ๊ปเลือด O

สิ่งที่ควรทำ
  1. มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมาย ที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน สัปดาห์ หรือต่อวัน
  2. หลีกเลี่ยงการตัดสินใจ ในเรื่องใหญ่ ๆ และอย่าใช้เงิน เมื่อเกิดความรู้สึกเครียด
  3. หากรู้สึกเครียด หรือหงุดหงิด พยายามทำให้ร่างกาย เกิดความเคลื่อนไหว
  4. เมื่อเกิดความอยากเหล้า บุหรี่ น้ำตาล และยานอนหลับ สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสาร ที่ทำให้เกิดความสุขในระยะแรกเท่านั้น ควรหากิจกรรมอย่างอื่นแทน

กินอย่างไร

อาหารประเภทโปรตีน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O ควรรับประทานเนื้อสัตว์ต่าง ๆให้มาก ยกเว้น หมู นม และผลิตภัณฑ์จากนม ให้บริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายจะย่อยได้ยาก จำกัดปริมาณการบริโภค ถั่ว รับประทานผักผลไม้ให้มาก และเปลี่ยนมาดื่มชาเขียว แทนกาแฟ

ออกกำลังกาย

คนที่มี กรุ๊ปเลือด O ที่ออกกำลังสม่ำเสมอ จะมีการตอบสนองต่ออารมณ์ดียิ่งขึ้น การเต้นแอโรบิค วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ครั้งละ 30 - 45 นาที ประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้เกิดสภาวะสมดุลของอารมณ์

จัดการกับอารมณ์
  • กำหนดแผนการ ว่าจะทำอะไรเพื่อลดความซ้ำซากจำเจ เพราะเมื่อคน กรุ๊ปเลือด O รู้สึกเบื่อพวกเขามักทำอะไรเสี่ยง ๆ
  • ฝึกรับมือกับความโกรธ ด้วยวิธีการดังนี้ เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธ ไปเดินเล่นสักพัก ดื่มน้ำ ออกกำลัง หรือเขียนระบายความรู้สึกออกมา รอจนกว่าจะหายโกรธแล้วค่อยกลับมาจัดการกับปัญหา อีกวิธีคือ เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา บ่อยครั้งความโกรธ มีสาเหตุมาจากการเสียความสามารถ ในการควบคุม
  • เมื่อคุณเลือกที่จะแก้ปัญหามากกว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมา ก็จะสามารถควบคุมระดับความเครียดในร่างกายให้คงที่ได้

Thursday, September 17, 2009

สารกันบูดใน "ก๋วยเตี๋ยว"

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณ วันนี้ “ก๋วยเตี๋ยว” คืออาหารจานโปรดของคนมากมาย เพราะทั้งกินง่าย ปรุงรสได้ดั่งใจ ราคาไม่แพง พื้นฐานทางโภชนาการของก๋วยเตี๋ยวแต่ละชามนั้นถือว่าสอบผ่าน เพราะมีครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งแป้ง โปรตีน และผักประกอบ ยิ่งเป็นชามที่ใส่ถั่วงอก ตำลึง โหระพา ผักกาด โรยด้วย ต้นหอม ผักชี ยิ่งวิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอาหารที่ปรุงร้อน ๆ ทีละชาม จึงช่วยลดควมเสี่ยงต่อเชื้อโรคได้มาก

ฉะนั้น คนรักก๋วยเตี๋ยวจึงจัดว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์อย่างแท้จริง เพราะอาหารชามนี้ให้ทั้งความโอชา และอนามัยครบในชามเดียว

แต่ช้าก่อน...

ไม่ช้าไม่นานมานี้มีข่าวเตือนภัยคอก๋วยเตี๋ยวจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี ที่ลงมือทำวิจัยชิ้นสำคัญเรื่อง “ความปลอดภัยในเส้นก๋วยเตี๋ยว ในเขตภาคอีสาน” และพบเงื่อนปมเกี่ยวกับปัญหาสารปนเปื้อน ในเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าอย่างจัง ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคควรรู้ และให้ความสนใจ เพื่อป้องกันภัยแก่ตนเองยามสั่งก๋วยเตี๋ยวแต่ละชามมาชิม

สารกันบูดในเส้นก๋วยเตี๋ยว

ก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็น “เส้นสด” ที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงเติม “สารกันบูด” หรือ “สารกันเสีย” ลงไปเพื่อช่วยยืดระยะเวลาการจำหน่าย โดยสารกันบูดที่นิยมมาก คือ กรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก ซึ่งเป็นสารที่หากร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานาน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับ และไตลดลง

คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แต่ผลจากการตรวจวิเคราะห์ ตัวอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยวใน 4 จังหวัดภาคอีสาน คือ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร และศรีสะเกษ พบผลที่น่าตระหนก เพราะเส้นก๋วยเตี๋ยวทุกประเภทที่เก็บมาตรวจวิเคราะห์ ล้วนแต่พบปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐานถึง 4 เท่าตัวขึ้นไป ดังนี้
  • “เส้นเล็ก” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 17,250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • “เส้นหมี่” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 7,825 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • “เส้นก๋วยจั๊บ” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 7,358 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • “บะหมี่โซบะ” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 4,593 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
  • “เส้นใหญ่” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 4,230 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

“จากผลการวิจัยดังกล่าว ทำให้ความเชื่อเดิมที่คิดว่า เส้นหมี่ ซึ่งมีลักษณะแห้ง น่าจะมีวัตถุกันเสียน้อย และน่าจะพบในเส้นใหญ่ ซึ่งมีความชื้นสูงนั้น แต่ข้อเท็จจริงเส้นใหญ่กลับเป็นรองเส้นเล็ก แต่ที่น่ายินดีคือ "เส้นบะหมี่เหลือง" และ "วุ้นเส้น" เป็นเส้นที่ไม่พบปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐานเลย เพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นชนิดอื่น ๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้า ที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสียอย่างหนัก”

แม้การตรวจวิเคราะห์ในครั้งนี้จะทำเฉพาะเขตภาคอีสาน แต่คาดว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวทั้งประเทศน่าจะมีปัญหาไม่ต่างกัน

เมื่อคิดค่าเฉลี่ยน้ำหนักผู้บริโภคคนไทย คือ 50 กิโลกรัม ดังนั้น ปริมาณสูงสุดที่ควรบริโภคคือไม่เกิน 250 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งการกินก๋วยเตี๋ยว 1 มื้อ จะมีเส้นประมาณ 50-100 กรัม เท่ากับว่าผู้บริโภคจะได้รับกรดเบนโซอิกอีกประมาณ 226-451 มิลลิกรัม ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว และเมื่อรวมกับปริมาณวัตถุกันเสียในอาหารอื่น ๆ ที่กินในแต่ละวัน เท่ากับว่า ผู้บริโภคจะได้รับสารนี้จำนวนมาก

นอกจากนี้สารกันบูดในก๋วยเตี๋ยวไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า อีกทั้งรสชาติของเส้นที่ใส่สารกันบูด กับเส้นที่ไม่ใส่ ไม่มีความแตกต่างกัน และการลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยน้ำเดือด ก็ไม่สามารถทำลายสารกันบูดได้ เพราะผสมเป็นเนื้อเดียวกับเส้นไปแล้ว

อย. มีข้อแนะนำให้สังเกตเมื่อกินก๋วยเตี๋ยวว่า ที่กินนั้นมีสารกันบูดหรือไม่ โดย...
  1. ถ้าใส่สารเคมีเส้นก๋วยเตี๋ยวจะ “เหนียวหนึบ” กัดไม่ค่อยขาดจากกัน อีกทั้งเส้นที่ใส่สารกันบูดเมื่อนำลวกในหม้อ สังเกตว่าน้ำที่ลวกจะ “ขุ่น”
  2. เส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ หรือเส้นสดที่ใส่สารกันบูด ทิ้งไว้ 2-3 วัน สีสันจะคงเดิม แต่หากมาดมกลิ่นจะ “เหม็นเปรี้ยว” ผิดกับเส้นที่ไม่ใส่สารกันบูด หากทิ้งไว้เพียงคืนเดียว เส้นก็ขึ้นราและบูด


ที่มา
ภก.วรวิทย์ กิตติวงสุนทร ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี

สัญญาณร้าย (ของร่างกาย) ไม่ใช่คำขู่

โรคร้ายและโรคแปลกที่เกิดขึ้นมาให้เราผวากัน ที่จริงก็ไม่ใช่จู่โจมเราไม่ให้สุ้มเสียง หากแต่เป็นเพราะ เราปล่อยตัวให้เป็นรังรับเชื้อเองต่างหาก
ก่อนจะเกิดเหตุใหญ่ใดขึ้นมา ย่อมมีสัญญาณเตือนขึ้นมาก่อน เป็นต้นว่า ก่อนเกิดสึนามิก็ต้องมีปลาน้ำลึกหนีตายขึ้นมาเกยตื้นกัน หรืออย่างเวลาใกล้จะดับ จิตใบหน้าจะผุดผ่องเป็นยองใย ดังที่โบราณเรียกว่า “หน้าขึ้นนวล” หรือบางท่านที่ป่วยหนัก ก็อาจจู่เกิดมีแรงกำลังขึ้นมานั่งกินนั่งพูดกันได้อีก ก่อนจะทรุดหนักลงในวันในพรุ่งแล้วก็ลาโลกไป

ในส่วนของโรคร้าย และโรคแปลก ที่เกิดขึ้นมาให้เราผวากันอย่างตอนนี้ก็เหมือนกัน ที่จริงก็ไม่ใช่มันจู่โจมเราไม่ให้สุ้มเสียง หากแต่เป็นเพราะเราปล่อยตัวให้เป็นรังรับเชื้อเองต่างหาก พอร่วมกับการตรวจทันสมัย ที่จับเชื้อโรคได้อยู่หมัดเป็นตัว ๆ นี้ เลยทำให้ดูเหมือนว่ามีเชื้อน่ากลัวมาแอบซุ่มทำร้ายเราอยู่รอบตัว ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ดังนั้นเลย

ก่อนเกิดโรคร้ายในกายเรา มันมักจะฟักตัวเริงร่าอยู่ในตัวเรามาพักหนึ่งแล้วครับ ไม่ใช่ว่าจะอยู่ดี ๆ ผุดขึ้นมาเหมือนผีจับยัดได้ ดังตัวอย่างที่เห็นชัด คือ โรคมะเร็ง กว่าที่จะมาโตใหญ่เป็นก้อนคลำได้นี่ มันต้องผลัดลูกสร้างหลานมาแล้วนับล้าน ๆ ตัว จนวิ่งวุ่นเข้าไปในเส้นเลือดเราได้ แล้วจึงได้โผล่เป็นก้อนใหญ่ขึ้นมาให้ได้เห็น

จึงสังเกตได้ว่า เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งตอนเห็นก้อน มันก็มักจะลามไปไหนต่อไหนแล้ว ที่จริงมันก็ให้สัญญาณเรามาก่อนไม่น้อยนะครับ แต่บางทีเราถูกงานรัดตัว หรือขอผลัดไม่สนใจไว้สักชั่วขณะหนึ่ง แต่เพียงไม่นานมันก็อาจเติบใหญ่จนเกินควบคุมได้

สัญญาณเตือนภัยนี้ ท่านสามารถใช้สังเกตตัวเองก็ได้ หรือคนรอบข้างก็ได้ไม่ยากเลยครับ
  1. เบื่ออาหาร
  2. ผอมลงผิดปกติ (น้ำหนักตัวลดมากกว่า 2 กิโลกรัมต่อเดือน)
  3. หงุดหงิดง่าย อารมณ์ปรวน
  4. ปวดเมื่อยตัวน่ารำคาญ
  5. มึนศีรษะแบบไม่สดชื่น
  6. มีไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ
  7. หน้าตา หู ดูแดงก่ำฉ่ำ ราวกับมีความร้อนระอุอยู่ภายใน

สรุปง่าย ๆ ว่าถ้าจู่ ๆ มีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดขึ้น ไม่ว่าจะทางกายหรือแม้แต่อารมณ์จิตใจก็ตามที แสดงว่าต้องมี “เหตุ” ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องหา “ผู้ร้าย” รายให้เจอโดยเร็ว อย่าปล่อยให้ซ่องสุมผู้คนมาตีท้ายครัวเรา แล้วท้ายสุดก็ยากสุดเกินที่จะแก้

นอกจากนั้น การแก้ปัญหาเมื่อเกิดโรคร้ายขึ้นทุกครั้ง หาใช่การวิ่งโร่ไปหา โรงพยาบาลไม่ เพราะบางทีสถานพยาบาลก็เป็นแหล่งรวม “ดาวร้าย” หลายโรคกว่าที่เรานึกถึงนัก ถ้าเราพากายที่กะปรกกะเปลี้ยอ่อนแอเหลือหลายไปหา อาจเท่ากับพาตัวไปเป็นบ้านหลังใหม่ให้เชื้อเข้ามาเกาะ

ขอให้รู้เถิดครับ ว่านอกจากตัวเราเป็นหมอที่ดีที่สุดให้ตัวเองได้แล้ว บ้านที่รักของเราก็ยังเป็นโฮมสวีทโฮม สำหรับการรักษาอาการเจ็บป่วยได้ดีกว่าโรงพยาบาลไหน ๆ อีกด้วย

ดังนั้น ต่อไปยามป่วยไข้หรือคนใกล้ตัวไม่สบาย ขอให้มั่นใจในศักยภาพของตัว เรานะครับที่เขาจะต้องทำหน้าที่ของเขาแน่เหมือนที่ลอร์ดเนลสันเคยบอกลูกประดู่อังกฤษก่อนเข้าทำยุทธนาวีกับนโปเลียนว่า “England confides that every men will do his duty” ที่เหลือก็คือ หน้าที่ของท่านในการคอยเฝ้า

“ทำหน้าที่” สังเกตตัวเองเช่นกัน

ขอท่านที่รักเพียงแค่ “ตื่นตัว” แต่ไม่ต้อง “ตื่นกลัว” นะครับ แค่เงี่ยหูฟังแล้วท่านจะได้ยินเสียงกายร้องได้ชัดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ครับ

ที่มา
นพ. กฤษดา ศิรามพุช
พบ. (จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

Wednesday, September 16, 2009

โรคลำไส้แปรปรวน

ท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ ขับถ่ายไม่เป็นปกติ เดี๋ยวก็ท้องผูก เดี๋ยวก็ท้องเสีย
เฮ้อ..! จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานไหม?...

อาการข้างต้นเข้าข่ายโรคที่เรียกว่า " โรคลำไส้แปรปรวน " (Irritable Bowel Syndrome : IBS) เป็นโรคของลำไส้ ที่ทำงานผิดปกติ แต่พอตรวจดูกลับไม่พบความผิดปกติใด ๆ ที่ลำไส้ ไม่ว่าจะทำการส่องกล้องตรวจลำไส้ หรือตรวจเลือดผิดปกติ เป็นต้น

โรคนี้เป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่งในระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยโดยทั่วไปมักจะมีประวัติเป็นมานาน บางรายอาจมีอาการเป็นปี และมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เป็นโรคที่สร้างความรำคาญ และความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วย ผู้ป่วยจะวิตกกังวลว่า ทำไมโรคไม่หายแม้ได้ยารักษา ทำให้มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รบกวนการดำเนินชีวิต และอาจทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ และพบว่าโรคลำไส้แปรปรวนมักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในอัตราส่วนเพศหญิงต่อเพศชายประมาณ 2 : 1

อาการ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน มักจะมีอาการปวดท้อง อาจปวดตรงกลางหรือปวดบริเวณท้องน้อย โดยทั่วไปจะปวดท้องน้อยด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา ลักษณะอาการปวดมักจะปวดแบบเกร็ง มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด อาการจะไม่สัมพันธ์กับอาหาร นอกจากนี้จะมีอาการท้องโตขึ้นเหมือนมีลมในท้อง อาจมีอาการเรอหรือผายลมมากขึ้น และมีอาการถ่ายไม่ปกติ บางรายมีอาการท้องผูก บางรายท้องเสีย หรือในบางรายอาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเสียก็ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด หรือมีอาการปวดเบ่ง แต่เมื่อถ่ายอุจจาระแล้วอาการดีขึ้น มักมีอุจจาระเป็นมูกร่วมด้วยได้ อาการต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็น ๆ หาย ๆ มีอาการมากน้อยสลับกันได้ จะมีอาการเกิน 3 เดือน ในระยะเวลา 1 ปี

ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอนของโรคลำไส้แปรปรวน แต่จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ มี 3 อย่างที่สำคัญได้แก่

  • "การบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ" เป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนที่ผิดปกติบางอย่างในผนังลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสียได้
  • "ระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นมากผิดปกติ" ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการได้แก่ อาหารเผ็ด กาแฟ แอลกอฮอล์ทุกชนิด ช็อกโกแลต เป็นต้น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ได้แก่ ความเครียด ความวิตกกังวล เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นก็ทำให้ผนังลำไส้บีบตัวผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสียได้
  • "ความผิดปกติในการควบคุมการทำงานของลำไส้" ระหว่างประสาทรับความรู้สึกที่ผนังลำไส้ ระบบกล้ามเนื้อของลำไส้และสมอง โดยเกิดจากความผิดปกติของสารที่ควบคุมการทำงานของลำไส้ ซึ่งมีอยู่หลายชนิด

ปัจจุบันยังไม่มียาชนิดใด ที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้มักจะมีอาการหลายอย่างร่วมกัน ยาที่ใช้มักจะทำให้อาการบางอย่างดีขึ้นเท่านั้น การรักษาด้วยยา แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาในการให้ยาที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย แต่การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยจะช่วยให้อาการของโรคนี้ดีขึ้นได้

ข้อควรปฏิบัติ
  • ควรรับประทานอาหารช้า ๆ และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากไขมันจะเป็นตัวกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ หากผู้ป่วยมีอาการท้องผูกร่วมด้วย ควรเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารให้มากขึ้น
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอและฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา
  • หลีกเลี่ยงการดื่มนมในผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนชนิดท้องเสีย
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น อาทิ กาแฟ อาหารหวานจัด ผลไม้รสเปรี้ยวบางชนิด อาหารรสเผ็ด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และน้ำอัดลม เป็นต้น
  • หากผู้ป่วยมีภาวะเครียดร่วมด้วย ควรหาทางผ่อนคลาย หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจจำเป็นต้องพบจิตแพทย์ สำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาทางจิตใจค่อนข้างมาก

ที่มา
โรงพยาบาลเวชธานี

จัดห้องนอนให้ปลอดจากโรคภัย

นอนอย่างไรก็ไม่รู้สึกสบายสักที!!
ลองหันมาสำรวจ " ห้องนอน " คุณดูสิว่า เป็นห้องนอนปลอดมลพิษหรือยัง


ผู้ที่เป็นหวัดบ่อย ๆ นั้น บางครั้งมาจากสาเหตุของการแพ้สารที่ปะปนอยู่ในอากาศ ทำให้มีอาการคล้ายหวัดเรื้อรัง หรือที่เรียกว่า "โรคหวัดจากภูมิแพ้" หรือ "โรคแพ้อากาศ" ซึ่งโรคนี้มีอัตราการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จนติดอันดับโรคยอดนิยมเลยทีเดียว

ในวงการแพทย์ในปัจจุบัน จึงได้ให้ความสนใจกับการจัดแต่งบ้าน และห้องนอนมากขึ้น เนื่องจากเป็นส่วนที่เราสัมผัสอยู่เป็นประจำ ซึ่งแพทย์ได้แนะนำว่า ห้องนอนควรจะจัดแต่งด้วยเครื่องประดับ ที่กอปรด้วยสารก่อภูมิแพ้ให้น้อยที่สุด และพยายามรักษาจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ สารที่ก่อภูมิแพ้ ได้แก่ ฝุ่นละอองและ ตัวไรที่ติดมากับฝุ่นในบ้าน ขนสัตว์ และเชื้อเรา เป็นต้น

ดังนั้น " ห้องนอน " นอกจากจะแลดูสวยงามสดชื่นตามสไตล์ที่ชอบแล้ว ยังต้องพิถีพิถันในการเลือกสรรวัสดุ และเครื่องเรือนสำหรับการตกแต่งอีกด้วย

เตียงนอนและเครื่องนอน
ควรเลือกเตียงนอนแบบไม่มีขาเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไปขังใต้เตียง และที่นอนก็ควรเลือกวัสดุที่ไม่เป็นฝุ่นฟุ้ง ได้แก่ ที่นอนทำด้วย ฟองน้ำ ยาง หรือที่นอนสปริง โดยมีผ้าหุ้มมิดชิด ส่วนผ้าปูที่นอนควรทำด้วยผ้าฝ้าย เพื่อหลีกเลี่ยงสารที่ก่อเกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง และควรเปลี่ยนผ้าปูอย่างน้อย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ส่วนหมอนนั้น ถ้าทำด้วยใยสังเคราะห์ก็จะเป็นการดีทีเดียว เนื่องจาก นำมาซักทำความสะอาดได้ ส่วนของผ้าห่มก็เช่นกันควรจะเลือกที่เป็นใยสังเคราะห์

เครื่องประดับในห้องนอน
ควรมีน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นที่เก็บกักฝุ่นและตัวไร เช่น ตุ๊กตาขนฟู หมอนประดับที่ไม่จำเป็น ส่วนเก็บหนังสือและส่วนแต่งตัว ควรแยกเป็นสัดส่วน เสื้อผ้าเก็บไว้ในตู้ให้เรียบร้อย บริเวณที่แต่งหน้าผัดแป้งใส่น้ำหอม ควรมีฉากปรับเลื่อนกั้นออกจากส่วนนอน หรือจะออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของห้องน้ำก็ได้

พื้นห้องนอน ควรปูด้วยไวนีลหรือพื้นไม้ ไม่ควรปูพรม

ผ้าม่าน เลือกผ้าที่ฝุ่นสะสมยาก และแบบที่ไม่เป็นจีบซับซ้อน หรือเลือกมู่ลี่ที่ถอดทำความสะอาดได้ง่าย

หน้าต่างและการระบายอากาศ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศหมุนเวียน และเปิดม่านออก ให้ห้องนอนได้รับแสงแดดพอสมควร เพราะห้องนอนควรมีอากาศที่สดชื่น ปราศจากกลิ่นควันของบุหรี่ หรือควันธูป หรือน้ำหอมต่าง ๆ รวมทั้งกลิ่นอาหาร การติดเครื่องกรองอากาศควบคู่กับเครื่องปรับอากาศ ก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้แล้วแต่กรณี

การรักษาห้องนอนให้ปลอดมลพิษ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสร้างเสริมพลานามัย ซึ่งจะต้องควบคู่กับการสร้างเสริมจิตใจที่แจ่มใส หากคุณจะเสริมแต่งผนังให้ดูสดชื่นด้วยภาพเขียนสักภาพละก็ ลงมือจัดการได้ทันที ก่อนจะเกิดโรคเครียดขึ้นมาอีกโรคหนึ่ง....

เด็ก กับ ของหวาน

เด็ก ๆ กับ " ของหวาน " นี่เป็นสองสิ่งที่แยกกันไม่ได้เลย ความหวานทำให้เกิดความสดชื่น จนบางคนถือว่า การได้กินของหวานทำให้แจ่มใส มีความสุข แต่อาจเกิดอาการติดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่น่ามีอะไรที่เป็นปัญหามาก แต่ตามหลักทางพุทธของเราอะไร ๆ ที่มากเกินพอดี ก็มักมีปัญหาทั้งนั้น

เรื่องของหวาน ๆ นี่ตามธรรมชาติ ก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สำหรับเด็ก และทุกคน เนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีรสหวาน จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมา ในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่า แม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมาก ถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว

ปัญหาก็คือ เมื่อกินของที่มีรสหวาน ก็จะเกิดความอยากบ่อยขึ้น และจะเกิดอาการติดใจ เลยกินไม่เลิก ตอนนี้แหละครับลำบาก ในเด็ก ๆ นี่เร็วมากครับ พอได้ลิ้มชิมรสหวานแล้วละก็ ไม่เอาแล้วของรสจืด เลิกกินกันไปเลย ปัญหาก็คือของที่เราป้อนไม่ว่าจะเป็นข้าว นม ก็เป็นของจืดทั้งนั้น เด็กก็เลยพาลไม่ยอมกินกันเลย จะกินแต่ของหวาน นาน ๆ เข้าก็เลยต้องใส่น้ำตาลในอาหารทุกอย่าง หรือแม้แต่นมก็ต้องมีรสหวาน

เมื่อเด็กกินของหวานเข้าไปแล้ว โดยทั่วไปผู้ใหญ่มักจะคิดว่า เด็กจะกินได้มากขึ้น แต่ในเด็กที่ผอมและกินอาหารยากกลับทำให้กินอย่างอื่นไม่ลง เนื่องจากในเด็กที่ผอมระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น จะไปทำให้ระดับฮอร์โมน อินซูลินสูงขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่สองอย่าง คือ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เนื่องจากน้ำตาลถูกนำไปใช้ และหน้าที่อีกอย่าง ก็คือไปกดความต้องการอาหารในเด็ก และในทางตรงกันข้าม ในเด็กที่อ้วนกลับกินไม่พอ ในตัวเด็กอ้วนนั้น ระดับอินซูลินไม่สามารถระงับความต้องการอาหารได้ ก็เลยกินเอา กินเอา ไม่ยอมหยุดด้วย ความเอร็ดอร่อย

ทีนี้ที่ เราคิดว่าจะแก้ปัญหาให้กินได้มากขึ้นในเด็กผอม ก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหาไป นอกจากนี้ น้ำตาลหวาน ๆ พวกนี้ก็ยังสร้างปัญหาโลกแตกให้คุณหมอฟันมาก ลองคิดดูว่า ถ้าเด็กเล็ก ๆ โดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบนี่ เวลาจะแปรงฟันทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าติดนมหวาน ขนมหวาน แถมติดขวดนมอีก แย่แน่ ๆ เพราะจะต้องฟันผุแน่นอนครับ ปัญหาเป็นปัญหาใหญ่มาก จนทำให้ที่ประเทศสิงคโปร์โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กเลิกของหวานกันเลย แถมในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่า อาจไม่ให้ขายน้ำโค้ก แสดงว่าเขาเอาจริงครับ แต่ในประเทศเราท่าทางจะยาก เนื่องจากความเข้าใจเรื่องนี้มีน้อย ขนาดนมในโรงเรียนยังเป็นนมหวานเลยครับ แต่ก็เป็นที่น่ายินดี ที่มีข่าวว่า อีกไม่นานนมโรงเรียนจะเปลี่ยนเป็นนมจืดทั้งหมดแล้ว

"ความหวาน" เคยมีคนพิสูจน์มาแล้วว่า ทำให้เด็กค่อนข้างซุกซนผิดปกติ แถมยังไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียน ถึงแม้ว่าการศึกษาระยะหลัง ๆ ไม่ค่อยสนับสนุนนัก แต่ก็มีคนที่ค่อนข้างเชื่อว่า สมาธิกับของหวานน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ก็คงต้องรองานวิจัยที่แน่ชัดต่อไป

ที่แน่ ๆ ก็คือ ความหวานมีส่วนทำให้เด็กที่อ้วนอยู่แล้ว อ้วนมากขึ้น และอ้วนง่าย เนื่องจากความหวานมีรสอร่อย เด็กก็เลยกินมากเป็นธรรมดา ยิ่งอร่อยยิ่งอยากกิน จนในที่สุดก็อ้วนฉุ

บางคนถามว่าน้ำตาลอ้วนได้ยังไง ก็ขอเล่าแจ้งแถลงไปให้ทราบกันเลยว่า "น้ำตาลนี่เปลี่ยนไปเป็นไขมันได้ " พออ้วนมาก ๆ เข้า ก็ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

มีคนมักถามว่าผลไม้หวาน ๆ ล่ะ?........ กินได้มั้ย???

คำตอบก็คือว่า ความจริง ถ้ากินผลไม้กันเป็นผล ๆ และกินไม่มากจนเกินไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะผลไม้ที่กินทั้งผลมักจะได้กากใยด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อลำไส้ และการขับถ่าย แถมทำให้การดูดซึมไม่เร็วไปนัก แต่คนเดี๋ยวนี้ขี้เกียจเคี้ยวกัน จะกินผลไม้ก็ต้องกินแต่น้ำ จะกินผักก็กินแต่น้ำผัก ผมว่าท่าทางจะขี้เกียจเคี้ยวมากไปหน่อย ก็เลยทำให้อดกินของดี ๆ อีกหลายอย่าง ที่มีในผักและผลไม้ เดี๋ยวนี้เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกากมีขายกันเกร่อ ทำให้กินกันแต่น้ำผลไม้ ไม่กินกากกันเลย ความจริงกากผลไม้นั่นแหละ คือ "ของดี" ส่วนน้ำผลไม้นั่นไม่เท่าไหร่ มีวิตามินนิดหน่อยกับน้ำตาลก็เท่านั้นเอง ถ้ากินมาก ๆ ไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะครับ บางคนกินน้ำผลไม้วันละเป็นลิตร ๆ เลยได้น้ำตาลไปมากเกินควร ก็อ้วนได้นะครับ

ความจริงถึงแม้ว่าของหวานกับเด็ก จะเป็นของคู่กันก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กกิน หรือรู้จักขนมหวานมากนัก แต่อาจให้เด็กกินผลไม้และอาหารที่มีรสหวานได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรมากหรือบ่อยเกินไป การกินอาหารที่รสไม่จัดน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อที่ว่าการกินนม ที่มีรสหวานจะทำให้เด็กสามารถกินนม ได้มากขึ้นนั้น ไม่เป็นความจริงอย่างที่คิด แถมยังมีผลเสียมากมาย และที่สำคัญ บางคนให้เด็กกินนมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้กินนมบ้าง แต่ไม่ทันคิดว่านมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ที่ขายตามท้องตลาดนั้นมีเนื้อนมแค่ประมาณครึ่งเดียว แต่มีน้ำตาลค่อนข้างสูงเด็ก ที่กินแล้วเลยพาลไม่กินข้าวไปเลย

Tuesday, September 15, 2009

ขี้หู

เมื่อพูดถึง “ ขี้หู ” คนส่วนใหญ่คงคิดว่ามัน คือ ของเสีย หรือสิ่งสกปรก และสรรหาสารพัดวิธี ที่จะกำจัดขี้หูให้หมดไป เช่น การใช้ไม้แคะหู หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดออก หลายคนเพลิดเพลินกับกิจกรรมการแคะหู มีบริการนี้ในร้านตัดผมเสียด้วยซ้ำ แต่แท้ที่จริงแล้วขี้หูนั้นมีประโยชน์ การกำจัดขี้หูอย่างไม่เหมาะสม กลับกลายเป็นการสร้างปัญหา หรือก่อให้เกิดอันตรายกับหูเสียมากกว่า

"ขี้หู" เกิดขึ้นได้อย่างไร?

โดยปกติแล้ว เซลล์ผิวหนังจะมีกระบวนการสร้างเซลล์ผิว ซึ่งจะเลื่อนขึ้นสู่ชั้นบนของผิวหนังและหลุดลอกออกไปได้เอง เซลล์บุผิวของรูหูชั้นนอกก็มีลักษณะคล้ายกับเซลล์บุผิวหนังทั่วไป แต่จะไม่หลุดลอกออกไปได้เองเหมือนเซลล์ผิวหนัง เซลล์บุผิวในรูหูจะสะสมเป็นแผ่นเป็นชั้น และเป็นองค์ประกอบสำคัญของขี้หู คิดเป็นร้อยละ 60 ของน้ำหนักทั้งหมดของขี้หู นอกจากนี้ขี้หูยังประกอบไปด้วย เอนไซม์ เพปไทด์ กรดไขมัน คอเลสเตอรอล และแอลกอฮอล์ เป็นต้น

ขี้หูถูกหลั่งออกมาตรงบริเวณใกล้ ๆ กับแก้วหู ในระยะแรกขี้หูจะมีลักษณะนุ่ม เหลว ไม่มีสี และไม่มีกลิ่น ต่อมาขี้หูจะค่อย ๆ เคลื่อนที่ออกมาสู่ภายนอก โดยการพัดโบกของเซลล์ขนในรูหู ผสมผสานกับการขยับเคลื่อนที่ของขากรรไกร เช่น เวลาเคี้ยวอาหาร เวลาพูด เวลาหาว ทำให้ขี้หูค่อย ๆ เคลื่อนออกมาทีละน้อย เมื่อขี้หูเคลื่อนที่ออกมาด้านนอก จะทำให้ขี้หูมีลักษณะเปลี่ยนไป โดยมีสีเข้มขึ้น เหนียวข้น และมีกลิ่น

ทำไมขี้หูของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน?

ลักษณะของขี้หูจะแตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากความแตกต่างในองค์ประกอบของไขมัน และสีผิวของขี้หู คนผิวขาว (ชาวยุโรป-ชาวอเมริกัน) และคนผิวดำ (ชาวแอฟริกัน) จะมีขี้หูสีน้ำตาลอ่อนจนถึงเข้ม และมีลักษณะเหนียว ข้น ชื้น ขณะที่คนผิวเหลือง (ชาวเอเชีย และชาวอินเดียนแดง) จะมีขี้หูสีเทาหรือสีแทน และไม่มีลักษณะเหนียว ข้น ชื้น แต่จะเปราะและแห้ง

ประโยชน์ของขี้หู

ขี้หูจะช่วยป้องกันอันตราย ที่อาจจะเกิดกับรูหูชั้นนอก ลักษณะข้นเหนียวของขี้หูจะช่วยเคลือบ และจับสิ่งแปลกปลอม ที่เข้าไปในรูหู เช่น ฝุ่นและแมลง นอกจากนี้ ขี้หูยังมีคุณสมบัติเป็นกรด ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ในรูหูได้

เมื่อมีการขูดขีดหรือฉีกขาดเล็กน้อยในรูหู เช่น แผลที่เกิดจากการแคะหูด้วยวัตถุแปลกปลอมต่าง ๆ ขี้หูที่เคลือบผิวของรูหูจะช่วยบรรเทา และลดการติดเชื้อที่ผิวของรูหูได้ แต่ถ้าขี้หูถูกกำจัดออกไปจนหมด ก็อาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น

ดังนั้น หากแคะหูบ่อย ๆ โปรดระวัง!!
ขี้หูอุดตัน - ติดเชื้อ - แก้วหูทะลุ

เมื่อเราใช้ไม้พันสำลีเช็ดหู เราจะเห็นขี้หูบางส่วนติดปลายไม้พันสำลีออกมาด้วย เราอาจจะคิดว่าได้กำจัดขี้หูออกไปแล้ว แต่ความจริงแล้ว ขี้หูที่ติดมากับปลายไม้พันสำลีนั้น เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ของขี้หูจะถูกไม้พันสำลีดันลึกเข้าไปในรูหูด้านในมากขึ้น ทำให้ขี้หูแข็งมากขึ้น และเกิดการอุดตันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ขี้หูที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จะหลั่งออกมาบริเวณระหว่างขี้หู ที่อุดตันกับแก้ว หู ซึ่งจะยิ่งทำให้ขี้หูอุดตันมากขึ้น

นอกจากนี้ ไม้พันสำลีมักจะทำให้เซลล์ขนในรูหู ซึ่งทำหน้าที่พัดโบกขี้หูออกมาด้านนอก เสียหาย ขี้หูจึงคั่งค้างอยู่ข้างใน และสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การใช้ไม้พันสำลีปั่นรูหูแรง ๆ ยังอาจทำให้ผิวหนังในรูหูถลอกหรือเป็นแผล ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อได้ หากใช้ไม้พันสำลีสอดลึกเกินไป ก็อาจทำให้เยื่อแก้วหูบาดเจ็บหรือทะลุได้

อาการของขี้หูอุดตัน

ขี้หูอุดตันอาจทำให้มีอาการคัน ปวด มึนงง ได้ยินเสียงแว่วในหู ไอ บ้านหมุน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ ขี้หูอุดตันจะส่งผลต่อการได้ยิน แพทย์อาจใช้ยาละลายขี้หู เพื่อช่วยให้ขี้หูอ่อนนุ่มลง และกำจัดได้ง่ายขึ้น

ถึงแม้จะได้ชื่อว่า “ขี้หู” แต่ก็ไม่ใช่สิ่งสกปรกที่ต้องกำจัดแต่อย่างใด เพราะอาจจะไปทำลายสภาพแวดล้อมที่ดีในรูหู การแคะหูโดยใช้วัตถุใด ๆ ก็ตามแหย่เข้าไปในรูหู อาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้แต่ปลายเล็บของเราเองก็อาจทำให้หูถลอก ติดเชื้อ และอักเสบได้ นอกจากนี้ ไม้แคะหูในร้านตัดผมชาย ก็อาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคจากผู้หนึ่งไปสู่อีกผู้หนึ่งได้ ดังนั้น โดยปกติแล้วไม่จำเป็นต้องล้าง หรือทำความสะอาดภายในรูหู เพียงแต่ทำความสะอาดใบหูด้านนอกระหว่างอาบน้ำก็เพียงพอแล้ว

ฝักบัว - ตัวแพร่เชื้อโรค

ฝักบัวเป็นตัวเพาะแบคทีเรีย และแพร่เชื้อโรคอันตรายเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ จากการสุ่มนำฝักบัว 50 อันจากสถานที่หลายแห่งใน 9 เมืองของสหรัฐมาตรวจศึกษา ทำให้พบเชื้อโรคที่จะก่อให้เกิด "โรคปอด" จากฝักบัวมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และแบคทีเรียที่ฝังติดอยู่ในฝักบัว มีปริมาณสูงกว่าแบคทีเรียในน้ำทั่วไปถึง 100 เท่า จากการศึกษาพบว่า หากคนเราเปิดฝักบัวและปล่อยให้น้ำรดหน้า และเนื้อตัวตั้งแต่ เริ่มอาบน้ำ นั่นหมายความว่า มีสิทธิที่จะมีแบคทีเรียจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย

การศึกษาของทีมแพทย์ชุดนี้ ที่นำโดยนาย นอร์แมน แพค นักจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยโคโลราโด มีขึ้นหลังจากนักวิจัยในโรงพยาบาล แห่งชาติยิวในเมืองเดนเวอร์ ของสหรัฐ ตรวจพบผู้ติดเชื้อในปอดจากกลุ่มผู้ที่ ใช้ฝักบัวอาบน้ำมากกว่ากลุ่มตักน้ำในถังอาบ โดยผู้ติดเชื้อโรคจะมีอาการเหนื่อยง่าย ไอแห้ง หายใจเร็ว อ่อนเพลีย และรู้สึกไม่สบายบ่อย การศึกษายังพบด้วยว่า "ฝักบัวพลาสติค" ทำให้ติดเชื้อโรคง่ายกว่าฝักบัว ที่ทำจากโลหะ

Sunday, September 13, 2009

เวชศาสตร์ฟื้นฟู /กายภาพบำบัด

เมื่อมีการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรือการเล่นกีฬาเกิดขึ้น ในระหว่างที่ให้การรักษาอยู่ และภายหลังการรักษาจากแพทย์ผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ที่เชี่ยวชาญ ที่จะให้การฟื้นฟูอวัยวะส่วน ที่ได้รับบาดเจ็บ ให้กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นแพทย์เราเรียกว่า "แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู" ถ้าไม่ใช่แพทย์ มีหลายสาขา เช่น นักกายภาพบำบัด และนักอาชีวบำบัด เป็นต้น

การให้การรักษาเพื่อฟื้นฟูอวัยวะส่วนที่บาดเจ็บนี้ อาศัยหลักการดังนี้ คือ
  1. การใช้ความร้อน จะทำให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือด มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อ เลือดที่ออกมาติดกับเนื้อเยื่อจะเริ่มสลายตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยลดการอักเสบ การใช้ความร้อนมี 2 ชนิดคือ
  1. ความร้อนแบบชื้น ได้แก่ ความร้อนที่ได้จาก ถุงเยลลี่ร้อน ระบบน้ำวน และขี้ผึ้งพาราฟิน เป็นต้น
  2. ความร้อนแบบแห้ง ได้แก่ ความร้อนที่ได้จากการแผ่รังสีความร้อน อันเกิดจากเครื่องมือทางฟิสิกส์ ที่เราได้ยินชื่อกันบ่อย ๆ เช่น เครื่องนวดระบบความถี่เหนือเสียง อัลตราซาวด์ เป็นต้น
  • การเคลื่อนไหวข้อต่อที่บาดเจ็บ โดยการเริ่มต้นให้กล้ามเนื้อหดตัว และคลายตัว โดยไม่มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อก่อน จนกระทั่งถึงการทำให้มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อ จนกว่าข้อต่อนั้น ๆ จะงอหรือเหยียดได้เต็มที่เหมือนเดิม ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธี คือ คนไข้พยายามงอเหยียดด้วยตนเอง และการใช้การดัดจากนักกายภาพบำบัด
  • การฝึกกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรงเท่าเดิม ในระหว่างที่บาดเจ็บ กล้ามเนื้อในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานเท่าเดิมจะลีบลง ความแข็งแรงจะลดน้อยลง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องฝึกกล้ามเนื้อให้กลับมาใหญ่เท่าเดิมโดยอาศัยการยกน้ำหนัก

Friday, September 11, 2009

การฝึกกล้ามเนื้อตาด้วยตนเอง

เมื่อท่านทราบว่า "กำลังมีอาการกล้ามเนื้อตาล้า" หรือ "กล้ามเนื้อตาอ่อนกำลัง (Convergence Insufficiency)" ท่านสามารถทำให้กล้ามเนื้อตาเข้าสู่สภาพปกติ หรือทำให้อาการปวดตา ไม่สบายตาหายไปด้วยตนเอง โดยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

อุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึก
ไฟฉายเล็ก ๆ แบบแท่งดินสอ 1 อัน หรือถ้าไม่มีอาจใช้ดินสอ หรือปากกา 1 ด้าม

ขั้นตอนในการฝึก
  1. ใช้มือข้างที่ถนัดถือไฟฉาย หรือดินสอ หรือปากกาที่มี แล้วยืดแขนออกไปให้แขนเหยียดตรง โดยให้ไฟฉาย หรือดินสออยู่ตรงกึ่งกลางของดั้งจมูกพอดี
  2. ใช้ตาทั้ง 2 ข้างเพ่ง - จ้องไปที่ดวงไฟ หรือปลายดินสอ / ปลายปากกา จะต้องเห็นดวงไป หรือปลายดินสอเป็นภาพเดียว ไม่มีภาพซ้อน ในกรณีที่เห็นเป็นภาพซ้อน ให้หลับตาทั้ง 2 ข้างลงก่อน แล้วลืมตาดูใหม่ พยายามมองให้เห็นไฟเป็น 1 ดวง
  3. ค่อย ๆ เลื่อนมือเข้ามาใกล้ตา เรื่อย ๆ ช้า ๆ โดยที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่ดวงไฟ หรือปลายปากกา เพื่อจะได้สังเกตุเห็นความแตกต่าง ระหว่างจุดตั้งต้นกับระยะที่ไฟเลื่อนเข้ามา
  4. ค่อย ๆ เลื่อนมือเข้า จนกระทั่งเมื่อใดที่เห็นดวงไฟ หรือปลายปากกาแยกเป็น 2 จุด หรือเริ่มมัวมองไม่ชัด เช่น จุดเริ่มต้นให้ถอยมือกลับไปตั้งต้นใหม่ ให้เห็นชัดที่ระยะสุดแขนเช่นเดิม
  5. ฝึกซ้ำข้อ 1 - 4 ประมาณ 20 ครั้ง แล้วจึงหยุดฝึก

วิธีฝึกให้ได้ผล
  1. ฝึกวันละ 3 รอบ รอบละ 20 ครั้ง รวมเป็นวันละ 60 ครั้ง
  2. การฝึกจะต้องฝึกให้สม่ำเสมอทุกวัน
  3. หลังจากฝึกประมาณ 3 อาทิตย์ ให้กลับมาดูผลตามแพทย์นัด

หมายเหตุ
การฝึกกล้ามเนื้อตาด้วยตนเอง โดยวิธีง่าย ๆ จะได้ผลดีเมื่อมีการปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ทำตามขั้นตอนของการฝึกอย่างสม่ำเสมอ ก่อนกลับมาพบแพทย์ตามนัด

ดื่มน้ำเท่าไร แบบไหนจึงจะสุขภาพดี ?

ปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญ คนดื่มน้ำน้อยเลือดจะข้น ระบบไหลเวียนของเหลวในร่างกายผิดปกติ ผิวพรรณหยาบกร้าน รวมทั้งอาจเกิดการเจ็บป่วยต่าง ๆ แต่หากดื่มน้ำมากเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นผลดี เพราะไตจะทำงานหนัก ส่งผลให้ปวดศีรษะ อาเจียน กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ความดันสูง น้ำหนักมากขึ้น ร่างกายบวมน้ำ รวมถึงอาจส่งผลถึงระบบสืบพันธุ์ แต่ละวันมนุษย์ควรดื่มน้ำปริมาณเท่าไร และดื่มน้ำอะไรถึงจะปลอดภัย เราจะมาถอดรหัสกัน

สูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะกับคุณ

องค์การอนามัยโลกได้กำหนดสูตรคำนวณปริมาณน้ำดื่ม ที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของ แต่ละคน ในแต่ละวันไว้ดังนี้

น้ำหนักตัว (ก.ก.)/2 x 2.2 x30 = … C.C.
**(1000 C.C. = 1 ลิตร, 1 ลิตร = 5 แก้ว)


สมมติว่า มีน้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 C.C. 1815 C.C. = 1.8 ลิตร 1.8 ลิตร = 9 แก้ว เมื่อทราบปริมาณน้ำดื่มต่อวันแล้ว จะต้องมีเทคนิคในการดื่มน้ำ ให้เกิดประโยชน์กับร่างกายมากที่สุดด้วย เทคนิคง่าย ๆ ที่ว่านั้นมีอยู่ 2 ข้อคือ

หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำทันที 2 - 5 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น ไม่ใช่น้ำเย็น ที่ต้องดื่มตอนเช้า เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายขับสารพิษได้ดีที่สุด ดื่มน้ำแต่น้อย ระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ควรเกิน 1 แก้ว หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาทีจึงค่อยดื่มน้ำตาม เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารได้เต็มที่ ที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะไปรบกวนการย่อย ทุกวันนี้เราดื่มน้ำอะไรกันอยู่

น้ำประปาดื่มได้

ปัจจุบัน น้ำประปาของการประปานครหลวง ผ่านการผลิต และควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก จึงดื่มได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบเดินท่อประปาในบ้าน ท่อเหล็กมีอายุใช้งานไม่เกิน 5 ปี ที่ปลอดภัยที่สุด คือ ท่อพลาสติก เพราะไม่เป็นสนิม การต้มน้ำประปาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำ และลดความกระด้างไปพร้อมกัน ทั้งยังลดกลิ่นคลอรีนได้ด้วย ส่วนน้ำประปาที่ผ่านระบบกรอง ก็ขึ้นอยู่กับตัวกรองที่เลือกใช้ บางบ้านอาจใช้ตัวกรองถ่าน (Activated carbon) และเรซิน (Resin) ซึ่งก็สะอาดเพียงพอใกล้เคียงน้ำบรรจุขวด เว้นแต่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อ ด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตหรือโอโซน

น้ำดื่มบรรจุขวด

The International Bottled Water Association หรือสมาคมน้ำบรรจุขวดนานาชาติ ได้ให้นิยามของน้ำบรรจุขวดไว้ว่า
  • น้ำดื่ม (Drinking Water) น้ำดื่มในบ้านเรานั้นได้มาจากแหล่งน้ำบาดาล และน้ำประปา ผ่านการกรองชั้นถ่านเพื่อดูดกลิ่น ตามด้วยการผ่านสารเรซิน เพื่อลดความกระด้าง ขั้นตอนสุดท้ายคือ การฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนในน้ำ ด้วยการผ่านแสงอุลตร้าไวโอเลต หรือก๊าซโอโซน ที่เราเรียกกันจนคุ้นเคยว่าน้ำ UV หรือน้ำโอโซนนั่นเอง
  • น้ำธรรมชาติ (Natural Water) คือ น้ำใต้ดิน รวมทั้งน้ำพุ (Spring) น้ำแร่ (Mineral) น้ำบ่อ (Well) และน้ำพุที่เจาะขึ้นมาจากแหล่งใต้ดิน (Artesian Well) ไม่นับรวมแหล่งน้ำสาธารณะ และน้ำประปา ในการผลิตน้ำธรรมชาติ ห้ามใช้กระบวนการอื่นใด นอกจากการกรองเศษฝุ่นละอองและการฆ่าเชื้อโรค ด้วยวิธีการผลิตดังกล่าว จึงทำให้น้ำแร่บรรจุขวดมีความใกล้เคียงกับน้ำจากแหล่งกำเนิดมาก และการที่น้ำแร่มีคุณสมบัติแตกต่างกันตามแหล่งน้ำธรรมชาตินี้เอง จึงต้องมีการกำหนดค่าปริมาณเกลือแร่ ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก และสตรีมีครรภ์ที่มีระบบย่อยอาหารไม่ดีเท่าคนทั่วไป เพราะน้ำแร่จะออกฤทธิ์เป็นยาระบาย หากมีปริมาณซัลเฟตมากกว่า 600 มิลลิกรัมต่อลิตร (ยกเว้นแคลเซียมซัลเฟต)
  • น้ำเพียวริไฟด์ (Purified Water) เรียกง่าย ๆ ว่า น้ำกลั่น เป็นน้ำที่ผลิตด้วยการกลั่น คือต้มน้ำจนเดือดแล้วระเหยกลายเป็นไอ เมื่อไอน้ำกระทบพื้นผิวที่เย็นจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ หรืออีกวิธีคือ การใช้กระแสไฟฟ้าแยกเกลือแร่ (Deionization) ที่ปนอยู่ออก แล้วน้ำไปผ่านขั้นตอนการกรอง ด้วยวัสดุที่มีรูขนาดเล็ก 0.0006 ไมครอน (1 เมตรเท่ากับ 1 ล้านไมครอน) เมื่อแร่ธาตุต่าง ๆ ถูกกรองออกหมดจะได้น้ำที่บริสุทธิ์มาก จนแทบไม่เหลือความกระด้างอยู่เลย แต่ที่จริงแล้วร่างกายคนเรา ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับน้ำบริสุทธิ์ขนาดนั้น

ขวดแบบไหนเหมาะใส่น้ำดื่ม

ขวดที่นิยมใช้บรรจุน้ำดื่มในปัจจุบัน มี 4 ชนิด คือ (1) ขวดแก้วใส, (2) ขวดพลาสติกใสและแข็ง (Polystyrene), (3) ขวดพลาสติกเพท (Polyethylene terephthalate, PET) ซึ่งมีลักษณะใสและกรอบ และสุดท้าย (4) ขวดพลาสติกขาวขุ่น (High-density polyethylene, HDPE)

ขวด 3 ชนิดแรก ใช้บรรจุน้ำดื่มได้ดีกว่าขวดพลาสติกสีขาวขุ่น เคยมีการทดลองนำน้ำดื่มบรรจุขวดสีขาวขุ่นไปตั้งกลางแดดนาน ๆ จะมีกลิ่นของพลาสติกปนมากับน้ำ แม้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่ก็ทำให้คุณภาพของน้ำลดลง ข้อเสียอีกประการหนึ่งคือ ขวดขาวขุ่นไม่เหมาะที่จะนำมารีไซเคิล ต่างจากขวดอีกสามชนิด ที่รีไซเคิลง่ายและใช้ได้ทนทานกว่า ส่วนวันหมดอายุของน้ำดื่มบรรจุขวดนั้น คือ ประมาณ 2 ปี นับจากวันผลิตที่ระบุไว้บนฉลาก

ที่มา นิตยสาร HEALTH & CUISINE

ดูแลผิว ช่วงหน้าฝน

เตือนภัยผิวที่แฝงมากับช่วงฤดูฝน ที่ส่งผลต่อผิวหนังของเรา

ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกชุกในช่วงนี้ ภาวะที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เมื่อฝนตก คือ มักเจอกับอากาศที่อับชื้น ทำให้บางครั้งอาจเกิดผื่นแปลก ๆ ขึ้นบนผิวหนังได้ ปัญหาที่พบได้เสมอในช่วงหน้าฝน มักมีสาเหตุมาจากเชื้อรา เนื่องจากลักษณะเฉพาะของเชื้อโรคกลุ่มนี้ ที่เจริญเติบโตได้ดีในภาวะที่ชื้น แฉะ ผื่นจากเชื้อรา มีได้หลากหลายรูปแบบ เรามาดูผื่นที่พบได้บ่อย ๆ กันดีกว่า

วงด่าง ๆ สีขาว หรือสีเนื้อ ในบางคนอาจขึ้นเป็นวงสีน้ำตาล ร่วมกับมีขุยสีขาวเล็ก ๆ มักเกิดขึ้นบนผิวหนัง บริเวณหน้าอกและลำตัว อาจมีอาการคันร่วมด้วยได้ นอกจากดูไม่สวยงามแล้ว ยังทำให้เสียบุคลิก ผื่นชนิดนี้ เป็นลักษณะของโรคเกลื้อน ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ที่สุขอนามัยไม่ค่อยดี ไม่ชอบอาบน้ำ เชื้อเกลื้อนเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Malassezia furfur สามารถพบได้บนผิวหนังของคนทั่วไป แต่ปกติแล้วไม่ก่อโรค ยกเว้นในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น คนที่ออกกำลังกาย เหงื่อออก หรือตากฝน แล้วไม่ยอมอาบน้ำ ร่างกายชื้นแฉะอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดผื่นลักษณะดังกล่าวขึ้น

ในคนที่น้ำหนักมาก หรือภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจเกิดผื่นสีแดงขึ้นตามบริเวณข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม ร่วมกับมีอาการคันมาก สาเหตุเกิดจากการติด เชื้อยีสต์ในกลุ่มแคนดิดา (Candida) สามารถรักษาให้หายได้ โดยการทายาฆ่าเชื้อราทั่วไป แต่มักเป็นซ้ำได้บ่อย เพราะยีสต์ชนิดนี้พบได้ในร่างกายของคนเรา เช่น บริเวณช่องปาก ระบบทางเดินอาหาร และช่องคลอด

ช่วงที่ฝนตกมาก ๆ บางพื้นที่อาจมีน้ำท่วมขัง หรือเวลาฝนตกนานเป็นชั่วโมง ทำให้ต้องเดินย่ำน้ำ ชื้นแฉะ เป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากยังไม่รีบทำความสะอาดเท้า ผ่านไปสักระยะหนึ่งอาจพบว่าผิวตามซอกนิ้วเท้าลอกเป็นขุยขาว ๆ หรือเปียกยุ่ย หรืออาจถึงขั้นเป็นแผล มีน้ำเหลืองแฉะที่ผิว เรียกว่า "โรคน้ำกัดเท้า" หรือ "เชื้อราที่เท้า" เกิดจากเชื้อกลากซึ่งอยู่ตามสิ่งแวดล้อม เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว ผื่นที่เท้าอาจจะลามไปที่ลำตัวส่วนอื่นได้ ที่พบบ่อยคือทำให้เกิดผื่นบริเวณขาหนีบ เรียกว่า "สังคัง"

เวลาถอดรองเท้า บางคนอาจมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา เมื่อก้มดูที่ฝ่าเท้า จะเห็นเป็นรูพรุนเล็ก ๆ หรือเป็นแอ่งเว้าแหว่งตื้น ๆ เรียกว่า "โรคเท้าเหม็น" สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในผู้ชายที่ใส่ถุงเท้า ที่ทำจากใยสังเคราะห์หนา ๆ ซึ่งมักจะแห้งยากในหน้าฝน

นอกจากนี้ ในน้ำที่ขังตามพื้นถนน อาจมีพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิปากขอ ซึ่งสามารถชอนไชเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ หรือ ถ้าโชคไม่ดี ได้รับเชื้อที่ทำให้เกิด "โรคฉี่หนู" เข้าไปตามรอยแผลเล็ก ๆ ที่เท้า อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้


โดยสรุปแล้ว ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่าสาเหตุของโรคส่วนใหญ่มาจาก "การย่ำน้ำสกปรก" หรือ "ปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นอยู่เป็นระยะเวลานาน" ทำให้เชื้อซึ่งพบได้ตามสิ่งแวดล้อมทั่วไป เพิ่มจำนวนขึ้นจนก่อให้เกิดโรค ดังนั้นการป้องกันอันดับแรก คือ หลีกเลี่ยงการเหยียบย่ำน้ำ หรือตากฝน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับถึงที่พัก ควรรีบถอดเสื้อผ้า แล้วอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อชนิดพิเศษแต่อย่างใด เพราะอาจแรงเกินไป เสร็จแล้วใช้ผ้าซับ หรือใช้พัดลมเป่าให้แห้ง การโรยแป้งฝุ่นสามารถช่วยลดความชื้น และการเสียดสีได้ เสื้อผ้า และถุงเท้าที่ใช้ ควรทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ไม่หนาจนเกินไป เพื่อให้ระบายอากาศได้ดี หน้าฝนผ้ายีนส์จะแห้งยากทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย จึงควรระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้แล้วการใส่รองเท้าแตะบ้าง ก็ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อราที่เท้าได้ เช่นกัน


ที่มา
นพ.ชัยประสิทธิ์ บาลมงคล - ศูนย์ผิวหนัง เลเซอร์และความงาม โรงพยาบาลเวชธานี